ฟุตบอลโลกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่านี้ จะมีหน้าตาอย่างไร?

ฟุตบอลโลกที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพกำลังจะสิ้นสุดลงในวันอาทิตย์นี้ แต่คำมั่นสัญญาของกาตาร์ ที่จะทำให้การจัดฟุตบอลโลกเป็นกิจกรรมที่ “เป็นกลางทางคาร์บอน” (carbon-neutral) หรือเป็นกิจกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ เป็นคำสัญญาที่จะมีผลต่อเจ้าภาพประเทศต่อไปของทั้งฟุตบอลโลก พร้อมทั้งโอลิมปิก

ฝรั่งเศสได้ออกมาประกาศแล้วว่า ‘ปารีสโอลิมปิก’ ในปี 2024 จะเป็นโอลิมปิกที่ “เป็นบวกต่อสภาพอากาศ” ในขณะที่ เม็กซิโก สหรัฐฯ พร้อมทั้งแคนาดา เจ้าภาพร่วมการจัดฟุตบอลโลกในปี 2026 สัญญาว่าฟุตบอลโลก 2026 จะเป็น “ฟุตบอลโลกที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำที่สุดในยุคสมัยใหม่” ตามรายงานของสำนักข่าวนานาชาติเอพี

ผลกระทบทางสภาพอากาศพร้อมทั้งมลพิษที่เกิดจากการจัดมหกรรมกีฬาของแต่ละประเทศเจ้าภาพ แตกต่างกันด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดของประเทศ จำนวนสนามกีฬาที่จะสร้างขึ้น ระบบขนส่งมวลชนระหว่างแต่ละสนาม พร้อมทั้งเครือข่ายไฟฟ้าของประเทศนั้น ๆ

ถ้าหากว่า นักวิทยาศาสตร์ นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ บอกว่า การจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกพร้อมทั้งโอลิมปิก ได้กลายเป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก ทำให้เจ้าภาพต้องเตรียมการมากกว่าที่กาตาร์ทำเอาไว้ พร้อมทั้งควรจะตอบคำถามให้ได้ว่า ใครหรือประเทศใดควรจะเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับนี้?

ฟุตบอลโลกครั้งนี้ กาตาร์ลงทุนสร้างสนามกีฬาใหม่ 7 แห่ง พร้อมทั้งปรับปรุงสนามเก่าขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งเพื่อจัดการแข่งขัน พร้อมทั้งนอกจากจะสร้างสนามขึ้นมาใหม่แล้ว กาตาร์ยังมีแผนท่ีจะทุบสนามหนึ่งทิ้งหลังการแข่งขันอีกด้วย กิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากที่จะอยู่ในอากาศนานกว่า 100 ปี พร้อมทั้งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

ในทางตรงกันข้าม สนามแข่งฟุตบอลโลกในเม็กซิโก สหรัฐฯ พร้อมทั้งแคนาดาในอีกสี่ปีข้างหน้านั้นเป็นสนามที่มีอยู่แล้ว ส่วนผู้จัดโอลิมปิกในกรุงปารีสบอกว่า 95% ของสนามแข่ง เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่แล้วหรือเป็นสนามชั่วคราว

การหาเจ้าภาพฟุตบอลโลกที่มีสนามแข่งอยู่แล้ว หาง่ายกว่าการหาเจ้าภาพโอลิมปิกที่มีสนามอยู่แล้วสำหรับกีฬาทุกประเภท ตัวอย่างเช่น การแข่งโอลิมปิกฤดูร้อนต้องใช้สนามแข่งมากกว่า 40 สนาม พร้อมทั้งมักจะเป็นสนามที่ปกติไม่ค่อยมีคนได้ใช้งาน

แนวคิดอีกอย่างหนึ่ง คือการแต่งตั้งเจ้าภาพถาวรในการจัดการแข่งขันโอลิมปิกหรือกีฬาอื่น ๆ เพื่อไม่ต้องให้มีการสร้างสนามการแข่งขันหรือโครงการก่อสร้างอื่น ๆ ขึ้นมาใหม่ ที่อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรหลังจากการแข่งขันจบลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตประเทศเจ้าภาพอย่าง แอฟริกาใต้ บราซิล พร้อมทั้งรัสเซีย

อาร์โนลด์ โบรเฮอะ ผู้บริหารบริษัทให้คำปรึกษาด้านสภาพอากาศ บอกว่าการลดระยะทางที่แฟนกีฬาจะต้องเดินทางไปประเทศเจ้าภาพพร้อมทั้งไปดูการแข่งขันต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะการเดินทางเป็นกิจกรรมสำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

กาตาร์ยืนยันว่าการจัดฟุตบอลโลกที่กาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็ก ทำให้แฟนบอลไม่ต้องเดินทางไกลในการไปชมการแข่งขันฟุตบอลตามสนามต่าง ๆ ถ้าหากว่า ก็ยังมีแฟนบอลหลายพันคนที่ไปพักที่ดูไบ เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากที่พักในกาตาร์นั้นไม่เพียงพอ ทำให้แฟนบอลเหล่านี้ต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ใช้เวลาบินประมาณ 45 นาทีเพื่อมาเชียร์ฟุตบอลในกาตาร์

ส่วนในฟุตบอลโลก 2026 แฟนบอลจะต้องเดินทางไกลกว่านั้นในการไปเชียร์ฟุตบอลตามสนามแข่งต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ใน 3 ประเทศของทวีปอเมริกาเหนือ เช่น เมืองฮิวส์ตัน นครลอสแอนเจลิส โตรอนโต พร้อมทั้งกรุงเม็กซิโก ซิตี้ ซึ่งทางผู้จัดได้ออกมาบอกว่าจะพยายามจัดรอบน็อคเอาท์ (knockout) ที่สนามแข่งที่อยู่ใกล้กันเพื่อลดการเดินทางของผู้เข้าชม

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า เจ้าภาพบางประเทศมักจะสัญญาว่าจะจัดการแข่งขันที่ “เป็นกลางทางคาร์บอน” โดยจะชดเชยหรือหักล้างปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาด้วยวิธีอื่น เช่น จ่ายเงินเพื่อขุดฝังก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงใต้ดิน ปลูกต้นไม้ หรือดักจับเพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซเรือนกระจกหลุดรอดออกไป

ถ้าหากว่า ไม่มีความชัดเจนว่า ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบหรือติดตามคำสัญญาดังกล่าวหรือไม่หลังจากที่มหกรรมกีฬาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายคนเชื่อว่าไม่มีการชดเชย หรือทำการใด ๆ ที่จะไปหักล้างก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาได้อย่างเพียงพอ

ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า องค์กรหรือหน่วยงานจัดกีฬาระดับโลกแบบควรจะซื่อสัตย์กว่านี้ พร้อมทั้งไม่ควรอ้างว่ามหกรรมกีฬาที่พวกเขาจัดขึ้นมานั้นเป็นกิจกรรม “เชิงบวกต่อสภาพอากาศ” หรือ “เป็นกลางทางคาร์บอน” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเสนอว่า การจัดกีฬาเหล่านี้มีผลกระทบต่อสภาพอากาศน้อยมาก หรือแทบไม่มีผลกระทบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นคำกล่าวอ้างที่เป็นไปไม่ได้เลย