รวมคดีดังคริปโตในสหรัฐฯ  

รอยเตอร์รวบรวมคดีที่เกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตในสหรัฐฯ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แซม แบงค์แมน-ฟรีด ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มซื้อขายเงินคริปโต FTX ถูกจับกุมที่บาฮามาส ในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคดีคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 

 

บิตไฟเนกซ์ (Bitfinex) 

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สามีภรรยาคู่หนึ่งถูกตั้งข้อหาโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฐานสมรู้ร่วมคิดฟอกบิตคอยน์ที่ถูกขโมยมาจำนวน 119,754 เหรียญ หลังแฮคเกอร์เจาะแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิตอล บิตไฟเนกซ์ (Bitfinex) เมื่อปี 2016 พร้อมทั้งทำการโอนเงินโดยไม่ได้รับอนุญาตกว่า 2,000 ครั้ง บันทึกศาลพบว่า สามีภรรยาคู่นี้กำลังหารือกับอัยการเพื่อขอตอบกลับข้อหาดังกล่าว 

บิตเม็กซ์ (BitMEX)

 

ผู้ก่อตั้งพร้อมทั้งลูกจ้างของแพลตฟอร์มซื้อขายเงินคริปโต บิตเมกซ์ (BitMEX) ยอมรับผิดข้อหาบกพร่องต่อการสร้าง ใช้งาน พร้อมทั้งรักษาโปรแกรมเพื่อป้องกันการฟอกเงินในแพลตฟอร์มได้  

 

ผู้ร่วมก่อตั้งบิตเมกซ์ยอมรับผิดในศาลรัฐบาลกลางรัฐนิวยอร์ก พร้อมทั้งตกลงจ่ายค่าปรับคนละ 10 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ลูกจ้างอีกคนของบิตเมกซ์ยอมรับผิดเช่นกัน พร้อมทั้งตกลงจ่ายค่าปรับ 150,000 ดอลลาร์ 

อัยการรัฐบาลกลางตั้งข้อหาอาญาต่อคดีดังกล่าวเมื่อปี 2020 ก่อนที่ในปีถัดมา บิตเมกซ์จะตกลงจ่ายค่าปรับทางแพ่งเพื่อยุติอีกคดีต่างหาก โดยเป็นคดีกับคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์พร้อมทั้งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ หรือ CTFC  พร้อมทั้งเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ FinCEN ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ  

 

ทั้งนี้ โฆษกของบิตเมกซ์ปฏิเสธไม่ให้ความเห็นต่อคดีของอดีตลูกจ้างของตน 

บล็อคไฟ (BlockFi) 

 

บริษัทกู้ยืมเงินดิจิทัล บล็อคไฟ (BlockFi) ตกลงจ่ายค่าปรับ 100 ล้านดอลลาร์ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์พร้อมทั้งตลาดซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ  หรือ SEC พร้อมทั้งหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ เพื่อยุติคดีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กู้ยืมเงินที่บริษัทเสนอให้นักลงทุนเกือบ 600,000 คน 

 

บันทึกศาลพบว่า บล็อคไฟยื่นล้มละลายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พร้อมทั้งยังคงค้างค่าปรับ 30 ล้านดอลลาร์กับ SEC 

 

โฆษกของบล็อคไฟไม่ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ ถ้าหากว่า บล็อคไฟระบุในแถลงการณ์ว่า การยุติคดีนี้เป็นตัวอย่างของ “ความพยายาม (ของบริษัท) ในการรักษาความชัดเจนทางกฎระเบียบเพื่ออุตสาหกรรมในวงกว้างพร้อมทั้งเพื่อลูกค้าของเรา” 

คอยน์เบส (Coinbase) 

 

อดีตผู้จัดการด้านผลิตภัณฑ์ของบริษัทซื้อขายเงินคริปโต คอยน์เบส (Coinbase) น้องชายพร้อมทั้งเพื่อนของเขา เผชิญข้อหาใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขาย โดยสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ในเขตแมนฮัตตัน พร้อมทั้ง SEC ซึ่งถือเป็นข้อหาลักษณะดังกล่าวต่อการทำธุรกรรมเงินคริปโตเป็นครั้งแรก 

 

อดีตลูกจ้างของคอยน์เบสไม่ยอมรับผิดต่อข้อหาดังกล่าว ขณะที่น้องชายของเขาขอยอมรับผิดผ่านข้อตกลงกับอัยการ ขณะที่จำเลยคนที่สามหลบหนีคดี 

ในเวลาเดียวกัน คอยน์เบสพบว่า ทางบริษัทจะหาช่องทาง “บังคับใช้กฎระเบียบ” เพื่อตอบโต้ข้อหาดังกล่าว 

 

วันคอยน์ (OneCoin) 

 

เมื่อปี 2019 ทางการสหรัฐฯ ตั้งข้อหากลุ่มผู้นำเครือข่ายธุรกิจแบบพีระมิดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีการใช้สกุลเงินคริปโตเท็จ OneCoin โดยหนึ่งในแกนนำยังคงหลบหนี ขณะที่แกนนำคนอื่น ๆ ไม่ยอมรับผิด 

โอเพนซี (OpenSea)

 

เมื่อเดือนมิถุนายน อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของโอเพนซี (OpenSea) แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ของสินทรัพย์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว (non-fungible token หรือ NFT) ถูกเอาผิดเรื่องใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขาย โดยอัยการรัฐบาลกลางในแมนฮัตตัน  

คดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีข้อหาลักษณะนี้ต่อสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นครั้งแรก โดยอัยการพบว่า อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ผู้นี้ซื้อ NFT โดยอาศัยข้อมูลลับที่ว่า สินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าวจะปรากฏในเว็บไซต์หน้าแรกของโอเพนซีในอีกไม่ช้า 

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โอเพนซีอ้างอิงแถลงการณ์ฉบับก่อนว่า ได้เริ่มสืบสวนข้อหาดังกล่าวพร้อมทั้งขอให้อดีตพนักงานคนดังกล่าวออกจากบริษัทไป 

 

ริพเพิล แลบส์ (Ripple Labs) 

 

เมื่อเดือนธันวาคม 2020 หน่วยงาน SEC ได้ฟ้องร้องบริษัทพัฒนาเครือข่ายชำระพร้อมทั้งซื้อขายสินทรัพย์ ริพเพิล แลบส์ (Ripple Labs) พร้อมทั้งผู้บริหารสองคน โดยกล่าวหาว่า บริษัทพร้อมทั้งผู้บริหารได้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน คิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์ 

 

ริพเพิล แลบส์ สร้างเงินคริปโตสกุลเงิน XRP ขึ้นมาในปี 2012 โดยทางบริษัทต่อสู้คดีกับหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐมานานหลายปี 

 

ริพเพิลขอให้ผู้พิพากษาตัดสินว่า เงินคริปโต XRP ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ พร้อมทั้งไม่ควรถูกตรวจสอบโดย SEC ซึ่งคดีดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบทางกฎหมายตามมาต่ออุตสาหกรรมเงินคริปโต ที่ยังคงอยู่ในพื้นที่คลุมเครือทางกฎระเบียบในสหรัฐฯ  

 

ทางด้านโฆษกของริพเพิลยังไม่ให้ความเห็นเพิ่มเติม 

 

เทเลแกรม (Telegram)

 

เมื่อเดือนตุลาคม 2019 หน่วยงาน SEC ระงับเหรียญดิจิทัลที่ไม่ได้ลงทะเบียนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ ที่เสนอโดยบริษัทให้บริการส่งข้อความ เทเลแกรม (Telegram) พร้อมทั้ง TON Issuer ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ โดยหลังต่อสู้ในศาลหกเดือน เทเลแกรมตกลงจ่ายค่าปรับ 18.5 ล้านดออลาร์ พร้อมทั้งคืนเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์ให้นักลงทุน 

 

ทางฝั่งเทเลแกรมไม่ยอมรับหรือปฏิเสธผลการสืบสวนของ SEC พร้อมทั้งไม่ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว  

ที่มา: รอยเตอร์