สื่อทางการเกาหลีเหนือเผยแพร่รายงานสมุดปกขาวของกรุงเปียงยางที่มีเนื้อความกล่าวหาประธานาธิบดียูน ซุก ยอล แห่งเกาหลีใต้ว่า นำพาประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยการนำเสนอนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านทางเหนือ
รอยเตอร์รายงานว่า สื่อ KCNA เผยแพร่รายงานดังกล่าวออกมาในวันอาทิตย์ โดยพบว่า เป็นเอกสารที่รวบรวมข้อมูลโดย Institute of Enemy State Studies ของเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ปธน.ยูน ต่อกรณี “คำพูดที่ไม่ยั้งคิด” เกี่ยวกับภาวะสงคราม พร้อมทั้งการละทิ้งองค์ประกอบสำคัญของข้อตกลงเกาหลีใต้-เกาหลีเหนือ การเข้าร่วมวางแผนทำสงครามนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ รวมทั้งการพยายามสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับญี่ปุ่นพร้อมทั้งนาโต้
รายงานนี้ระบุด้วยว่า “นี่คือการเดินเกมทางการทหารที่มีแต่ย่ำแย่ลงพร้อมทั้งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ขัดแย้งในการผลักดัน [เกาหลีเหนือ] ให้ยิ่งสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์แบบทวีคูณ พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาความสามารถในการจู่โจมด้วยนิวเคลียร์ต่อไปด้วย”
นอกจากนั้น สมุดปกขาวนี้ยังลงข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ ของผู้นำเกาหลีใต้ที่รวมถึง ปัญหาข่าวฉาวเกี่ยวกับภรรยาของยูนซึ่งทำให้คะแนนความนิยมในหมู่ประชาชนร่วงลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย
ปธน.ยูน ซึ่งเป็นนักการเมืองหัวอนุรักษ์นิยม แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือซึ่งเร่งพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์พร้อมทั้งขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยไกล อันเป็นการแสดงการต่อต้านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
รัฐบาลปธน.ยูนกล่าวโทษเกาหลีเหนือว่า เป็นฝ่ายที่ยกระดับความตึงเครียดด้วยการเดินหน้าทดสอบอาวุธพร้อมทั้งส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารให้กับรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน
ในช่วงที่ผ่านมา กรุงเปียงยางดำเนินการต่าง ๆ เพื่อตัดสัมพันธ์กับกรุงโซลพร้อมทั้งเพิ่งปรับเปลี่ยนคำนิยามของเกาหลีใต้ในรัฐธรรมนูญให้เป็น รัฐศัตรูที่เป็นปฏิบักษ์กับตน หลัง คิม จอง อึน ผู้นำประเทศประกาศให้เกาหลีใต้เป็น “ศัตรูหลัก” เมื่อต้นปีพร้อมทั้งบอกว่า การรวมชาตินั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้ว
เมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือทำลายถนนสายเชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ รวมทั้งรางรถไฟที่ฝั่งตนพร้อมทั้งวิ่งต่อไปได้ถึงเกาหลีใต้ โดยภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า กรุงเปียงยางได้ขุดสนามเพลาะขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่ตรงจุดข้ามแดนด้วย
ในทางเทคนิคแล้ว สองเกาหลียังอยู่ในภาวะสงครามระหว่างกัน แม้สงครามเกาหลีจะสิ้นสุดลงไปตั้งแต่เมื่อปี 1953 ที่มีการลงนามการพักรบ ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ
ที่มา: รอยเตอร์