โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลือก ส.ส.พรรครีพับลิกัน ไมเคิล วอลท์ซ อดีตเจ้าหน้าที่เนชั่นแนลการ์ดของกองทัพบกสหรัฐฯ พร้อมทั้งอดีตทหารผ่านศึก ให้นั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวใกล้ชิด อ้างอิงจากรายงานของเอพีพร้อมทั้งวอลสตรีทเจอนัล
ตำแหน่งดังกล่าวจะทำให้ ส.ส.วอลท์ซ สามารถให้คำปรึกษาแก่ทรัมป์ในประเด็นความมั่นคงต่าง ๆ ในขณะนี้ ตั้งแต่การจัดหาอาวุธให่แก่ยูเครน ความร่วมมือทางทหารระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธที่มีอิหร่านหนุนหลัง
ถ้าหากว่า มีความกังวลในหมู่สมาชิกพรรครีพับลิกันว่า การเลือก ส.ส.ของพรรคไปในนั่งในคณะทำงานชุดใหม่ของทรัมป์ ในขณะที่ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังไม่สามารถฟันธงอย่างเป็นทางการได้ว่าพรรคไหนจะได้ครองสภาล่าง อาจทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่สำหรับเก้าอี้ที่ว่างลง
วอลท์ซ ซึ่งได้รับเลือกเป็น ส.ส.ฟลอริดา มาแล้วสามสมัย พร้อมทั้งเพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมาธิการความพร้อมด้านการทหาร พร้อมทั้งสมาชิกคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร
ที่สำคัญ วอลท์ซถูกมองว่ามีแนวทางสายเหยี่ยวต่อจีน เช่น เคยเรียกร้องให้สหรัฐฯ คว่ำบาตรการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2022 เนื่องจากข้อกล่าวหาว่าจีนคือจุดกำเนิดของการระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 พร้อมทั้งการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในมณฑลซินเจียง เป็นต้น
เขายังเป็นผู้วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อนโยบายถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน พร้อมทั้งขอให้มีการลงโทษผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์จู่โจมที่สนามบินในกรุงคาบุลที่ทำให้มีทหารอเมริกันจบชีวิต 13 คน
นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนคำพูดของทรัมป์ที่ออกมาตำหนิโครงการเพิ่มความเท่าเทียมพร้อมทั้งความหลากหลายภายในกองทัพสหรัฐฯ ว่าเป็นนโยบายที่อ่อนแอเกินไป
ริชาร์ด โกลด์เบิร์ก ผู้เคยเป็นทำหน้าที่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติในการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์ พบว่า ส.ส.วอลท์ซคือตัวเลือกที่ดีผู้มีทั้งประสบการณ์ทำงานในกองทัพพร้อมทั้งในรัฐสภาสหรัฐฯ
โกลด์เบิร์ก ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาระดับสูงขององค์กร Foundation for Defense of Democracies ที่กรุงวอชิงตัน บอกว่า “ขณะที่ไฟกำลังลุกลามในหลายพื้นที่ทั่วโลก วอลท์ซคือผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการช่วยว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ดับไฟเหล่านั้น”
ที่มา: เอพี