วิเคราะห์: สหรัฐฯ ไฟเขียว ATACMS ให้ยูเครน เพียงพอที่จะจบสงครามกับรัสเซียหรือไม่?

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เอพีอ้างแหล่งข่าวบอกว่าสหรัฐฯ ไฟเขียวให้ยูเครนใช้อาวุธระยะไกลที่ส่งไปให้ ยิงเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ซึ่งอาวุธที่ได้รับการจับตามองก็คือขีปนาวุธ ATACMS 

ATACMS ย่อมาจาก Army Tactical Missile System เป็นระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธีของกองทัพบกสหรัฐฯ ผลิตโดยบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน มีวิถีจู่โจมเป้าหมายได้สูงสุดที่เกือบ 300 กม. นำร่องด้วยระบบจีพีเอส พร้อมทั้งมีความรวดเร็วกว่าขีปนาวุธอื่น ๆ ในสมรภูมิทั่วโลก รวมถึงขีปนาวุธ Storm Shadow พร้อมทั้งขีปนาวุธ KH-101 ของรัสเซีย

ถ้าหากว่า ATACMS รุ่นที่สหรัฐฯ ส่งให้ยูเครนใช้ เป็นขีปนาวุธรุ่นเก่าที่มีพิสัยทำการที่ราว 170 กม. อ้างอิงตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวล่าสุดถือเป็นการขยับตามที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนร้องขอมายาวนาน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คู่สงครามยกระดับการจู่โจม พร้อมทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันเหลืออำนาจอีกเพียงสองเดือน

นักวิเคราะห์หลายรายให้ข้อมูลกับ VOA ว่าการตัดสินใจล่าสุดของรัฐบาลวอชิงตันถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของสงครามที่ดำเนินมาเข้าปีที่สาม แต่ก็ฉายภาพถึงความไม่แน่นอนในแง่ของแรงกระเพื่อมที่จะตามมานับจากนี้

แอนดรีย์ ซาโกรอดนุก อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของยูเครน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล มองว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไบเดนนั้นล่าช้าเพราะต้องระวังว่าจะไปยั่วยุรัสเซีย

เขาบอกว่ายุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อการยั่วยุของกรุงมอสโกมากไปกว่าการมีแผนการรอบด้าน “ไม่ได้นำเราเข้าใกล้การคลี่คลายสงคราม พร้อมทั้งยิ่งทำให้รัสเซียสามารถยกระดับได้มากขึ้น”

มาร์ค วอยเจอร์ ประธานหลักสูตรการจัดการระดับโลก มหาวิทยาลัยอเมริกันที่กรุงเคียฟ มองว่า ATACMS มีความสำคัญในด้านจิตวิทยาพร้อมทั้งปฏิบัติการทางทหาร เพราะพิสัยทำการสามารถยิงไปยังศูนย์บัญชาการ คลังยุทธปัจจัย หรือกองทัพเกาหลีเหนือที่มาช่วยรัสเซียรบได้

ถ้าหากว่า วอยเจอร์มองว่า “การตัดสินใจนี้ควรเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ เพื่อรักษาชีวิตพร้อมทั้งให้ยูเครนมีเครื่องมือที่ดีในสนามรบ”

รัฐบาลกรุงมอสโกเตือนสหรัฐฯ ให้ระวังถึงผลที่จะตามมา หากมีการอนุญาตให้ยูเครนตัดสินใจใช้อาวุธพิสัยไกลตามการรายงานจริง

ดิมิทรี เพสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียได้บอกกล่าวกับสื่อในประเทศว่า “หากการตัดสินใจนี้มีขึ้นจริงพร้อมทั้งมีการรายงานไปยังเคียฟจริง นี่คือความตึงเครียดรอบใหม่ พร้อมทั้งสถานการณ์ใหม่ในแง่ของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งนี้”

การเปลี่ยนรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนมกราคมปีหน้า กลายเป็นปัจจัยที่กรุงเคียฟกังวลว่ายูเครนอาจสูญเสียผู้สนับสนุนทางการทหารรายหลัก สืบเนื่องจากการที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สัญญาว่าจะจบสงครามนี้โดยเร็ว แต่ยังไม่ลงข้อมูลที่ชัดเจนในทางยุทธศาสตร์

วอยเจอร์บอกว่าการตัดสินใจของไบเดนครั้งนี้อาจบ่งชี้ถึงความกังวล ที่ต้องการสถาปนาการสนับสนุนยูเครนให้เรียบร้อยก่อนการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

วอยเจอร์บอกว่า “หากรัฐบาลใหม่ถอนความช่วยเหลือทางทหาร หรือจำกัดการจู่โจมของยูเครน ก็อาจทำให้จุดยืนของยูเครนอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในสนามรบพร้อมทั้งบนโต๊ะเจรจา”

อดีต รมว.กลาโหม ซาโกรอดนุกบอกว่าหนทางเดียวที่จะบีบให้วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย มานั่งโต๊ะเจรจาอย่างจริงจังได้คือการทำให้เขาตกอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงที่จะทั้งสูญเสียอำนาจพร้อมทั้งพ่ายแพ้ในสนามรบ พร้อมทั้งในการบรรลุเป้าหมายนี้ พันธมิตรนาโต้พร้อมทั้งสหรัฐฯ ต้องสนับสนุนยูเครนในการสู้กลับ

“ยูเครนสามารถทำปฏิบัติการรุกกลับอย่างสำเร็จ (ที่) จะทำให้ปูตินอยู่ในสถานการณ์ที่เขาเข้าใจว่า หากไม่หยุดสงคราม เขาอาจจะแพ้อย่างใหญ่หลวง พร้อมทั้งนั่นอาจส่งผลกระทบต่อระบอบพร้อมทั้งอำนาจของเขา” ซาโกรอดนุกอธิบายฉากทรรศน์ดังกล่าว

ที่มา: วีโอเอ