แผนพลังงานของทรัมป์ กับความท้าทายจากข้อบังคับพร้อมทั้งกำแพงภาษี

การกระจายแหล่งพลังงานที่หลากหลายคือแนวทางสำคัญในการลดต้นทุนค่าครองชีพของคนอเมริกัน ตามวิสัยทัศน์ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่แผนดังกล่าวอาจเผชิญความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษีพร้อมทั้งกฎเกณฑ์ด้านพลังงานที่ซับซ้อนยุ่งยากได้

ในช่วงการหาเสียงเมื่อเดือนสิงหาคม โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในขณะนั้น กล่าวไว้ว่า “ความพยายามในการทำให้ต้นทุนค่าครองชีพของคนอเมริกันลดลงจนอยู่ภายใต้การควบคุมนั้น คือการผลักดันอย่างเต็มที่ให้ยุตินโยบายของรัฐบาลไบเดน-แฮร์ริส ที่ต่อต้านภาคพลังงานของคนอเมริกัน พร้อมทั้งเราจะขุด ขุด ขุด (น้ำมัน)”                       

คำประกาศดังกล่าวของทรัมป์กำลังจะกลายเป็นภารกิจอันดับต้น ๆ เมื่อเขาปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคมนี้

ทรัมป์มีเป้าหมายเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ด้วยการย่นเวลาการออกใบอนุญาตสำหรับการขุดเจาะน้ำมันพร้อมทั้งเพิ่มการสำรวจแหล่งพลังงานนอกชายฝั่งของสหรัฐฯ

แต่นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า นโยบายที่ว่านี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนมากนักจากบรรดาบริษัทน้ำมันเอง              

เจมส์ โคลแมน ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายพลังงาน จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐมินเนโซตา (University of Minnesota) บอกว่า “เราไม่มีแนวทางที่จะกดดันประเทศต่าง ๆ หรือกดดันบริษัทพลังงานให้ขุดเจาะน้ำมันเพิ่ม พร้อมทั้งหลายครั้งที่นักลงทุนต่างมีความกังวลถึงกรณีที่ว่า หากมีการผลิตน้ำมันมากเกินไป ราคาอาจตกลงได้”

สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ ทรัมป์เสนอด้วยว่าจะเพิ่มการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจี (liquified natural gas)

รัฐมนตรีพลังงานของกาตาร์ ซาอัด เชอริดา อัล-คาไบ กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า ไม่กังวลหากทรัมป์จะยกเลิกการจำกัดการส่งออกก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ

“ก๊าซธรรมชาติเหลวพร้อมทั้งการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หากว่าสหรัฐฯ จะเปิดเสรีแอลเอ็นจีพร้อมทั้งบอกว่าจะส่งออกเพิ่มอีก 300 ล้านตันหรือ 500 ล้านตันก็ตาม โครงการเหล่านี้ต่างถูกผลักดันด้วยบริษัทเอกชนซึ่งพิจารณาองค์ประกอบพร้อมทั้งความอยู่รอดทางการค้าเป็นหลัก”  รัฐมนตรีพลังงานของกาตาร์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เสนอชื่อ คริส ไรท์ ซีอีโอบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง ให้นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ซึ่งเมื่อต้นเดือนนี้ ไรท์เคยปะทะคารมกับ ส.ส.พรรคเดโมแครต ฌอน แคสเทน ในประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกมาแล้ว โดยไรท์นั้นเคยบอกว่า เขาไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ไม่เชื่อเรื่องการปรับเปลี่ยนไปสู่พลังงานทางเลือก พร้อมทั้งเชื่อว่ามนุษย์ต้องอาศัยคาร์บอนไดออกไซด์ในการดำรงชีวิต

ในเวลาเดียวกัน ศาสตราจารย์เจมส์ โคลแมน แห่ง University of Minnesota เชื่อว่า แผนพลังงานของทรัมป์ยังมีหลายส่วนที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้หากปราศจากความร่วมมือของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียน หรือ โอเปก พร้อมทั้งบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น ๆ     

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายพลังงานผู้นี้บอกว่า “สหรัฐฯ ส่งออกพลังงานปริมาณมหาศาลไปยังแคนาดาพร้อมทั้งเม็กซิโก ซึ่งหากสองประเทศนี้ใช้กำแพงภาษีตอบโต้การขึ้นภาษีของเรา ก็อาจส่งผลลบต่อผู้ผลิตพลังงานในอเมริกาได้ ดังนั้นบรรดาผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานส่วนใหญ่จึงหวังว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการยิงขู่เสียงดังเท่านั้น”

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีนโยบายยกเลิกมาตรการลดภาษีให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกา ซึ่งแตกต่างจากนโยบายที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นำมาใช้เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกพร้อมทั้งต่อสู้กับภาวะโลกร้อนอีกด้วย