ปมใกล้ปาก หลัง อย. สหรัฐฯ ห้าม ‘สีแดงสังเคราะห์’ ผสมอาหาร-ยา

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา องค์การอาหารพร้อมทั้งยาสหรัฐฯ หรือ FDA ประกาศห้ามใช้ ‘สีแดงเบอร์ 3’ หรือ Red 3 ผสมในอาหารพร้อมทั้งยา ซึ่งแม้ได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้บริโภค แต่ยังคงสร้างคำถามตัวโตในวงการผู้ผลิต ว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่

สีสังเคราะห์ประเภทนี้ ที่เรียกในชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอีรีโทรซีน (erythrosine) มักถูกใช้เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์มีสีแดงสดพร้อมทั้งสีเชอรี่ เห็นได้ในลูกอมโคน ‘แคนดี้คอร์น’ จากยี่ห้อ Brach’s น้ำตาลไอซิ่งสีแดงบางยี่ห้อ น้ำหวานยอดฮิตอย่าง คูล-เอดพร้อมทั้งแฟนต้า รวมถึงผลิตภัณฑ์วิตามินขบเคี้ยวพร้อมทั้งยาบางประเภท ตามการรายงานของเอพี

คำสั่งห้ามของ FDA มีขึ้นหลังมีกลุ่มรณรงค์ด้านสุขภาพพร้อมทั้งความปลอดภัยทางอาหารยื่นหนังสือร้องเรียนเมื่อปี 2022 ให้เพิกถอนสีแดงเบอร์ 3 ออกจากรายชื่อสีที่สามารถใช้ผสมในอาหาร อาหารเสริม รวมถึงยากิน เช่น ยาแก้ไอ

จิม โจนส์ รองอธิบดีด้านอาหารมนุษย์ของ FDA พบว่าหน่วยงานกำลังเดินหน้าเพิกถอนการใช้งานสีแดงชนิดนี้ในอาหารพร้อมทั้งยากิน โดยให้เหตุผลว่าเป็นสาเหตุของการก่อมะเร็งในหนูทดลองเพศผู้

เขาพบว่า “หลักฐานบ่งชี้ถึงมะเร็งในหนูทดลองตัวผู้ ที่ได้รับ FD&C Red No.3 (ชื่อเฉพาะของสีแดงเบอร์ 3) ที่สำคัญ สิ่งที่ FD&C Red No.3 ทำให้หนูตัวผู้เป็นมะเร็งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับมนุษย์”

ถ้าหากว่า สัญญาณอันตรายของสีชนิดนี้ไม่ได้เพิ่งถูกหยิบยกขึ้นมา เพราะเมื่อราว  35 ปีที่แล้ว หน่วยงาน FDA ก็ห้ามใช้สีแดงเบอร์สามในเครื่องสำอางไปแล้วด้วยเหตุผลด้านความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งเช่นกัน 

ปมเงื่อนด้านเวลาพร้อมทั้งหลักฐานทางวิชาการ กลายเป็นประเด็นถกเถียงที่หลายฝ่ายมีความเห็นไม่เหมือนกัน

ปีเตอร์ ลูรี ผู้อำนวยการศูนย์สำหรับวิทยาศาสตร์ในผลประโยชน์สาธารณะ (Center for Science in the Public Interest) หนึ่งในกลุ่มตัวแทนที่เข้ายื่นหนังสือถึง FDA ยินดีกับคำประกาศที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการยกเลิกภาวะ “สองมาตรฐาน ที่สีแดงเบอร์ 3 ถูกห้ามใช้ในลิปสติก แต่กลับได้รับอนุญาตให้ใช้ในลูกอม”

ทางด้านสมาคมผู้ผลิตสีนานาชาติ (International Association of Color Manufacturers) พบว่าปริมาณที่ใช้เป็นการทั่วไปของสีชนิดนี้ยังคงปลอดภัยต่อการบริโภคของมนุษย์ โดยใช้งานวิจัยของคณะกรรมาธิการด้านวิทยาศาสตร์ที่บริหารโดยองค์การสหประชาชาติพร้อมทั้งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO รวมถึงผลงานในปี 2018 มายืนยันข้อโต้แย้งดังกล่าว

ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่าคำสั่งของ FDA จะถูกนำไปฟ้องร้องบนชั้นศาลหรือไม่ เพราะยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าสีเบอร์ 3 เป็นสาเหตุก่อมะเร็งในมนุษย์ ในประเด็นนี้ นพ.โรเบิร์ต แคลิฟ อธิบดี FDA ได้บอกกล่าวกับสภาคองเกรสเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วว่าหน่วยงานจะแพ้ในชั้นศาล หากไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

FDA ให้เวลาผู้ผลิตอาหารมีเวลาถึงเดือนมกราคมปี 2027 เพื่อปรับไปใช้สีประเภทอื่นแทน ส่วนผู้ผลิตยาจะมีเวลาจนถึงเดือนมกราคม 2028 ไม่เพียงเท่านั้น สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศจะต้องมีคุณภาพผ่านเกณฑ์ใหม่นี้เช่นเดียวกัน แม้ว่าประเทศต้นทางอาจจะยังอนุญาตให้ใช้สีแดงเบอร์ 3 อยู่ก็ตาม

นอกจากคำร้องในปี 2022 แล้ว ยังมีกลุ่มนักรณรงค์จำนวนมากที่เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สีชนิดนี้มาอย่างยาวนาน พร้อมทั้งในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สมาชิกสภาคองเกรสหลายสิบคนก็ส่งหนังสือเรียกร้องให้ FDA ห้ามใช้สีดังกล่าวด้วย

ปัจจุบันสีแดงเบอร์สามถูกห้ามใช้ในยุโรป ออสเตรเลีย รวมถึงนิวซีแลนด์ที่ห้ามใช้ แต่ยังยกเว้นให้กับสินค้าเชอร์รีบางประเภท ส่วนในสหรัฐฯ แคลิฟอร์เนียจะเลิกใช้สีนี้ในเดือนมกราคม 2027 นอกจากนั้นยังมีข้อเสนอจากสมาชิกสภานิติบัญญัติในรัฐเทนเนสซี อาร์คันซอ พร้อมทั้งอินเดียนา ให้จำกัดการผสมสีบางประเภทลงในผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น อาหารในโรงเรียน

ถ้าหากว่า ผู้ผลิตบางรายก็ปรับสูตร ไม่ใช้สีแดงเบอร์ 3 มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยหันไปใช้สีแดงจากบีทรูท สารประกอบคาร์มีนที่ได้จากแมลง หรือสีจากมันหวาน ผักกาดแดง ไปจนถึงกะหล่ำปลีสีแดง อ้างอิงจากผู้ค้าสีผสมอาหาร Sensient Food Colors ในรัฐมิสซูรี

สำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่มีความกังวล เอพีพบว่าควรตรวจสอบฉลากสินค้า ว่าของแดงที่อยากได้นั้นมีส่วนผสมของ Red 3 หรือ FD&C Red No. 3 หรือไม่

ที่มา: เอพี