วุฒิสมาชิกมาร์โค รูบิโอ ผู้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า จะกดดันรัฐบาลไทยไม่ให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ 48 คนที่ถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2014 กลับประเทศ
ในระหว่างที่ให้ขึ้นตอบคำถามเพื่อรับรองการเสนอชื่อของวุฒิสภาเมื่อวันพุธที่แล้ว รูบิโอบอกว่า “ประเทศไทยคือหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ … (เป็น) พันธมิตรเก่าแก่อันแข็งแกร่ง” พร้อมทั้งว่า “นี่เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า หนทางการทูตน่าจะใช้ได้ผล เมื่อพิจารณาความสำคัญของความสัมพันธ์พร้อมทั้งความใกล้ชิดที่มีอยู่(ระหว่างสองประเทศ)”
รูบิโอยังกล่าวด้วยว่า ชะตากรรมของชาวอุยกูร์ในจีนนั้นเป็น “หนึ่งในเรื่องที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นมา” พร้อมทั้งว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่ถูกรวบตัวจับเพราะเชื้อชาติพร้อมทั้งศาสนาของพวกเขา พร้อมทั้งพวกเขาก็ถูกส่งตัวไปอยู่ในค่าย กลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน …ถูกบังคับใช้แรงงาน – เป็นแรงงานทาส”
นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนบอกว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์ในไทยกลับจีนหมายถึงความเสี่ยงที่คนเหล่านี้จะถูกทรมาน ถูกขังคุกเป็นเวลานาน หรือไม่ก็หายสาบสูญไปเลย
สว.รูบิโอซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมานาน เป็นผู้ร่วมเสนอกฎหมายป้องกันการบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์ปี 2021 (2021 Uyghur Forced Labor Prevention Act) ที่สั่งห้ามการนำเข้าสินค้าจากมณฑลซินเจียง ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่า กระบวนการผลิตนั้นไม่มีการบังคับใช้แรงงาน ขณะที่ จุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนนั้นทำให้สว.ผู้นี้ถูกรัฐบาลกรุงปักกิ่งประกาศดำเนินมาตรการลงโทษมาตั้งแต่เมื่อปี 2020 แล้ว
จีนยืนกรานปฏิเสธคำกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนพร้อมทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศให้สิ่งที่จีนทำในซินเจียงนั้นเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมทั้งรายงานขององค์การสหประชาชาติในปี 2022 ก็พบว่า นโยบายของกรุงปักกิ่งนั้นอาจถือว่า เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติได้ด้วย แต่จีนก็ปฏิเสธคำกล่าวหาทั้งหมดนี้พร้อมทั้งโต้ว่า ทั้งหมดที่ดำเนินการไปเป็นมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายทั้งสิ้น
ในส่วนของประเด็นชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมตัวอยู่ที่ไทยนั้น สถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ กล่าวเมื่อวันพุธที่แล้วว่า คนเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย โดยพบว่า “คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ถูกกองกำลังภายนอกล่อลวงไป หนีมาต่างประเทศพร้อมทั้งเข้าร่วมกับกลุ่ม EMT (East Turkestan Islamic Movement) ซึ่งยูเอ็นพบว่าเป็นองค์การก่อการร้าย ก่อนจะกลายมาเป็นผู้ก่อการร้ายเสียเอง”
ในกรณีของกลุ่ม EMT นั้น สหรัฐฯ เคยขึ้นชื่อเป็นองค์การก่อการร้ายในปี 2002 แต่ปลดชื่อลงในปี 2020 โดยให้เห็นผลว่า ไม่พบ “หลักฐานที่น่าเชื่อถือพร้อมทั้งชัดแจ้งซึ่งพิสูจน์การมีตัวตนของ EMT” อ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานค้นคว้าของรัฐสภาสหรัฐฯ Congressional Research Service
จูลี มิลล์แซบ ผู้จัดการด้านรัฐสัมพันธ์ของกลุ่ม No Business With Genocide ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ไม่ยอมรับคำกล่าวอ้างของจีนในเรื่องนี้พร้อมทั้งบอกกับ วีโอเอ ว่า “ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ความเชื่อมโยงระหว่างคนกลุ่มนี้พร้อมทั้งการก่อการร้ายเลย”
ส่วนอาร์สลาน ฮิดายัต หัวหน้าโครงการ Save Uyghur ของกลุ่ม Justice for All ในสหรัฐฯ บอกกับ วีโอเอ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ชาวอุยกูร์ 43 คนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในไทยนั้นเพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไทยจับถ่ายภาพพร้อมทั้งสั่งให้ลงชื่อในเอกสารที่คล้าย ๆ กับที่เคยใช้กับชาวอุยกูร์กว่า 100 คนที่ถูกบังคับส่งกลับจีนเมื่อปี 2015
ฮิดายัตบอกว่า คนเหล่านี้ “กลัวว่าจะต้องเจอกับการส่งตัวกลับประเทศครั้งใหญ่ จึงปฏิเสธ(สิ่งที่เจ้าหน้าที่ไทยให้ทำ)พร้อมทั้งทำการอดอาหารประท้วงที่ยังดำเนินต่อมาจนถึงวันนี้”
“การถูก(เจ้าหน้าที่)ปฏิบัติต่ออย่างเลวร้าย หรือการถูกทรมาน”
นอกจากชาวอุยกูร์จำนวน 43 คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่ศูนย์ควบคุมตัวของตรวจคนเข้าเมืองไทย (Immigration Detention Center – IDC) แล้ว มีชาวอุยกูร์อีก 5 คนที่ถูกจำคุกหลังพยายามหลบหนีแต่ไม่สำเร็จด้วย พร้อมทั้งรายงานของยูเอ็นในเรื่องนี้มีการพูดถึง “การถูก(เจ้าหน้าที่)ปฏิบัติต่ออย่างเลวร้ายหรือการถูกทรมาน” พร้อมทั้งกรณีมีผู้จบชีวิต 5 รายโดย 2 คนนั้นเป็นเด็ก รวมทั้งการเรียกร้องให้ทางการไทยไม่ส่งตัวบุคคลเหล่านี้ไปจีนหากไม่ได้ทำการตามหลักกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายพร้อมทั้งการประเมินด้านการปกป้องคุ้มครองรายบุคคลเสียก่อน
บะบาร์ บาลอค โฆษกของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugee) บอกกับ วีโอเอ ว่า ทางสำนักงานข้าหลวงฯ กำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งได้พยายามร้องขอการรับประกันต่าง ๆ จากทางการไทยแล้ว
ซัมรีเทย์ อาร์คิน รองประธานองค์กร World Uyghur Congress ที่มีที่ทำการอยู่ในนครมิวนิค ประเทศเยอรมนี บอกกับ วีโอเอ ว่า ทางองค์กร “ยังคงความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้พร้อมทั้งพยายามเพิ่มแรงกดดันจากสาธารณะ” ต่อทางการไทยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อยังมีการหารือระหว่างไทยกับจีนเกี่ยวกับแผนการส่งคนกลุ่มนี้กลับประเทศในช่วงครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศอยู่
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ฮิวแมนไรท์สวอทช์ (Human Rights Watch) ร้องขอให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวชาวอุยกูร์ที่ถูกควบคุมตัวไว้เสียพร้อมทั้งอนุญาตให้คนเหล่านี้เดินทางต่อไปยังประเทศที่ 3 ด้วย
อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวจการภาคพื้นเอเชียของฮิวแมนไรท์สวอทช์ บอกว่า “รัฐบาลไทยที่เข้ามาบริหารประเทศต่อ ๆ กันมายังคงเก็บตัวชาวอุยกูร์ไว้ในสถานที่คุมขังที่ไร้มนุษยธรรม ขณะที่ถูกรัฐบาลจีนกดดันให้ส่งตัวพวกเขาไปยังจีนด้วย” พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ทำให้เรื่องนี้จบลงเสียที
วีโอเอติดต่อไปยังสถานทูตไทยในกรุงวอชิงตันพร้อมทั้งกระทรวงการต่างประเทศของไทยเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับสถานภาพของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ พร้อมทั้งเพื่อขอรายงานเกี่ยวกับโอกาสที่จะทำการส่งตัวคนกลุ่มนี้กลับประเทศ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับใด ๆ
การพลัดพรากของครอบครัว
วีโอเอได้พูดคุยกับ ราฮีล คุณแม่ลูก 3 วัย 32 ปีที่เวลานี้ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศตุรกี พร้อมทั้งเธอไม่ขอเปิดเผยนามสกุลเพื่อความปลอดภัยของครอบครัวในซินเจียง
ราฮีลบอกว่า ตนถูกพรากจากสามีซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่กรุงเทพฯ มาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยสถานการณ์รอบ ๆ ตัวเริ่มเลวร้ายลงในปี 2013 เมื่อชาวอุยกูร์คนหนึ่งที่ทำงานให้กับรัฐบาลจีนเตือนสามีของเธอว่า มีชื่ออยู่ในกลุ่มที่จะถูกจับไปคุมขัง เนื่องจากต้องสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดนพร้อมทั้งลัทธิหัวรุนแรง พร้อมทั้งข่าวนี้ก็ทำให้สามีเธอพาครอบครัวหนีออกจากซินเจียง
สองสามีภรรยาพร้อมทั้งลูก 2 คนเดินทางโดยไม่มีพาสปอร์ตพร้อมทั้งพึ่งพาขบวนการลักลอบคนของเถื่อนพาข้ามแดนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะถูกสกัดจับไว้ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2014 โดยราฮีลพร้อมทั้งลูกชาย 2 คนซึ่งยังเล็กมากต้องใช้ชีวิตในศูนย์คุมขังเป็นเวลา 18 เดือน ก่อนที่ทางการตุรกีจะช่วยผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กกว่า 170 คน พร้อมทั้งพามาอยู่ที่ตุรกี
เธอบอกว่า ในตอนนั้น สามีของเธอยังคงถูกควบคุมตัวพร้อมกับชาวผู้อพยพชาวอุยกูร์กว่า 150 คนในไทย ก่อนที่กว่า 100 คนจะถูกจับตัวส่งกลับจีน พร้อมทั้งเพิ่งทราบภายหลังว่า สามีของเธอยังคงอยู่ที่ประเทศไทย ทำให้เธอหวังว่าจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง เพราะลูกชายคนเล็กสุดที่เกิดเมื่อครั้งยังอยู่ในศูนย์ควบคุมของไทยยังไม่เคยได้พบหน้าพ่อเลย
ในเวลานี้ ราฮีลรับจ้างทำงานหลายอย่างในตุรกีเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว หลังได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นจากชุมชนท้องถิ่นที่เธอย้ายเข้าไปอาศัยอยู่
ราฮีลบอกว่า “เด็ก ๆ ถามว่า ทำไมพ่อของพวกเขาถึงไม่ได้มาอยู่ด้วยกันที่นี่” แต่เธอก็ไม่มีคำตอบให้กับลูก ๆ
ที่มา: วีโอเอ