คลินิกภาคสนามในค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา รวมทั้งโครงการเก็บกู้กับระเบิดในเขตสงคราม พร้อมทั้งงานด้านสาธารณสุขเพื่อเยียวยาผู้ป่วยโรคร้ายแรงจำนวนมาก เช่น โรคเอดส์ คือส่วนหนึ่งของโครงการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งตัดงบประมาณด้านความช่วยเหลือต่างประเทศ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์สั่งระงับความช่วยเหลือจากองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ที่ให้แก่หลายประเทศผ่านโครงการต่าง ๆ เป็นเวลา 90 วัน เพื่อประเมินความสอดคล้องกับนโยบาย “อเมริกามาก่อน” ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่
คำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการทำงานขององค์กรความช่วยเหลือทั่วโลกที่พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลอเมริกันมาตลอด
องค์กรด้านมนุษยธรรม พร้อมทั้งหน่วยงานของสหประชาชาติ บอกว่า พวกตนอาจเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในการทำงาน รวมถึงการแจกจ่ายอาหาร ที่พักพิงพร้อมทั้งการบริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนผู้เดือดร้อนในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก หากว่าคำสั่งระงับความช่วยเหลือนี้มีผลบังคับใช้ในระยะยาว
ปัจจุบัน สหรัฐฯ คือผู้บริจาคความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรายใหญ่ที่สุด ด้วยงบประมาณเกือบ 14,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว หรือราว 42% ของมูลค่าความช่วยเหลือทั้งหมดทั่วโลก ตามรายงานของสหประชาชาติ
เจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือผู้หนึ่งเปิดเผยว่า คลินิกหลายแห่งที่ค่ายผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนไทย ซึ่งเป็นผู้จัดหาที่พักพิงให้แก่ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาราว 100,000 คน ต้องปิดตัวลงเนื่องจากมาตรการระงับเงินช่วยเหลือที่ให้แก่ International Rescue Committee (IRC)
รอยเตอร์พบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังสามารถให้ข้อยกเว้นในบางส่วน เช่น ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร โดยทางรัฐบาลบังกลาเทศระบุในแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ ได้อนุมัติความยกเว้นด้านความช่วยเหลือฉุกเฉินทางอาหารให้แก่ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากว่าหนึ่งล้านคนที่อาศัยอยู่ในบังกลาเทศ
ถ้าหากว่า ข้อยกเว้นนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับโครงการความช่วยเหลืออื่น ๆ รวมท้ังความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่จะส่งผลต่อการจัดหายาต่อต้านเชื้อเอชไอวี เชื้อมาลาเรีย พร้อมทั้งวัณโรค ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลก
หยุดทำงานทันที
ในวันอังคาร ลูกจ้างหลายคนของ USAID รายงานว่า ได้รับคำสั่งให้หยุดการทำงานทันทีหลังมาตรการใหม่ของปธน.ทรัมป์ มีผลบังคับใช้
อะตุล กาวันเด อดีตหัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขโลกของ USAID บอกว่า “นี่เป็นหายนะ” “ยาที่ได้รับบริจาคสามารถช่วยให้ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีราว 20 ล้านคนยังมีชีวิตอยู่ได้” พร้อมทั้งว่า การตัดงบประมาณครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อองค์กรช่วยเหลือเด็กกำพร้าพร้อมทั้งเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีใน 23 ประเทศ
ด้าน ลี จ้าว-เหว่ย ผอ.ของโครงการอาหารโลก (World Food Program) ประจำอัฟกานิสถาน ได้บอกกล่าวกับรอยเตอร์ว่า เธอกังวลว่าการตัดงบนี้จะทำให้ประชาชนผู้หิวโหยกว่า 6 ล้านคนในอัฟกานิสถานจะยิ่งอดอยากมากขึ้น
เอ็นจีโอบางกลุ่มใช้วิธีระดมเงินบริจาคจากเอกชนเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ เช่น องค์กร Freeland Foundation ในกรุงเทพฯ ซึ่งทำงานต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่า ได้เปิดบัญชีในเว็บไซต์ GoFundMe เพื่อระดมเงินสำหรับการทำงานในช่วง 90 วันที่ถูกตัดงบ โดยพบว่า “สองวันที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์ได้ระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ รวมถึงโครงการปกป้องสัตว์ป่าของเรา แต่ว่านักล่าสัตว์พร้อมทั้งนักลักลอบค้าสัตว์ป่ามิได้หยุดพักไปด้วย”
คำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ภารกิจของ USAID พร้อมทั้งองค์กรพันธมิตรต่าง ๆ เกิดความปั่นป่วน หลายองค์กรไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรต่อไป? หรือควรปลดพนักงานบางส่วนหรือไม่?
แต่ยังมีบางองค์กรที่ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ รวมทั้งสำนักข้าหลวงใหญ่ด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติที่บอกว่าทางองค์กรมิได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID
ด้านองค์กรสื่อเสรีบางแห่งชี้ว่า สำนักข่าวอิสระในประเทศที่มีระบอบการปกครองเผด็จการ พร้อมทั้งได้รับเงินจากต่างชาติ อาจไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้
ในเวลาเดียวกัน องค์กร International Campaign to Ban Landmines ซึ่งช่วยเหลือด้านการเก็บกู้กับระเบิดในซีเรีย เมียนมา ยูเครน พร้อมทั้งอัฟกานิสถาน ได้รับผลกระทบจากเงินบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่หายไปเช่นกัน โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อเมริกาคือผู้บริจาคเงินทุนราว 39% ให้กับโครงการนี้ คิดเป็นมูลค่าราว 310 ล้านดอลลาร์
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะหันไปให้ความสำคัญมากขึ้นกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอเมริกันที่เป็นผู้จ่ายภาษี โดยชี้ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะไม่มอบเงินให้อย่างหน้ามืดตามัวโดยที่ไม่มีประโยชน์กลับมาให้คนอเมริกัน การพิจารณาทบทวนพร้อมทั้งจัดลำดับความช่วยเหลือด้านการต่างประเทศเสียใหม่ให้สอดคล้องกับเงินภาษีของประเชาชนนั้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตามจริยธรรมอีกด้วย”
ที่มา: รอยเตอร์