ในสัปดาห์นี้ ข่าวใหญ่ในตลาดการลงทุน มาจากการตั้งกำเเพงภาษีของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะต่อสินค้าเหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียม
ทิศทางนโยบายการค้าที่ว่านี้ เคยเกิดมาเเล้วในสมัยเเรกของการบริหารประเทศของทรัมป์ปี 2017-2021
รอยเตอร์ออกรายงานที่ฉายภาพผลลัพธ์ของเเนวทางดังกล่าว ที่อาจช่วยบอกอนาคตว่าการใช้มาตรการเดียวกันในครั้งนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
เช่นเดียวกับการบริหารประเทศสมัยเเรก ท่าทีล่าสุดนนี้สะท้อนถึงแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจ แต่รอยเตอร์พบว่าเป็นการติดเขี้ยวเล็บที่แหลมคมกว่าเดิม
ปฏิกิริยาตอบกลับเเรกของนโยบายกำเเพงภาษีต่อสินค้าเหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ คือราคาสินค้าที่เเพงขึ้น
ทั้งอะลูมิเนียมพร้อมทั้งเหล็กราคาเพิ่มขึ้นในช่วงปีเเรก ๆ ของการบริหารประเทศสมัยเเรกของทรัมป์ โดยราคาในประเทศดีดตัวเเรงเป็นพิเศษ
ราคาเหล็กสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% ในเดือนเเรกของการเริ่มใช้มาตรการ ส่วนราคาอะลูมิเนียมแพงขึ้น 10%
ถ้าหากว่า เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ราคาอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ปรับตัวลง ตามมาด้วยการลดลงของราคาเหล็กในประเทศ ส่วนการที่ราคาสินค้าเหล่านี้ในสหรัฐฯ แพงกว่าในต่างประเทศยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป พร้อมทั้งส่วนต่างกว้างกว่าช่วงก่อนตั้งกำเเพงภาษี
การปรับฐานลงมาของราคาโลหะทั้งสองประเภทยังคงไม่มากพอ หากเทียบกับการเพิ่มขึ้นในช่วงเเรก โดยเฉพาะเหล็กที่มีระดับภาษี 25% โดยราคาเหล็กไม่ได้ลดลงต่ำกว่าระดับก่อนใช้มาตรการภาษี จนกระทั้งเดือนมกราคมปี 2019
กลางปีดังกล่าว สหรัฐฯ เลิกมาตรการภาษีต่อเหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมของแคนาดาพร้อมทั้งเม็กซิโก ซึ่งรวมกันสองประเทศมีส่วนแบ่งตลาดนำเข้า 27% ของเหล็กที่สหรัฐฯ ซื้อจากต่างประเทศ พร้อมทั้ง 43% สำหรับอะลูมิเนียม
เมื่อโจ ไบเดนรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากทรัมป์ เขายกเลิกมาตรการภาษีโลหะต่อสหภาพยุโรปในปี 2021 ท่ามกลางราคาเหล็กที่เเพงเป็นสถิติใหม่เนื่องจากความปั่นป่วนของระบบขนส่งพร้อมทั้งผลิตสินค้าโลกช่วงไวรัสโคโรน่า-19 ระบาด
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมราคาถูกลง มาจากการเพิ่มการผลิตสินค้าเหล่านี้
ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ วิลเลียม ฮอค ที่มหาวิทยาลัยเซาธ์คาโรไลนา ที่เชี่ยวชาญเรื่องการค้าระหว่างประเทศบอกว่า “มาตรการภาษีสามารถเป็นเเรงจูงใจให้ผู้ผลิตเหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมสหรัฐฯ เพิ่มกำลังการผลิต หรือนำกำลังการผลิตที่ว่างอยู่มาใช้”
เขาเสริมว่า การเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเหล่านี้ในประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เวลาเเละเงินทุนในระดับสูง จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าราคาไม่ได้ลงมารวดเร็วเมื่อเทียบกับการดีดขึ้นในตอนเเรก
ในในเวลาเดียวกัน ราคาที่เเพงขึ้นโดยรวมหมายถึงต้นทุนการผลิตของสินค้าที่ใช้เหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ เช่นในกิจการก่อสร้างพร้อมทั้งคมนาคม ซึ่งมีส่วนให้การขยายตัวของอุตสาหกรรมชะลอลงหลังจากที่เกิดมาตรการภาษี
ส่วนผลลัพธ์เรื่องการจ้างงาน มองได้หลายเเง่มุม ตามรายงานของรอยเตอร์
ด้านหนึ่งเกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมผลิตโลหะ จำนวนคนที่ทำงานในโรงงานผลิตเหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้นในปี 2017 พร้อมทั้ง 2019 ที่ระดับ 6% พร้อมทั้ง 5% ตามลำดับ
แต่ในเวลาต่อมา เมื่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อเม็กซิโกพร้อมทั้งเเคนาดาถูกยกเลิกไป พร้อมทั้งตลาดได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ลดลงช่วงการระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 การจ้างงานในอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้เติบโตต่อเนื่องอย่างเช่นในตอนเเรก
การศึกษาโดยระบบธนาคารสหรัฐฯ หรือเฟดเมื่อปี 2019 ชี้ว่าต้นทุนที่สูงขึ้นในการผลิตบางประเทศเนื่องจากมาตรการภาษีปี 2018 ทำให้การจ้างงานในภาคการผลิตลดลง เทียบกับสถานการณ์จำลอง ภายใต้สมมุติฐานว่าไม่มีการใช้มาตรการภาษีพร้อมทั้งราคาต้นทุนโลหะที่สูงขึ้น
รอยเตอร์รายงานว่ามาตรการภาษีรอบใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังเกิดขึ้น น่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์คล้ายกับครั้งเเรก แต่หนักหน่วงกว่าเดิมเพราะมาพร้อมกับมาตรการภาษีการค้าอื่น ๆ
ผลการสำรวจความเห็นไม่นานนี้ชี้ว่า ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีมากขึ้น เนื่องจากมาตรการภาษี
ถ้าหากว่าประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ของเศรษฐกิจอเมริกัน
รอยเตอร์ปิดท้ายรายงานชิ้นนี้โดยพบว่า ยังคงต้องรอในอีกหลายเดือนจากนี้ กว่าที่ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดจริงกับเศรษฐกิจ
ที่มา: รอยเตอร์
ส่องผลการขึ้นภาษีโลหะยุคทรัมป์ 1 – บอกอนาคตได้อย่างไรบ้าง
