วิเคราะห์: เช็คไพ่เศรษฐกิจ-ความมั่นคงไทย รับมือการเมืองโลกเปลี่ยน

สองเดือนของการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โลกได้เห็นการขยับจากกรุงวอชิงตันที่กระทบกับระเบียบโลกที่คุ้นชิน
รูปธรรมของแรงกระเพื่อมมาในรูปแบบของการปรับท่าทีเข้าหารัสเซียมากขึ้น ขณะที่ทิ้งระยะห่างจากพันธมิตรเดิมเช่นยูเครนพร้อมทั้งยุโรป รวมถึงมาตรการกำแพงภาษีที่ไม่ละเว้นพันธมิตรที่ชิดใกล้อย่างเม็กซิโกพร้อมทั้งแคนาดา ซึ่งในอนาคตอาจหมายรวมไปถึงหุ้นส่วนอีกหลายชาติ รวมถึงไทย
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงในประเทศพร้อมทั้งระหว่างประเทศ ให้ทรรศนะกับวีโอเอไทยว่ายังมีจุดที่ไทยยังสามารถใช้ประโยชน์ได้จากสายลมการเมืองที่กำลังเปลี่ยนทิศ
หนึ่งในจุดที่น่าจับตามองคือมิติด้านความมั่นคง ที่ผ่านมาไทยถือเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นยาวนานกับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรในระดับสนธิสัญญา มีการซ้อมรบร่วมประจำปี ‘คอบร้าโกลด์’ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ไปจนถึงหลักนิยมทั้งในหลักสูตรการศึกษาพร้อมทั้งการจัดวางกำลังพลที่อิงกับสหรัฐฯ พร้อมทั้งชาติตะวันตก
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าไทยขยับเข้าหาจีนมากขึ้น สะท้อนจากการซ้อมรบร่วมในรหัส STRIKE ที่ขยายตัว ไปจนถึงดีลซื้อเรือดำน้ำหลักหมื่นล้านบาท ที่เริ่มตั้งแต่ยุครัฐบาลทหาร แต่ยังติดขัดเรื่องการส่งมอบ สืบเนื่องจากการที่จีนจัดหาเครื่องยนต์มาติดตั้งไม่ได้ทันเวลา
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร หลังการรัฐประหารปี 2549 พร้อมทั้ง 2557 เป็นช่วงที่สหรัฐฯ กระอักกระอ่วนในการพูดคุยกับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่จีนขยายอำนาจลงมาในภูมิภาคอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งรุนแรง
“ถ้าดูในแง่ของภูมิรัฐศาสตร์ เราก็จะเห็นว่าจีนเข้าไปทางพม่า มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพม่ามีเขตที่เรียกว่า economic corridor (ระเบียงเศรษฐกิจ) พร้อมทั้งสามารถลงมหาสมุทรอินเดียได้ ทางด้านตะวันออกก็รุกผ่านลาว ผ่านกัมพูชา ตอนนี้มีฐานทัพอยู่ที่ภาคใต้กัมพูชาคือ (ฐานทัพเรือ) เรียม
“ถ้าเรามองในแง่แบบนั้นก็คือไทยอยู่ภายใต้โดมทางด้านความมั่นคงของจีนในระดับภูมิภาคแล้ว เพราะฉะนั้นก็โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับจีนคงเป็นไปได้ยาก” สุภลักษณ์กล่าว
ข้ามกำแพงภาษีตอบโต้อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตามอง คือกำแพงภาษีของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการปรับดุลการค้ากับต่างชาติที่มองว่าไม่เป็นธรรมกับรัฐบาลวอชิงตัน ซึ่งจะออกมาในรูปแบบของมาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ในอัตราเทียบเท่ากับที่ประเทศต่าง ๆ บังคับใช้กับสินค้าของสหรัฐฯ
ในภาพรวม สหรัฐฯ เสียดุลการค้าไทยสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองมาจากเวียดนาม พร้อมทั้งไทยเองก็มีตลาดส่งออกหลักอันดับหนึ่งคือสหรัฐฯ มาตรการกำแพงภาษีตอบโต้จึงถูกมองว่าอาจส่งผลกระทบมาถึงไทยด้วย
กอปร์ธรรม นีละไพจิตร นักวิจัยนโยบายสาธารณะ พบว่ากลุ่มประเทศแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีตอบโต้ โดยมากคือพันธมิตรของสหรัฐฯ พร้อมทั้งในกรณีที่จีนเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษี ก็จะเป็นทั้งโจทย์ของผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมทั้งโอกาสของรัฐบาลไทยในการชวนนักลงทุนเข้ามาในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
“ตัวที่จะต่อรองได้ ผมคิดว่ายังยากถ้าต่อรองด้วยสินค้าโดยตรง แต่วิธีที่เป็นไปได้ก็คือการที่รัฐบาลอาจจะต้องเร่งการเจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง ในการที่จะแลกเปลี่ยนสิทธิประโยชน์บางอย่างหรือว่าลดภาษีนําเข้าของสหรัฐฯ บางประการ” กอปร์ธรรมกล่าว
กอปร์ธรรมเสนอด้วยว่าไทยอาจต้องลดการพึ่งพิงสหรัฐฯ พร้อมทั้งมองหาตลาดใหม่ ๆ เพิ่ม เช่น อาเซียน ยุโรปพร้อมทั้งตะวันออกกลาง ไปจนถึงประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในกลุ่ม BRICS ซึ่งรวมถึงจีนพร้อมทั้งรัสเซีย ที่ไทยเพิ่งเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วน เมื่อ 1 มกราคมปีนี้
ทางด้าน ริชาร์ด ฮอร์ซีย์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเมียนมา จากองค์กร International Crisis Group มองว่าไทยกำลังเผชิญความท้าทายในช่วงนี้ จากการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐฯ พร้อมทั้งอิทธิพลของจีนที่แผ่ขยายลงมาทางเมียนมา ผ่านเวทีทางการเมืองกับรัฐบาลทหาร พร้อมทั้งการปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพออนไลน์ตามชายแดนที่ติดกับไทย ที่สร้างความเสียหายทั่วโลกหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
เขาบอกว่า เป็นความท้าทายของไทยที่จะรักษาความเป็นอิสระในทางการทูตพร้อมทั้งนโบายต่างประเทศภายใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจ ในขณะที่ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ก็ซับซ้อนขึ้น
หนึ่งในหมุดหมายที่อาจสะท้อนแรงกดดันของจีนต่อไทยที่น่าจับตามองสำหรับที่ปรึกษาจาก Crisis Group คือกรณีของเสอ จื้อเจียง ผู้บริหารกลุ่มผู้สร้างเมืองชเวโก๊กโก่ในเมียนมาที่กลายเป็นฐานปฏิบัติการมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ปัจจุบันอยู่ในการจองจำของไทยพร้อมทั้งกำลังคัดค้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับจีน พร้อมทั้งอ้างว่าเขาถูกรัฐบาลจีนกลั่นแกล้งใส่ความ
ในวันที่ตัวละครในการเมืองโลกกำลังปรับบทบาท สุภลักษณ์มองว่าการสร้างสมดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจเป็นเรื่องที่ยาก แต่ยังพอมีหลักให้แอบอิงได้ เช่นกลไกระหว่างประเทศ แทนที่จะรับแรงกดดันจากชาติมหาอำนาจเพียงอย่างเดียว
“ประเทศที่มีไซส์ขนาดเล็กเนี่ยมันก็ต้องไปหาหลักอย่างอื่นมาบาลานซ์ (สร้างสมดุล) เช่นกรณีอุยกูร์เราก็ต้องพูดว่ามันมีหลักการสากล หลักสิทธิมนุษยชน กฎบัตรต่าง ๆ ของยูเอ็น ซึ่งเราเข้าเป็นภาคี จีนก็เข้าเป็นภาคี อันนี้มันถึงจะเอามาเป็นหลักต่อรอง อย่างนี้ก็ถึงจะเรียกว่าทําบาลานซ์ ไม่ใช่เป็นการไปขอประกันความเสี่ยงจากจีน” สุภลักษณ์กล่าว
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก หน่วยงานสำมะโนสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์ไทย สำนักข่าวอิศรา