มองย้อนสัมพันธ์จีน-อินเดีย 2024: หอกข้างแคร่ หรือมิตรแท้ทางเศรษฐกิจ

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของจีนพร้อมทั้งอินเดียที่เคยบาดหมางเย็นชาเพราะปัญหาตามแนวพรมแดนเทือกเขาหิมาลัย เริ่มละลายพร้อมทั้งกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าความไม่เชื่อใจซึ่งกันพร้อมทั้งกันยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของสองชาติมหาอำนาจแห่งเอเชียคู่นี้

ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนของจีนพร้อมทั้งอินเดียความยาว 3,488 กม. บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ปะทุขึ้นเมื่อปี 2020 เมื่อเกิดการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ทำให้ทหารอินเดียจบชีวิต 20 คน พร้อมทั้งทหารจีนจบชีวิต 4 คน 

หลังจากนั้น ทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางบรรเทาความขัดแย้งนี้ผ่านการเจรจาทางการทูต รวมทั้งการพบกับเมื่อเดือนตุลาคม ระหว่างประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี นอกรอบจากการประชุมกลุ่ม BRICS ที่รัสเซีย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย สุพรหมณยัม ชัยศังกระ กล่าวต่อรัฐสภาในเดือนนี้ว่า การถอนทหารของสองประเทศออกจากแนวพรมแดนที่ติดกันในแถบเทือกเขาหิมาลัย ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของจีนพร้อมทั้งอินเดียกลับสู่เส้นทางที่ดีขึ้น แต่ยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนดังกล่าวเอาไว้ 

รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย บอกว่า “การรักษาสันติภาพพร้อมทั้งความสงบบริเวณพรมแดนถือเป็นเงื่อนไขแรกก่อนที่จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองประเทศ”

แม้ทหารจีนพร้อมทั้งอินเดียต่างยอมถอยออกมาจากการประจันหน้าตรงชายแดน แต่ยังคงมีกำลังพลหลายหมื่นคนที่ประจำการในแถบเทือกเขาหิมาลัยตลอดห้าปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับปืนใหญ่พร้อมทั้งเครื่องบินรบไอพ่นที่ยังเตรียมพร้อมไม่ไกลจากแนวชายแดน

ศาสตราจารย์สวาราน ซิงห์ แห่งภาควิชาการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยชวาหะร์ลาล เนห์รู ในกรุงนิวเดลี บอกว่า “บรรยากาศบริเวณชายแดนนั้นตึงเครียดมาตลอดสี่ปี การเปลี่ยนให้เป็นความสงบนั้นต้องใช้มาตรการเชิงโครงสร้างทั้งในการปฏิบัติ ขวัญกำลังใจพร้อมทั้งจิตวิทยา ซึ่งล้วนต้องอาศัยเวลา” 

การเจรจาระดับสูงทางการทูตเพื่อหารือข้อพิพาทนี้มีขึ้นอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในการประชุมของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ พร้อมทั้งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย อาจิต โดวัล ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันร่วมหาแนวทางจัดการความขัดแย้งนี้อย่าง “ยุติธรรม สมเหตุสมผล พร้อมทั้งยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย” 

นอกจากนี้ ยังตกลงกันที่จะยินยอมให้ผู้แสวงบุญจากอินเดียสามารถเดินทางไปยังทิเบตได้ รวมทั้งฟื้นฟูการค้าข้ามพรมแดนผ่านช่องเขาในแถบนั้นด้วย

ศาสตราจารย์สวาราน ซิงห์ ชี้ว่า “ประเด็นตามแนวพรมแดนเป็นสิ่งที่อินเดียต้องการแก้ไขจัดการเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มขยายการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับจีน” 

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

แม้ยังคงมีการขัดแย้งด้านการทหาร แต่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของจีนพร้อมทั้งอินเดียกลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยอินเดียนั้นต้องการเพิ่มการนำเข้าจากจีนเพื่อยกระดับอินเดียให้เป็นศูนย์กลางการผลิตในเอเชีย ในขณะที่จีนก็ต้องการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในอินเดียเช่นกัน

ฮาร์ช แพนท์ รองประธานมูลนิธิ Observer Research Foundation ในกรุงนิวเดลี บอกว่า “แม้ความสัมพันธ์ทางการเมืองอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของประเทศกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งดูเหมือนอินเดียได้เปิดรับสินค้าจีนมากขึ้นในบางอุตสาหกรรม” 

ถ้าหากว่า นอกจากประเด็นข้อพิพาทตามแนวพรมแดน อินเดียยังคงมีความกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของจีนในทหาสมุรอินเดีย ซึ่งรวมถึงการสร้างท่าเรือในศรีลังกา ปากีสถาน พร้อมทั้งเมียนมา 

ในในเวลาเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่าอินเดียจะยังคงกระชับสัมพันธ์กับขั้วชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ต่อไปด้วยเพื่อคานอำนาจของจีน 

ฮาร์ช แพนท์ มองว่า “ทั้งอินเดียพร้อมทั้งสหรัฐฯ ต่างมุ่งหวังสร้างเครือข่ายภูมิยุทธศาสตร์แบบเฉพาะในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งการมีเสรี สมดุล ครอบคลุม เปิดกว้างพร้อมทั้งยุติธรรม ซึ่งแนวคิดนี้จะยังคงทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ) เดินหน้าต่อไป”

ปัจจุบัน อินเดียกับสหรัฐฯ ร่วมมือกันในหลายด้าน ตั้งแต่การทหารไปจนถึงเทคโนโลยีระดับสูง พร้อมทั้งอเมริกายังเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอินเดียด้วย 

โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ได้บอกกล่าวกับนิตยสารการต่างประเทศ ‘India’s World’ เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ความสัมพันธ์ของอินเดียพร้อมทั้งสหรัฐฯ นั้น “ยิ่งใหญ่พร้อมทั้งสำคัญ” พร้อมทั้งจะแน่นแฟ้นต่อไปแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความเห็นแตกต่างกันในบางเรื่องก็ตาม 

ที่มา: วีโอเอ