ญาติเหยื่อสแกมเมอร์ในเมียนมาโอดครวญช่องโหว่ในกฎหมายจีน

องค์การสหประชาชาติประเมินว่า มีผู้ถูกล่อลวงไปทำงานให้กับแก็งคอลเซนเตอร์พร้อมทั้งสแกมเมอร์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแสนคน นับตั้งแต่การระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 นำไปสู่การหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี 

รายชื่อผู้ตกเป็นเหยือของแก็งสแกมเมอร์จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ถูกส่งไปให้กับเจ้าหน้าที่ทางการจีน โดยเชื่อว่าพวกเขายังคงถูกกักตัวไว้ตามศูนย์ที่เมืองต่าง ๆ ตามแนวพรมแดนเมียนมาพร้อมทั้งไทย เช่น เมืองเมียวดี

ภายใต้โครงการช่วยเหลือที่ชื่อว่า “Star Homecoming” มีการระบุชื่อเหยื่อแก็งลักลอบค้ามนุษย์เกือบ 1,800 คน ในจำนวนนี้ 93% เป็นผู้ชาย พร้อมทั้งมีอายุเฉลี่ย 27 ปี 

สำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์สอบถามไปยังญาติพี่น้องของชาวจีนสี่คนที่เชื่อว่าถูกนำตัวไปยังศูนย์คอลเซนเตอร์ในเมียนมา ซึ่งบอกว่า พวกเขาพยายามเรียกร้องให้ทางการจีนช่วยเหลือญาติของพวกเขาให้เป็นอิสระ 

หลายคนระบุถึงความยากลำบากทางเศรษฐกิจของครอบครัว พร้อมทั้งภาวะหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยเป็นคนงานก่อสร้างที่ต้องตกงานเพราะวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน ทำให้พวกเขาตัดสินใจเดินทางไปทำงานที่เมียนมาตามการล่อลวงของขบวนการค้ามนุษย์ 

ทั้งนี้ กฎหมายจีนไม่ถือว่าผู้ชายคือเหยื่อของการลักลอบค้ามนุษย์ พร้อมทั้งจำกัดการช่วยเหลือไว้เฉพาะผู้หญิงพร้อมทั้งเยาวชนเท่านั้น  ทำให้มีครอบครัวของผู้ชายที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซนเตอร์จำนวนมากที่ไม่สามารถยื่นคำร้องแจ้งบุคคลสูญหายกับทางตำรวจได้ อ้างอิงจากรายงานของรอยเตอร์

สตรีผู้หนึ่งซึ่งสามีของเธอหายตัวไปหลังจากตอบรับการเสนอตำแหน่งงานในเมียนมา ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นการหลอกลวงจากสแกมเมอร์ บอกว่า เธอต้องการยื่นเอกสารแจ้งกับตำรวจว่าสามีเป็นบุคคลสูญหาย แต่ตำรวจบอกว่ารับแจ้งเฉพาะผู้หญิงกับเด็กเท่านั้น 

ขณะที่สตรีอีกผู้หนึ่งบอกกับรอยเตอร์ว่า สามีของเธอหายตัวไปแต่ตำรวจไม่รับแจ้งเช่นกันเนื่องจากเขาหายไปพร้อมหนังสือเดินทาง

สมาชิกครอบครัวอีกหลายคนที่มีผู้ชายในครอบครัวหายตัวไป แสดงความหวังว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ทางการจีนหันมาใส่ใจเรื่องการลักลายค้ามนุษย์กับเหยื่อที่เป็นผู้ชายมากขึ้น

ที่มา: รอยเตอร์