admin
จับสึกพระเมาสุรา ขอเรี่ยไรเงินคนใจบุญ อ้างจะนำไปแจกช่วยคนเร่ร่อน
กองปราบ เตรียมส่งฟ้องสำนวนคดี “เชน ธนา” ปลายเดือนนี้
วิบากกรรม ‘ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวจีน’ อนาคตไม่แน่นอนของ ในยุคทรัมป์ 2.0
ข่าวฉาว! รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ว่าที่ รมต.กลาโหม-ยุติธรรม ถูกกล่าวหากระทำผิดทางเพศ
รมว.พาณิชย์ฯ เชื่อไทยอาจได้ ‘ส้มหล่น’ ใน สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
ญี่ปุ่นหมายตา ‘ระบบขนส่งจีน’ ขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
ระบบของจีนที่กำลังได้รับการพิจารณาใช้พลังงานไฮโดรเจนที่พัฒนาโดยรัฐวิสาหกิจจีน ‘ซีอาร์อาร์ซี’ นอกจากนี้ยังมีบริษัทญี่ปุ่นอื่น ๆ อีกที่เป็นทางเลือกในโครงการนี้
ระบบที่เรียกว่า Autonomous Rail Rapid Transit หรือ ART ของจีนมีความคล้ายรถแทรม ตรงที่มีหลายตู้โดยสาร แต่ก็มีความคล้ายรถบัสตรงที่ใช้ล้อยางในการเเล่น แทนที่จะเป็นการเคลื่อนที่บนรางรถไฟ
ผู้ว่าการจังหวัดยามานาชิ โคทาโร นางาซากิ กล่าวที่งานแถลงข่าวว่า หากทางการเลือกแนวทาง “ฟูจิ แทรม” นี้ ก็จะสามารถลดคาก่อสร้างได้อย่างมาก
เขาบอกว่าวิธีนี้อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งยังช่วยบริหารไม่ให้มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปภูเขาไฟฟูจิมากเกินไปด้วย
“ขณะที่เราเคารพบริษัทผู้นำในโครงการนี้ ผมหวังว่าบริษัทญี่ปุ่นจะรับงานนี้ พร้อมทั้งจะยิ่งดีกว่านี้ถ้ามีการผลิตภายในยามานาชิ” ผู้ว่าการจังหวัดรายนี้กล่าว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังภูเขาไฟยอดนิยมแห่งนี้ เพิ่มขึ้นมหาศาลพร้อมทั้งสร้างความกังวลต่อเจ้าหน้าที่เรื่องผลกระทบต่อสิ่งเเวดล้อม
ทางการใช้มาตรการบริหารไม่ให้จำนวนนักท่องเที่ยวมากเกินไป พร้อมทั้งการเก็บค่าธรรมเนียม 2,000 เยน หรือประมาณ 450 บาท ช่วยทำให้นักปีนภูเขาไฟฟูจิช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ลดลงมาที่ 178,000 คน เทียบกับกว่า 200,000 รายเมื่อปีที่เเล้ว
เจ้าหน้าที่ในยามานาชิ ซึ่งอยู่ในด้านยอดนิยมของภูเขาไฟ ประกาศแผนเมื่อปี 3 ปีก่อน ที่จะสร้างระบบขนส่งราง ไปที่ระดับความสูง 2,305 เมตร
ในเวลานี้ ผู้ที่มาเยือนมาสามารถขับรถขึ้นไปที่ระดับดังกล่าว จากนั้นต้องเดินต่อไปที่ยอดภูเขาไฟแห่งนี้ที่ระดับความสูง 3,776 เมตร
คาดว่ามูลค่าโครงการระบบขนส่งดังกล่าวจะอยู่ที่ 140,000 ล้านเยนหรือ กว่า 33,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้ จะเชื่อมกับสถานีขนส่งระดับภูมิภาค พร้อมทั้งน่าจะเปิดให้บริการได้อย่างเร็วอีก 10 ปีจากนี้
การศึกษาความเป็นไปได้จะถูกเปิดเผยให้ประชาชนในพื้นที่พิจารณาด้วย
ทั้งนี้ญี่ปุ่นตั้งเป้ารับนักท่องเที่ยว 60 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2019
ที่มา: เอเอฟพี
เปิดข้อมูล ‘สงครามหุ่นยนต์’ เมื่อศึกรัสเซีย-ยูเครน ครบ 1,000 วัน
บริษัทอันเวฟ (Unwave) ผู้ผลิตเครื่องก่อกวนสัญญาณโดรน ของยูเครนเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้
ยูริว เชลมุค ผู้ร่วมก่อตั้งอันเวฟเมื่อปีที่เเล้วบอกว่า จากเดิมที่เเทบไม่มีใครสนใจผลิตภัณฑ์ของเขา ปัจจุบันความต้องการพุ่งขึ้น จนต้องผลิตเครื่องก่อกวนสัญญาณโดรน 2,500 เครื่องต่อเดือน พร้อมทั้งระยะเวลารอสินค้านานยืดยาวไปถึง 6 สัปดาห์
ความสนใจผลิตอาวุธสมัยใหม่ในยูเครนเกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีที่เเล้ว ที่รัสเซียใช้โดรนในการรบมากขึ้นเเละสามารถต้านการตีกลับของยูเครนได้
ปัจจุบันยูเครนมีบริษัทผู้ผลิตเพื่อป้อนความต้องการทางกลาโหมทั้งหมดกว่า 800 แห่ง โดยกว่าครึ่งหนึ่งถูกก่อตั้งขึ้นหลังจากที่รัสเซียบุกยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2022 ท่ามกลางสนามรบที่ได้เห็นการใช้โดรนทางนำ้พร้อมทั้งทางบก พร้อมทั้งมาพร้อมกับเทคโนโลยีต่อต้านโดรน รวมทั้งการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการรบ
รอยเตอร์รายงานว่า จำนวนโดรนที่ผลิตโดยรัสเซียพร้อมทั้งยูเครนเข้าใกล้ 1 ล้าน 5 แสนเครื่องเเล้วในปีนี้ ส่วนมากเป็นโดรนขนาดเล็ก ราคาหลักร้อยดอลลาร์
เจ้าหน้าที่กลาโหมของยูเครนได้บอกกล่าวกับรอยเตอร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า การที่รัสเซียมีโดรนจำนวนมากกว่าทำให้ยูเครนประสบความยากลำบากในการเคลื่อนกำลังพร้อมทั้งสร้างป้อมค่ายของตน
บริษัทอันเวฟเป็นหนึ่งใน 30 ผู้ประกอบการที่ผลิตอุปกรณ์บล็อกสัญญาณโดรนพร้อมทั้งก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ภายในโดรน เพื่อรับมือกับรัสเซียในสงครามรูปแบบใหม่
เนื่องจากรัสเซียสามารถเปลี่ยนช่องสัญญาณบังคับโดรน บริษัทของยูเครนยังต้องคอยสืบตามห้องเเชตออนไลน์ว่ารัสเซียเลือกใช้ช่องสัญญาณใดบ้าง
เนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อกำลังทหารมีเพิ่มขึ้น แหล่งข่าว 7 ราย จากรัฐบาลพร้อมทั้งจากอุตสาหกรรมกลางโหมบอกกับรอยเตอร์ว่า การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ระบบสั่งการแทนมนุษย์ จะเป็นเเนวทางหลักของยุทธศาสตร์สงครามสมัยใหม่ในอีกหลายปีจากนี้
โอสเทป ฟลุนต์ เจ้าหน้าที่จากกองพลที่ 67 ที่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องจักรกล บอกว่า “จำนวนทหารในสนามเพลาะลดลงอย่างมาก พร้อมทั้งเราสามารถทำสงครามผ่านการสั่งการจากระยะไกลได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่บุคลากรของเราอาจถูกสังหาร”
ที่ยูเครน ปัจจุบันบริษัทกว่า 160 แห่งรับงานผลิตพาหนะภาคพื้นดินไร้คนขับ ตามข้อมูลของหน่วยงาน Brave1 ที่ไดัรับการสนับสนุนจากรัฐ
พาหนะภาคพื้นดินไร้คนขับ เหล่านี้สามารถทำงานได้หลายอย่าง ตั้งเเต่ส่งเสบียง ไปจนถึงติดปืนที่รับคำสั่งยิงจากระยะไกล
ฟลุนต์ แห่งกองทัพยูเครนบอกว่า “สงครามยุคใหม่คือการเผชิญหน้ากันของเทคโนโลยี การตรวจจับ ก่อกวนสัญญาณ พร้อมทั้งการทำลายล้างระยะไกล”
รัฐมนตรีกระทรงอาวุธ เฮร์แมน สมีทานิน ได้บอกกล่าวกับรอยเตอร์ว่า “ในอนาคตอันใกล้ สงครามหุ่นยนต์ จะเป็นทิศทางหลักของการพัฒนา”เพราะกองทัพต้องการลดความสูญเสียต่อชีวิตกำลังพล
ยูเครนเองหวังว่าเทคโนโลยีกองทัพอาจเป็นเครื่องจักรหนึ่งทางเศรษฐกิจที่เสียหายอย่างมากหลังจากการรุกรานของรัสเซีย โดยที่ผ่านมารัฐบาลเคียฟทุ่มเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ ในการยกระดับความสามารถด้านกลาโหม
ศักยภาพทางการผลิตอาวุธของยูเครนเติบโตแบบก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 20,000 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้จาก 1,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022
ถ้าหากว่า รัฐมนตรีสมีทานิน บอกว่าเนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ กำลังการผลิตไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ ดังนั้นยูเครนจึงมีศักยภาพด้านนี้ที่ยังไม่ได้ใช้
บริษัทอาวุธของยูเครน 4 แห่งที่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์บอกว่าอีกปัญหาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ภายในประเทศคือการขาดแคลนบุคคลากร
คาเทอรินา มิคัลโค ผู้อำนวยการสมาคม Tech Force in UA ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ผลิตอาวุธ บอกว่า 85% ของบริษัท 38 แห่งในการสำรวจความเห็น กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปนอกประเทศ หรือไม่ก็ทำเช่นนั้นไปเรียบร้อยเเล้ว
บริษัทหลายแห่งบอกว่า อุปสรรคสำคัญยังมาจากการห้ามส่งออกอาวุธในยามสงคราม โดยที่ทางการยูเครนกังวลว่าประชาชนอาจไม่พอใจถ้ายูเครนซึ่งยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากต่างชาติ ผันตัวไปเป็นประเทศส่งออกอาวุธ
ที่มา: รอยเตอร์
ปธ.สภาฯ ย้ำ‘ครม.ทรัมป์ 2.0’ มุ่งเปลี่ยนแปลงอเมริกาจากที่เป็นอยู่
ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าเสนอชื่อคณะทำงานในรัฐบาลชุดใหม่ของเขาในช่วงสุดสัปดาห์ รวมถึงคริส ไรท์ ซีอีโอบริษัทน้ำมัน ลิเบอร์ตี เอเนอร์จี (Liberty Energy) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับบรรดาผู้ภักดีกับเขาในตำแหน่งสำคัญของคณะรัฐมนตรี
หนึ่งในผู้ที่ทรัมป์เสนอชื่อ คือ อดีตส.ส.แมตต์ เกตซ์ ที่ทรัมป์จิ้มเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรียกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนที่เขาจะลาออกจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ก่อน คณะกรรมาธิการด้านจริยธรรมได้สอบสวนเขาในประเด็นกระทำผิดทางเพศพร้อมทั้งใช้ยาเสพติดผิดกฎหมาย ซึ่งเกตซ์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ในเรื่องนี้ ส.ส.อดัม ชิฟฟ์ จากพรรคเดโมแครต ได้กล่าวในรายการ State of The Union ของสถานีโทรทัศน์ CNN ว่า ในมุมมองของเขานั้น เกตซ์ไม่มีคุณสมบัติในการรับตำแหน่งที่ได้รับการเสนอชื่อ
ส.ส. ชิฟฟ์ บอกว่า “เรากำลังจะมีรัฐมนตรียุติธรรมที่มีข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็ก ใช้ยาเสพติดผิดกฎหมาย ขัดขวางกระบวนการสอบสวน ผู้ซึ่งไม่มีประสบการณ์ในกระทรวงยุติธรรม แต่มีแค่ถูกสอบสวนโดยกระทรวงจริงหรือ”
ด้านสว.มาร์คเวน มัลลิน จากพรรครีพับลิกัน เชื่อว่าวุฒิสภาควรเข้าถึงข้อมูลการสอบสวน แต่ได้กล่าวในรายการ Meet the Press ของสถานีโทรทัศน์ NBC ว่า เกตซ์ควรได้รับโอกาสในการยืนยันสำหรับตำแหน่งนี้
สว. มัลลิน บอกว่า “ผมไม่สงสัยเลยว่าประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่า แมตต์ คือคนที่เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่ง แมตต์จะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกับผู้ได้รับการเสนอชื่อคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน”
ฝั่งส.ส.ฮาคีม เจฟฟรีส์ จากพรรคเดโมแครต ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งร่วมรายการ Meet the Press ในวันอาทิตย์ ตั้งคำถามถึงตัวเลือกที่ว่าที่ปธน.ทรัมป์เสนอมา ว่าบางรายขาดประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ได้รับ
ส.ส. เจฟฟรีส์ บอกว่า “นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่อเมริกามีอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ ที่มีความท้าทายมากมายที่เราต้องเผชิญอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน”
ทางประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ไมค์ จอห์นสัน ได้ย้ำอีกครั้งในรายการ State of the Union เมื่อวันอาทิตย์ว่า ด้วยเสียงที่โหวตให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ ชาวอเมริกันได้มอบอาณัติสัญญาให้กับพรรครีพับลิกันในการเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่
ปธ.สภาฯ จอห์นสัน บอกว่า “ประธานาธิบดีทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอชื่อคณะรัฐมนตรีของตน เสนอชื่อบุคคลที่พวกเขาคิดว่าจะเข้ามาบรรลุเป้าหมายของพวกเขา พร้อมทั้งคนที่อยู่ในรายชื่อนี้จะต้องทำได้ พวกเขาจะเข้าไปในหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแล พร้อมทั้งพวกเขาจะเข้าไปปฏิรูปมัน”
ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ส่วนใหญ่ จะได้รับการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งว่าที่ปธน.ทรัมป์ ยังได้เรียกร้องให้ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ เปิดทางให้เขาสามารถแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เขาเสนอชื่อได้โดยตรง “ในช่วงที่ไม่ได้อยู่ในสมัยประชุมสภา” หรือ recess appointments ซึ่งวิถีทางดังกล่าวอาจเป็นการตัดขั้นตอนการให้ผู้ได้รับเสนอชื่อขึ้นตอบคำถามต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ ไปนั่นเอง
ที่มา: วีโอเอ
อิสราเอลจู่โจมค่ายผู้ลี้ภัยในกาซ่า สังหารชาวปาเลสไตน์ 20 คน
สำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์รายงานคำกล่าวของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกาซ่าว่า อิสราเอลจู่โจมทางอากาศใส่เขตอัล-มาวาซี ซึ่งถูกจัดให้เป็นเขตมนุษยธรรมพร้อมทั้งมีเต็นท์ของผู้ลี้ภัยตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีผู้จบชีวิต 4 คน เป็นเด็ก 2 คน
นอกจากนี้มีผู้จบชีวิตอีก 2 คนจากการจู่โจมค่ายผู้อพยพในเมืองราฟาห์ พร้อมทั้งอีก 4 คนจบชีวิตจากการจู่โจมค่ายผู้อพยพในเมืองนูเซรัตในแถบตอนกลางประเทศ
ส่วนที่เมืองบีอิท ลาฮียา ทางเหนือของกาซ่า มีรายงานผู้จบชีวิตหลายสิบคนจากการจู่โจมทางอากาศของอิสราเอลใส่อาคารที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง รวมท้ังการจู่โจมบ้านหลังหนึ่งในกาซ่าซิตี้ ทำให้มีผู้จบชีวิต 7 คน บาดเจ็บ 10 คน
เมื่อวันอาทิตย์ กองทัพอิสราเอลบอกว่าได้ปฏิบัติการจู่โจมเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายในภาคเหนือของกาซ่า โดยกล่าวหาว่ากลุ่มฮามาสใช้ชุมชนพร้อมทั้งที่อยู่อาศัยของประชาชนต่าง ๆ เป็นโล่กำบัง รวมทั้งในเขตโรงพยาบาลหลายแห่ง ซึ่งทางฮามาสออกมาปฏิเสธ
ทางกระทรวงสาธารณสุขกาซ่าพบว่า มีประชาชนจบชีวิต 76 รายในกาซ่าในช่วง 24 ชม. ที่ผ่านมา จากการจู่โจมของอิสราเอล
เมื่อเดือนที่แล้ว อิสราเอลส่งรถถังพร้อมทั้งทหารเข้าไปในเขตบีอิท ลาฮียา พร้อมทั้งจาบาเลีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายผู้อพยพขนาดใหญ่ที่สุดในกาซ่า เพื่อกำจัดนักรบฮามาสที่กลับมารวมกลุ่มใหม่
ผู้บริหารโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเขตบีอิท ลาฮียา บอกว่า ทหารอิสราเอลได้บุกยึดโรงพยาบาลเอาไว้ พร้อมทั้งองค์การอนามัยโลกไม่สามารถส่งความช่วยเหลือด้านอาหาร ยารักษาโรค พร้อมทั้งอุปกรณ์ผ่าตัดเข้าไปได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเด็กขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
ทางองค์กร COGAT ของกองทัพอิสราเอล ซึ่งดูแลด้านกิจการชาวปาเลสไตน์ บอกว่า ได้อำนวยความสะดวกให้จัดส่งความช่วยเหลือด้านเชื้อเพลิง 10,000 ลิตร พร้อมทั้งอุปกรณ์การแพทย์ 149 กล่อง เข้าไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทางเหนือของกาซ่าเมื่อวันอาทิตย์
สงครามในกาซ่าเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว เมื่อกลุ่มฮามาสบุกจู่โจมอิสราเอลพร้อมทั้งสังหารประชาชน 1,200 คน พร้อมกับจับตัวประกันไปราว 250 คน ต่อมาอิสราเอลใช้ปฏิบัติการทางทหารในกาซ่าพร้อมทั้งสังหารประชาชนไปแล้วกว่า 43,800 คนอ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในกาซ่า
ที่มา: รอยเตอร์