รำลึก 10 ปี ‘สมบัด สมพอน’ หายตัว ขับเน้นปัญหาอุ้มนักเคลื่อนไหวในอาเซียน

สมบัด สมพอน นักพัฒนาสังคมพร้อมทั้งนักเคลื่อนไหวชาวลาว ผู้ทำงานช่วยเหลือเกษตรกรยากจนในประเทศลาว หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในกรุงเวียงจันทน์ เมื่อเย็นวันที่ 15 ธันวาคม ปีค.ศ. 2012 

ภาพจากกล้องตรวจการณ์แสดงให้เห็นสมบัดถูกเรียกให้ลงจากรถยนต์ของเขาที่ด่านตำรวจแห่งหนึ่งแล้วถูกนำตัวไปขึ้นรถกระบะคันหนึ่งที่พาตัวเขาหายไป

10 ปีผ่านไป เอง ซุย เม็ง ภรรยาของสมบัด ยังคงพยายามหาคำตอบของการหายตัวไปของสามีของเธอจากรัฐบาลลาว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ซึ่งยิ่งเป็นการขับเน้นปัญหา “การหายตัวโดยถูกบังคับ” ของนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมหลายร้อยคนในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

สหประชาชาติให้คำจำกัดความ “การหายตัวโดยถูกบังคับ” ว่าเป็นการถูกจับกุม คุมขัง หรือลักพาตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ที่ถูกจ้างวานมา ซึ่งรัฐบาลนั้นปฏิเสธการรู้เห็นหรือไม่ยอมเปิดเผยชะตากรรมของผู้ที่ถูกบังคับให้หายตัวไป

ซุย เม็ง ภรรยาของสมบัด เล่าให้วีโอเอฟังว่า เจ้าหน้าที่ทางการลาวไม่ยอมพบพร้อมทั้งคุยกับเธอเรื่องคดีของสามีมาตั้งแต่ 5 ปีก่อน ความจริงที่เธอต้องการรู้คือสามีของเธออยู่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้นกับเขา? พร้อมทั้งเขาทำผิดอะไร? 10 ปีที่ผ่านมาเธอมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ซึ่งทำให้เธอทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัส 

สมบัด สมพอน เกิดที่ประเทศลาวพร้อมทั้งได้ทุนเรียนต่อที่สหรัฐฯ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาพร้อมทั้งมหาวิทยาลัย เขาจบการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาเกษตรกรรมที่มหาวิทยาลัยรัฐฮาวาย พร้อมทั้งกลับมาทำงานช่วยเหลือชาวนาในการพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ด้านเกษตรกรรมเพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น 

เมื่อปีค.ศ. 2001 สมบัดได้รับรางวัลนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จากสหประชาชาติ พร้อมทั้งได้รับรางวัลแมกไซไซด้านผู้นำชุมชนในอีก 4 ปีต่อมา  

ก่อนจะหายตัวไป สมบัดได้ออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายที่ดินของรัฐบาลลาว ซึ่งทำให้หลายครอบครัวต้องไร้ที่อยู่อาศัยแลกกับเงินชดเชยเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้เลย

อังคณา นีละไพจิตร นักรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร ผู้หายตัวไปตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 เช่นกัน ได้บอกกล่าวกับวีโอเอว่า ในกรณีของสมบัด ภาพจากกล้องตรวจการณ์คือหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าเขาถูกนำตัวไป แต่การที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่มีข้อมูลหรือเบาะแสที่จะติดตามได้นั้น “เป็นเรื่องที่เสแสร้งพร้อมทั้งไม่โปร่งใส” 

วีโอเอพยายามติดต่อไปยังตำรวจพร้อมทั้งโฆษกรัฐบาลลาวเพื่อสอบถามเรื่องนี้แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

หน่วยงานของยูเอ็นพบว่า จนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ มีเหตุการณ์หายตัวไปโดยถูกบังคับที่ยังไม่คลี่คลายจำนวน 1,303 คดีเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน

ในจำนวนนี้ราว 3 ใน 4 เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์พร้อมทั้งติมอร์ตะวันออกซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน มีเพียงบรูไนพร้อมทั้งสิงคโปร์เพียงสองประเทศในอาเซียนที่ไม่มีรายงานคดีการถูกลักพาตัวในลักษณะนี้ 

อังคณาบอกว่า ปัจจุบันเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วอาเซียน พร้อมทั้งตัวเลขที่ทางการแจ้งออกมานั้นเป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” เพราะยังมีอีกหลายครอบครัวที่ไม่ต้องการแจ้งความเนื่องจากหวาดกลัวว่าจะตกอยู่ในอันตรายจากผู้ที่ลักพาตัวสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาไป

เคเทีย ชิริซซี รองผู้แทนฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เชื่อว่า การสร้างความหวาดกลัวนี้คือหนึ่งในเหตุผลที่เจ้าหน้าที่รัฐยังคงใช้วิธีนี้ 

เธอกล่าวที่งานรำลึก 10 ปีการหายตัวไปของสมบัด สมพอน ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารว่า “รัฐบาลในแถบอาเซียนมักใช้วิธีดังกล่าวในการปิดปากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือผู้วิจารณ์รัฐบาล… เป็นการใช้ความกลัวส่งข้อความข่มขู่ไปถึงคนอื่น ๆ ที่กำลังลุกขึ้นมาเรียกร้องในประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจพร้อมทั้งความกังวลของประชาชน ซึ่งผู้ตกเป็นเหยื่อนั้นมีตั้งแต่นักรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน นักสิ่งแวดล้อม นักเคลื่อนไหวทางสังคมพร้อมทั้งการเมือง ผู้วิจารณ์รัฐบาล ไปจนถึงทนายความพร้อมทั้งผู้สื่อข่าว”

แต่ความกลัวมิได้ทำให้ภรรยาของสมบัด ยอมแพ้ในการตามหาสามี 

สัปดาห์นี้ ซุย เม็ง ได้จัดงานรำลึกถึงวันครบรอบ 10 ปีที่สามีของเธอหายตัวไป พร้อมกับสร้างความตระหนักถึงปัญหาการถูกอุ้มหายของนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมจำนวนมาก เธอเดินทางไปพบกับนักการทูตต่างชาติหลายคน พร้อมทั้งเป็นผู้นำการเรียกร้องสิทธิพลเมืองหน้าสถานทูตลาวในกรุงเทพฯ 

เธอยืนยันว่า เธอจะสวดภาวนาพร้อมทั้งมีความหวังต่อไปเหมือนกับครอบครัวของผู้ที่หายไปคนอื่น ๆ เป็นความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบกับสามีอีกครั้ง พร้อมทั้งนั่นคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงเธอให้สามารถยืนหยัดมีชีวิตอยู่ได้จวบจนทุกวันนี้

ที่มา: วีโอเอ

 

ส่องกิจกรรมดูนกในเม็กซิโก – อีกความหวังอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ทุก ๆ ปี นกหลายล้านตัวจะบินอยู่ระหว่างเทือกเขา เซียร์รา มาเดร โอเรียนทอล (Sierra Madre Oriental) ของเม็กซิโกพร้อมทั้งอ่าวเม็กซิโกในช่วงเวลาที่เรียกว่า “River of Raptors”

นกหลาย ๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็น เหยี่ยว เหยี่ยวตัวเล็ก นกแร้ง พร้อมทั้งนกอินทรีต่างบินผ่านพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายนเพื่อหนีจากอากาศที่หนาวเย็น

ทั้งนี้ “River of Raptors” เป็นช่วงเวลาที่นำนักดูนกต่างชาติหลายร้อยคนมายังพื้นที่ชายฝั่งของเวราครูซ (Veracruz)

สตีเวน โคเว็ต (Steven Koevoet) ไกด์ดูนกในเม็กซิโกบอกว่า ลูกค้าหลาย ๆ คนของเขาเคยไปตามแหล่งที่นกบินอพยพที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ แต่ไม่มีที่ไหนเหมือนกับ River of Raptors ในเวราครูซเลย ซึ่งโคเว็ตเองเป็นไกด์ที่พานักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในยูคาทาน พร้อมทั้ง เวราครูซ มานานกว่า 25 ปี

แต่ถึงกระนั้น ช่วงเวลาที่นกนับล้านตัวบินย้ายถิ่นฐานประจำปีนี้ ก็ไม่ได้ทำให้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์กระเตื้องขึ้นมากมายแต่อย่างใด ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นำผู้คนมาเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่าการที่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไม่ได้กระเตื้องขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความล้มเหลวของเม็กซิโกในการสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่รีสอร์ทริมทะเลอย่างเช่นที่ แคนคูน พร้อมทั้ง คาโบ ซาน ลูคัส

เอฟเฟรน คาสเตอยาโนส (Efrain Castellanos) นักชีววิทยาในรัฐเชียปัสบอกว่า “เม็กซิโกมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูงเพราะเป็นประเทศที่มีความหลากหลาย แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว”

นอกจากนี้ ความรุนแรงในระดับสูงพร้อมทั้งวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยังเป็นปัญหาในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในรัฐเชียปัสพร้อมทั้งเวราครูซอีกด้วย

วิเซนเต รอดริเกซ (Vicente Rodriguez) ผู้เชี่ยวชาญด้านนกที่ National Commission for the Knowledge and Use of Biodiversity (CONABIO) แห่งเม็กซิโกบอกว่า ปัญหาเรื่องความรุนแรงทำให้นักท่องเที่ยวเลิกดูนกเป็นเวลาหลายปีในบางพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของชุมชนในท้องถิ่น

อย่างก็ตาม บรรดากลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย พร้อมทั้งเกษตรกรในเวราครูซกำลังร่วมมือกันเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เชื่อมโยงกับการอพยพประจำปีของนก

อย่างเช่น แองเจิล วิเวโร (Angel Viveros) สมาชิกของครอบครัวเจ้าของฟาร์มที่อยู่ใกล้ ๆ กับโฮเ คาร์เดล (Jose Cardel) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากชายฝั่งอ่าวของเม็กซิโกในเวราครูซประมาณ 10

กิโลเมตร ได้ใช้พื้นที่ 150 เฮกตาร์ (938 ไร่) ของครอบครัวสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การดูนก ขี่ม้า กระโดดร่ม พร้อมทั้งเดินป่าโดยเขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มโพนาทูรา เวราครูซ (Pronatura Veracruz) กลุ่มองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร ซึ่งศึกษาพร้อมทั้งนับจำนวนนกที่บินย้ายถิ่นฐานเป็นประจำทุกปี พร้อมทั้งตอนนี้เขามีนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมปีละหลายร้อยคนแล้ว

ส่วนบรรดาผู้ผลิตกาแฟในท้องถิ่นอย่าง Cafe de Mi Rancho, Rancho San Fermin พร้อมทั้ง Cafetalera San Felipe ได้จัดให้มีกิจกรรมการชิมกาแฟพร้อมทั้งการพูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการหว่านเมล็ดพืชของนก

โฮเซ อเลฮานโดร รามิเรซ (Jose Alejandro Ramirez) ผู้เกษียณอายุคนหนึ่งที่เคยไปเยือนเวราครูซตั้งแต่ปี 2002 บอกว่า “นอกเหนือจากความรู้สึกทางกายแล้ว การดูนกยังเป็นเสมือนเรื่องของจิตวิญญาณด้วย เพราะไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะอธิบายถึงความรู้สึกที่ได้เห็นนกหลายล้านตัวบินอยู่เหนือท้องฟ้า”

ที่มา: รอยเตอร์

ไบเดน เดินหน้าจัดระเบียบอุตสาหกรรมชิป-ขึ้นบัญชีดำธุรกิจจีนเพิ่ม

รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเพิ่มชื่อบริษัท YMTC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำสัญชาติจีนพร้อมกับบริษัทชั้นนำอื่น ๆ อีก 21 แห่งของจีนเข้าไปในบัญชีดำ ตามรายงานของสำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์

บริษัท YMTC นั้นเป็นหนึ่งในเป้าของรัฐบาลสหรัฐฯ มาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะถูกขึ้นบัญชีดำด้วยเหตุผลว่า บริษัทสัญชาติจีนแห่งนี้อาจทำการถ่ายเทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปยังบริษัทจีนอื่น ๆ ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปก่อนหน้า เช่น หัวเหว่ย (Huawei) พร้อมทั้ง ไฮค์วิชั่น (Hikvision) โดยภายใต้มาตรการนี้ ซัพพลายเออร์ทั้งหลายจะไม่สามารถจัดส่งผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตามที่เป็นของสหรัฐฯ ไปให้ YMTC ได้ หากไม่ได้รับใบอนุญาตซึ่งไม่ได้ขอกันง่าย ๆ เสียก่อน

บริษัทอื่น ๆ อีก 21 แห่งที่ถูกเพิ่มเข้าไปในบัญชีดำของสหรัฐฯ ในคราวนี้ เช่น Cambricon Technologies Corp พร้อมทั้ง CETC ต้องเผชิญกับมาตรการลงโทษที่หนักยิ่งกว่า ซึ่งก็คือคำสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านี้เข้าถึงเทคโนโลยีใด ๆ ก็ตามที่พัฒนาขึ้นโดยอุปกรณ์ที่เป็นของสหรัฐฯ ด้วย

ธีอา เคนด์เลอร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งดูแลงานด้านการส่งออก ระบุในแถลงการณ์ว่า ขณะที่ รัฐบาลจีนพยายามกำจัดมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างฝ่ายทหารพร้อมทั้งฝ่ายพลเรือนอยู่ “ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติของสหรัฐฯ ทำให้เราต้องลงมืออย่างเด็ดขาดในการปฏิเสธการเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยทั้งหลาย”

สำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์ติดต่อไปยัง YMTC Cambricon CETC พร้อมทั้งสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับก่อนตีพิมพ์รายงานฉบับนี้

นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังดำเนินการขึ้นบัญชีดำองค์กรสัญชาติจีน 9 แห่งที่ถูกกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนจีนในการพัฒนากิจการทางทหารด้วย

จนถึงปัจจุบัน มีบริษัทจีนทั้งหมด 35 แห่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำด้านการค้าของสหรัฐฯ โดยมีบริษัทลูกของ YMTC ซึ่งตั้งอยู่ในญี่ปุ่นอยู่ในรายชื่อนี้ด้วย

อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศถอดชื่อ Wuxi Biologics ของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตส่วนประกอบสำหรับวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) พร้อมทั้งบริษัทจีนอีก 25 แห่งออกจากบัญชีรายชื่อธุรกิจที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ (unverified list) ในวันพฤหัสบดี หลังเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เดินทางไปตรวจสอบการทำงานของบริษัทเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้รับการยืนยันว่า สามารถไว้ใจให้เข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ได้

 

ที่มา: รอยเตอร์

จีนเร่งฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรน่า-หวั่นจำนวนผู้จบชีวิตจะพุ่งสูง

จีนกำลังเร่งทำการแจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสโคโรน่า-19 ให้กับประชาชนกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในวันพฤหัสบดี ท่ามกลางความกังวลว่า การระบาดระลอกใหม่ของโคโรนาไวรัสจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดว่า จะทำให้ตัวเลขผู้จบชีวิตพุ่งสูง ในช่วงที่ทางการกำลังค่อย ๆ ผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มการระบาดที่ดำเนินมาเกือบ 3 ปี

การเร่งนโยบายฉีดวัคซีนของจีนนี้เกิดขึ้น ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยกระดับความกังวลของตนว่า ประชากรราว 1,400 ล้านคนของจีนนั้นไม่ได้รับวัคซีนเพียงพอ พร้อมทั้งสหรัฐฯ ก็ได้เสนอความช่วยเหลือด้านนี้เพื่อให้จีนรับมือกับภาวะระบาดได้ดีขึ้น

ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่แล้ว รัฐบาลกรุงปักกิ่งเริ่มยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดแบบเข้มงวดต่าง ๆ ที่ถูกมองว่า เป็นสาเหตุของอาการเครียดหนักในหมู่ประชากรหลายสิบล้านคนในประเทศพร้อมทั้งยังทำให้เศรษฐกิจของจีนซวนเซ ซึ่งล้วนทำให้เกิดการประท้วงใหญ่หลายจุด

แต่ขณะที่ บางฝ่ายมองว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมไวรัสโคโรน่า-19 ของจีนทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย ไมค ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายงานฉุกเฉินของ WHO ระบุในระหว่างแถลงข่าวที่นครเจนีวา ว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในจีนนั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุมเข้มของรัฐบาลกรุงปักกิ่งแล้ว โดยตัวเขาเชื่อว่า เป็นเพราะ “มาตรการควบคุมต่าง ๆ นั้นไม่ได้ช่วยหยุดยั้งโรค(ไม่ให้ระบาด)ได้เลย”

รายงานข่าวพบว่า ในเวลานี้ มีสัญญาณต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงเหตุโกลาหลที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในจีน ตั้งแต่การที่ผู้คนมาเข้าแถวยาวเหยียดนอกคลินิกเพื่อรักษาอาการไข้ ไปจนถึงการที่ประชาชนวิ่งวุ่นเพื่อหาซื้อยาพร้อมทั้งเสบียงต่าง ๆ ทั่วประเทศ

 

สถานการณ์ดังกล่าวในจีนยังแพร่กระจายไปยังฮ่องกง มาเก๊า พร้อมทั้งบางพื้นที่ในออสเตรเลีย ที่ผู้คนวิ่งหายาลดไข้พร้อมทั้งชุดตรวจไวรัสโคโรน่าเพื่อจัดส่งให้ญาติพี่น้องพร้อมทั้งเพื่อนฝูงที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่กันแล้ว

ทั้งนี้ ทางการจีนรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 ที่แสดงอาการป่วยเพิ่ม 2,000 คนในวันที่ 14 ธันวาคม ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเฉลี่ยที่ 2,291 คนต่อวันเพียงเล็กน้อย แต่ประชาชนนั้นเริ่มไม่ค่อยเชื่อรายงานของทางการสักเท่าใดหลังมีคำสั่งยกเลิกการบังคับการตรวจหาเชื้อไป

อย่างไรก็ดี จีนเพิ่งประกาศแจกจ่ายวัคซีนไวรัสโคโรน่าเข็มกระตุ้น หรือ บูสเตอร์ เข็มที่ 2 สำหรับประชากรกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงพร้อมทั้งผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แม้จะอ้างมาตลอดว่า ประชากรราว 90% ของประเทศได้รับวัคซีนกันแล้ว

ตัวเลขอย่างเป็นทางการพบว่า จีนได้ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรน่า-19 เป็นจำนวน 1.43 ล้านเข็มเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเพียงวันเดียว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 100,000-200,000 เข็มต่อวันของเดือนพฤศจิกายนอย่างมาก พร้อมทั้งโดยรวมแล้ว จีนทำการฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปทั้งหมดแล้ว 3,450 ล้านเข็ม

แต่ยังมีเสียงสะท้อนเกี่ยวกับความกังวลในการดูแลกลุ่มเสี่ยงในจีนออกมา เพราะยังมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เพราะเหตุผลเกี่ยวกับอาการป่วยที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหนักใจอย่างมากว่าจะทำอย่างไรให้ประชนกลุ่มนี้อยู่รอดปลอดภัยได้ ขณะที่ กรุงปักกิ่งยืนยันที่จะใช้วัคซีนที่พัฒนาขึ้นเองเป็นหลัก พร้อมทั้งอนุญาตให้มีการนำเข้ายาเพียงไม่กี่ตัวเพื่อการรักษา ซึ่งรวมถึง ยารักษาไวรัสโคโรน่าแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทยาไฟเซอร์ (Pfizer) ที่เฉพาะแพทย์ในโรงพยาบาลมีสิทธิ์จ่ายให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น

 

นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พร้อมทั้งคณะกรรมการถาวรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ โพลิทบูโร (Politburo) รวมทั้งเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลเพิ่งเริ่มการประชุมที่มีกำหนดจัดขึ้นสองวัน เพื่อหารือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของจีนที่ถูกกดดันจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรน่า-19 ตามรายงานของแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้

เศรษฐกิจของจีนเริ่มอ่อนตัวลงอย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายน หลังข้อมูลอย่างเป็นทางการที่ได้รับการเปิดเผยในวันพฤหัสบดีชี้ว่า ผลผลิตโรงงานของประเทศเริ่มขยายตัวลดลง ขณะที่ ตัวเลขค้าปลีกก็ลดลงต่อเนื่อง โดยดัชนีทั้งสองตัวนี้หดตัวถึงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมมาด้วย

นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะชะลอตัวลงเหลือเพียง 3% ในปีนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริง ก็จะเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษเลยทีเดียว

 

ที่มา: รอยเตอร์

 

ทำเนียบขาวเปิดตัว “แผนพร้อมรับฤดูหนาวแห่งไวรัสโคโรน่า-19”

ทำเนียบขาวเปิดตัวโครงการใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “แผนพร้อมรับฤดูหนาวแห่งไวรัสโคโรน่า-19” ที่จะนำส่งชุดตรวจหาการติดเชื้อด้วยตัวเองที่บ้านให้ทุกครัวเรือนพร้อมทั้งจัดหาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่าให้พร้อมแจกจ่ายทั่วประเทศ

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ออกมาในวันพฤหัสบดี ทำเนียบขาวพบว่า ขณะที่ ไวรัสโคโรน่า-19 “ไม่ใช่แรงขับเคลื่อนที่จะมาก่อกวนดังเช่นที่เคยเป็นมา ไวรัสนี้ยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง” พร้อมทั้งว่า ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมพร้อมทั้งป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ยังคงมีการติดเชื้อเพิ่ม พร้อมทั้งมีผู้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล รวมทั้งมีผู้จบชีวิตเพราะการระบาดนี้มากขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้

ทำเนียบขาวกล่าวด้วยว่า นอกจากจุดตรวจหาการติดเชื้อแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ทั่วประเทศแล้ว ตั้งแต่วันพฤหัสบดีเป็นต้นไป ทุกครัวเรือนในสหรัฐฯ จะสามารถสั่งชุดตรวจไวรัสโคโรน่า-19 แบบใช้งานเองที่บ้านจำนวน 4 ชุดให้นำส่งถึงประตูบ้านฟรี ๆ ด้วย

นอกจากนั้น ทำเนียบขาวยังสั่งให้มีการส่งชุดตรวจหาการติดเชื้อที่บ้านไปตามสำนักงานจัดหาบ้านเช่าสำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้กระทรวงการเคหะพร้อมทั้งพัฒนาเมืองสหรัฐฯ จำนวนกว่า 6,500 แห่งทั่วประเทศ เพื่อการแจกจ่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

แถลงการณ์ทำเนียบขาวเปิดเผยด้วยว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังกำลังเดินหน้าผลักดันให้มีการส่งชุดตรวจไวรัสโคโรน่าด้วยตนเองไปยังที่ทำการธนาคารอาหาร (food bank) หลัก ๆ ราว 500 แห่งเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับสมาชิกในชุมชนของตนฟรี ๆ อีกด้วย

ทำเนียบขาวพบว่า ฮาเวียร์ เบเซร์รา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมทั้งบริการประชาชนสหรัฐฯ จะส่งจดหมายไปยังผู้ว่าการรัฐทุกรัฐ เพื่อแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 พร้อมทั้งจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลในช่วงฤดูหนาวที่เพิ่งมาถึงนี้

 

ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี

รัสเซียยิงถล่มเมืองเคอร์ซอนต่อเนื่อง

ยูเครนเปิดเผยว่า รัสเซียทำการยิงถล่มเมืองเคอร์ซอนทางใต้ของประเทศอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งทำให้มีผู้จบชีวิต 2 รายในวันพฤหัสบดี ขณะที่ เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นที่มอสโกเป็นผู้แต่งตั้งรายงานว่า ฝ่ายยูเครนทำการโจมเข้าใส่เมืองดอแนตสก์ทางภาคตะวันออกของประเทศเช่นกัน

คีรีโล ทีโมเชนโก รองหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชั่นเทเลแกรมว่า การจู่โจมของรัสเซียนั้นมีการพุ่งเป้าไปที่อาคารสำนักงานบริหารเขตปกครองท้องถิ่นในเคอร์ซอน

ในเวลาเดียวกัน อเล็กเซย์ คูเลมซิน นายกเทศมนตรีเมืองดอแนตสก์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลมอสโก บอกว่า กองกำลังยูเครนทำการยิงด้วยปืนใหญ่เข้าใส่เมืองนี้ตลอดคืน โดยเป็นการจู่โจมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งต่อพื้นที่นี้ในรอบหลายปี

ทั้งนี้ กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่มีรัสเซียหนุนหลังได้เข้าควบคุมพื้นที่บางส่วนของเขตปกครองดอแนตสก์มาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2014 พร้อมทั้งเมื่อไม่นานมานี้ พื้นที่ดังกล่าวก็ถูกประกาศผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แต่ประชาคมโลกต่างไม่ยอมรับการกระทำเช่นนั้นของมอสโก

พร้อมทั้งที่นครเจนีวา โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนองค์การสหประชาชาติ แจ้งต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่า สงครามในยูเครนที่เกิดขึ้นจากการรุกรานของรัสเซียยังคงเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมากมาย

เติร์ก ยังกล่าวด้วยว่า ประชาชนราว 18 ล้านคนในยูเครนกำลังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมพร้อมทั้งว่า การจู่โจมทางอากาศโดยรัสเซียที่เดินหน้าต่อเนื่องนี้ “อาจนำไปสู่ภาวะเสื่อมถอยด้านมนุษยธรรมพร้อมทั้งก่อให้เกิดการพลัดถิ่นอีกมากมาย”

นอกจากนั้น ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนองค์การสหประชาชาติ พบว่า การที่รัสเซียจู่โจมโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ซึ่งรวมถึง แหล่งพลังงานต่าง ๆ กำลังทำให้พลเรือนชาวยูเครนนับล้านต้องเผชิญกับ “ความยากลำบากอย่างสุดขีดในช่วงฤดูหนาวนี้” พร้อมทั้งว่า “ความปรารถนาอันสูงสุดของผมก็คือ การสิ้นสุดของสงครามอันไร้สตินี้”

พร้อมทั้งในวันพฤหัสบดีเช่นกัน มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกกับผู้สื่อข่าวว่า แผนการของสหรัฐฯ ที่จะอนุมัติการส่งระบบต่อต้านขีปนาวุธแพทริออตให้กับยูเครนนั้น ถือเป็น “การยั่วยุ” อย่างหนึ่ง

ซาคาโรวา กล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ ควรรับรู้พร้อมทั้งเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับคำเตือนของรัสเซียว่า อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ส่งไปให้นั้น จะกลายมาเป็นเป้าหมายอันชอบธรรมสำหรับการจู่โจมโดยรัสเซีย

 

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยว่า กำลังจะมีการอนุมัติการจัดส่งระบบแพทริออตให้กับยูเครน ซึ่งจะเป็นการนำส่งระบบขีปนาวุธจากพื้นดินสู่อากาศที่ล้ำสมัยที่สุดที่ชาติตะวันตกเคยอนุมัติให้กับรัฐบาลกรุงเคียฟนับตั้งแต่เกิดสงครามขึ้นเมื่อเกือบ 10 เดือนก่อน

 

ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี เอเอฟพีพร้อมทั้งรอยเตอร์

สื่อทั่วโลกรายงานข่าวอาการพระประชวรของพระองค์ภา

สำนักข่าวทั่วโลกออกรายงานข่าวเกี่ยวกับอาการพระประชวรของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ระหว่างทรงทำการฝึกสุนัขทรงเลี้ยงที่สนามฝึกกองพันสุนัขทหาร ในจังหวัดนครราชสีมา

สื่อต่างชาติมากมายอาทิ รอยเตอร์ ซีเอ็นเอ็น บีบีซี อัล-จาซีรา บลูมเบิร์ก สกายนิวส์ เอบีซีนิวส์ของออสเตรเลีย พร้อมทั้งซีเอ็นเอของสิงคโปร์ ต่างรายงานข่าวอาการพระประชวรนี้ ตามข้อมูลในแถลงการณ์วันที่ 15 ธันวาคมของสำนักพระราชวัง หลังมีกระแสข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์มากมายมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม

แถลงการณ์สำนักพระราชวังนี้พบว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา หรือ “พระองค์ภา” ทรงมีพระอาการประชวรหมดพระสติ ด้วยพระอาการทางพระหทัย ในช่วงเย็นของวันที่ 14 ธันวาคม พร้อมทั้งคณะแพทย์ประจำพระองค์ได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินไปปฐมพยาบาล ณ โรงพยาบาลปากช่องนานา ก่อนพระอาการประชวรคงที่ในระดับหนึ่ง ก่อนจะเชิญเสด็จประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเข้ารับการรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

 

นอกจากการอ้างข้อมูลจากแถลงกาณ์ดังกล่าวแล้ว รอยเตอร์ บีบีซี พร้อมทั้งอัล-จาซีรา ชี้ว่า สำนักพระราชวังไม่ได้ให้ข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับพระอาการเพิ่มเติม ขณะที่ โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าว บีบีซี ประจำกรุงเทพ พบว่า แถลงการณ์สำนักพระราชวังที่เกี่ยวข้องกับพระอาการป่วยนั้นมักใช้ภาษาที่คลุมเครือพร้อมทั้งไม่ชัดเจน จนทำให้ยากสำหรับการประเมินว่า พระอาการนั้นรุนแรงเพียงใด พร้อมทั้งทำให้ “บางคนเชื่อว่า น่าจะร้ายแรงกว่าที่มีการประกาศออกมา”

นอกจากนั้น สื่อต่าง ๆ ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระองค์ภา ว่า ทรงเป็นพระราชธิดาองค์โตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งทรงเป็นหนึ่งในพระราชบุตรพร้อมทั้งพระราชธิดา 3 พระองค์ที่มีพระราชศักดิ์ ทั้งยังมีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์ต่อ แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการก็ตาม

ข้อมูลที่สื่อต่างประเทศต่าง ๆ รายงานยังพูดถึงบทบาทของพระองค์ภาซึ่งเพิ่งทรงฉลองวันคล้ายวันประสูติครบรอบ 44 พรรษาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าทรงเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นเอกอัครราชทูตไทย ณ ออสเตรีย สโลวีเนีย พร้อมทั้งสโลวะเกีย รวมทั้งเคยทรงงานร่วมกับองค์การสหประชาชาติในด้านต่าง ๆ อาทิ สิทธิสตรี หลังทรงสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Juris Doctorate)จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ในสหรัฐฯ

ในเวลาเดียวกัน บลูมเบิร์ก รายงานว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาโปรดให้วัดทุกวัดทั่วไทยพร้อมทั้งในต่างประเทศร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์พร้อมทั้งเจริญจิตตภาวนาเป็นพิเศษ เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ด้วย

 

พร้อมทั้งภายหลังมีรายงานข่าวอาการพระประชวรออกมา ประชาชนจำนวนมาก รวมทั้ง สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้ออกมาแสดงความกังวลพร้อมทั้งโพสต์ข้อความขอให้พระองค์ภาทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นโดยเร็ว

 

ที่มา: รอยเตอร์ ซีเอ็นเอ็น บีบีซี อัล-จาซีรา บลูมเบิร์ก สกายนิวส์ เอบีซีนิวส์ สำนักพระราชวัง พร้อมทั้งสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ก่อนเข้าชิงบอลโลก “เมสซี” เผยเบื้องหลังกดจุดโทษเต็มข้อ เกมอาร์เจนฯ ถล่มโครเอเชีย (คลิป)

“ทำการบ้านมาอย่างดี” ลิโอเนล เมสซี เผย 2 ผู้อยู่เบื้องหลังการตะบันจุดโทษใส่ โครเอเชีย พา อาร์เจนตินา เข้าชิงฟุตบอลโลก 2022

รัสเซียเตือนสหรัฐฯ ระวังผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้หากส่ง ‘แพทริออต’ ให้ยูเครน

สถานทูตรัสเซียออกโรงเตือนสหรัฐฯ ว่าการส่งระบบป้องกันทางอากาศ แพทริออต ให้ยูเครน เป็นภัยต่อความมั่นคงโลก พร้อมทั้งทำให้เกิดผลที่ตามมาซึ่งไม่อาจคาดเดาได้