“ทรัมป์” ขู่เก็บภาษีไวน์ยุโรป 200% ถ้าอียูไม่ยกเลิกภาษีวิสกี้ของอเมริกา
หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีสำหรับการนำเข้าเหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียมจากทั่วโลก คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวเมื่อวันพุธว่า จะตอบโต้ด้วยแผนภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่าราว 28,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป แต่ก็พร้อมจะเจรจากับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ พร้อมทั้งย้ำว่า ภาษีนำเข้าอัตราที่สูงขึ้นนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย
ถ้าหากว่า ผู้นำสหรัฐฯ แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวขึ้นอีกในโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ในวันพฤหัสบดี
ทรัมป์ระบุในโพสต์ทางทรูธโซเชียล (Truth Social) ว่า “สหภาพยุโรป หนึ่งในผู้มีอำนาจเรียกเก็บภาษีที่ร้ายกาจพร้อมทั้งไม่เป็นมิตรที่สุดในโลก พร้อมทั้งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นคือ การเอาเปรียบสหรัฐอเมริกา เพิ่งสั่งเก็บภาษี 50% สำหรับวิสกี้”
รอยเตอร์รายงานโดยอ้างข้อมูลจากหน่วยงานสถิติ Eurostat ของอียูว่า ไวน์จากยุโรปที่ส่งมาจำหน่ายในสหรัฐฯ นั้นมีมูลค่าราว 4,900 ล้านยูโร (ประมาณ 5,276 ล้านดอลลาร์) ในปีที่แล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วน 29% ของการส่งออกไวน์ทั้งหมด ขณะที่ ไวน์จากฝรั่งเศสถือครองส่วนแบ่งเกือบครึ่งหนึ่งพร้อมทั้งของอิตาลีได้ส่วนแบ่งเกือบ 40% ของไวน์จากอียูที่ส่งมาสหรัฐฯ
คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวด้วยว่า จะยุติการระงับภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 1 เมษายน พร้อมทั้งจะกลับมาเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าทุกรายการภายใน 13 เมษายนด้วย
EC ยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับโพสต์ล่าสุดของทรัมป์
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมเหล้าพร้อมทั้งเครื่องสำอางออกมาจู่โจมแผนภาษีของ EC สำหรับสินค้าของสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อวันพุธ โดยบอกว่า แผนการดังกล่าวทำให้ภาวะการค้าโดยรวมกับสหรัฐฯ อยู่ในความเสี่ยง
สินค้าอื่น ๆ ที่อียูเล็งจะดำเนินมาตรการกำแพงภาษีด้วยมีทั้งจากภาคอุตสาหกรรมพร้อมทั้งภาคการเกษตร ตั้งแต่เหล็กพร้อมทั้งอะลูมิเนียม ไปจนถึง สิ่งทอ เครื่องใช้ครัวเรือน พลาสติก เนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว ไข่ ผลิตภัณฑ์นมเนย น้ำตาลพร้อมทั้งผัก
ทั้งนี้ ทิศทางการใช้มาตรการกำแพงภาษีอย่างหนักของทรัมป์ทำให้เกิดความระส่ำในหมู่นักลงทุน ผู้บริโภคพร้อมทั้งความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ พร้อม ๆ กับส่งกระแสความกลัวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่ การ ขู่ย้ำ ๆ ว่าจะผนวกแคนาดาเข้าเป็นรัฐใหม่ของสหรัฐฯ ก็ทำให้ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดพร้อมทั้งคู่ค้าสำคัญที่สุดประเทศหนึ่ง ตึงเครียดหนักขึ้นเรื่อย ๆ
จุดยืนของผู้นำสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นในนิวยอร์กตกฮวบต่อเนื่องมาหลายวันด้วย
ที่มา: รอยเตอร์