อัยการศาลอาญาโลกร้องขอหมายจับผู้นำกองทัพเมียนมา

อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เปิดเผยในวันพุธว่า ได้ยื่นเรื่องขอหมายจับพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา สำหรับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากข้อกล่าวหาว่าได้ทำการประหัตประหารชาวโรฮีนจาซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ตามรายงานของรอยเตอร์

รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ที่ส่งให้กับรอยเตอร์ว่า เมียนมาไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลอาญาโลกพร้อมทั้งไม่ยอมรับคำแถลงทั้งหลายของศาลนี้

ชาวโรฮีนจานับล้านคนได้หลบหนีไปยังบังกลาเทศซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้รอดพ้นปฏิบัติการจู่โจมของกองทัพเมียนมาที่เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2017 พร้อมทั้งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่สอบสวนของสหประชาชาติพบว่า เป็นตัวอย่างตามตำราของการล้างชาติพันธุ์

เจ้าหน้าที่สอบสวนของสหประชาชาติกล่าวหา ทหาร ตำรวจพร้อมทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธในเมียนมา ได้ทำลายล้างหมู่บ้านนับร้อยแห่งในพื้นที่รัฐยะไข่ทางตะวันตกของประเทศ พร้อมทั้งทำการทรมานชาวบ้านที่พยายามหนีตาย รวมทั้งทำการสังหารหมู่พร้อมทั้งข่มขืนกระทำชำเราหมู่

เมียนมาปฏิเสธคำกล่าวหาเหล่านี้ พร้อมทั้งบอกว่า กองกำลังด้านความมั่นคงดำเนินปฏิบัติการที่ถูกกฎหมายในการจัดการกับกลุ่มติดอาวุธที่จู่โจมที่มั่นของตำรวจ

รอยเตอร์รายงานว่า ในเวลานี้ ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายที่มีสภาพมอซอในบังกลาเทศ

โมฮัมเหม็ด ซูแบร์ นักวิจัยด้านโรฮีนจาที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ บอกว่า “เขา [มิน อ่อง หล่าย] รับผิดชอบควบคุมสั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาผู้บริสุทธิ์” พร้อมทั้งว่า “ภายใต้การบัญชาการของเขา ทหารฆ่าชาวโรฮีนจาหลายพันคนพร้อมทั้งทำให้ผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กหญิงนับไม่ถ้วนต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศ”

นิโคลัส คูมจิอัน หัวหน้าคณะสอบสวนอิสระในเมียนมาของสหประชาชาติซึ่งช่วยศาลอาญาโลกในการสืบสวนคดีนี้ บอกว่า การร้องขอหมายจับ “บุคคลที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางทหารในเมียนมา ส่งสารที่ชัดเจนไปยังผู้ก่อกรรมทำเข็ญว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”

จากนี้ คณะตุลาการที่มีสมาชิก 3 คนจะตัดสินว่า “มีเหตุผลที่เหมาะสม” ที่จะเชื่อว่า มิน อ่อง หล่าย ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวกลับประเทศพร้อมทั้งการประหัตประหารชาวโรฮีนจาในเมียนมาพร้อมทั้งบังกลาเทศ” หรือไม่

ทั้งนี้ ไม่มีกำหนดเวลาว่า ตุลาการศาลอาญาโลกต้องตัดสินเรื่องนี้เมื่อใด แต่ปกติแล้ว กระบวนการนี้มักใช้เวลาราว 3 เดือนก่อนจะมีการตัดสินว่าจะออกหมายจับหรือไม่

การขอหมายจับนี้เกิดขึ้น ขณะที่ สำนักงานอัยการศาลอาญาโลกกำลังเผชิญแรงกระแทกทางการเมืองอย่างหนักหน่วงจากรัฐบาลกรุงวอชิงตันพร้อมทั้งหลายประเทศ จากการออกหมายจับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู พร้อมทั้งโยอาฟ กัลแลนต์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล

 

 

ที่มา: รอยเตอร์

‘ทรัมป์’ ประกาศรายชื่อเพิ่มเติมทีมงานด้านเศรษฐกิจ-การแพทย์

ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศรายชื่อเพิ่มเติมของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดใหม่ โดยหนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก

ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ประกาศเสนอชื่อ เจมีสัน เกรียร์ นักกฎหมายด้านการค้าระหว่างประเทศซึ่งเคยทำหน้าที่หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวด้านผู้แทนการค้าให้กับทรัมป์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ารับหน้าที่หลังวันที่ 20 มกราคมปีหน้า

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารว่า เกรียร์มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนพร้อมทั้งการจัดตั้งข้อตกลงการค้าใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับแคนาดาพร้อมทั้งเม็กซิโกในรัฐบาลชุดก่อนหน้า

นอกจากนั้น ทรัมป์ยังเปิดเผยว่า ได้เลือก เควิน ฮัสเซตต์ มาทำหน้าที่ดูแลสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว หลังเคยดูแลสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลสมัยที่ 1 ของตนมาแล้ว โดยในบทบาทใหม่นี้ ฮัสเซตต์จะทำงานด้าน “ยกเครื่องพร้อมทั้งปรับปรุง” มาตรการปรับลดภาษีที่เริ่มดำเนินการไว้ในปี 2017 พร้อมทั้ง “จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยครอบครัวชาวอเมริกันให้ฟื้นตัวจากภาวะเงินเฟ้อที่ได้รับการปลดปล่อยออกมาโดยรัฐบาลไบเดน”

พร้อมทั้งว่าที่ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ยังประกาศเลือก นายแพทย์เจย์ ปัตตะชาเรีย นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขที่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงต่อนโยบายล็อกดาวน์พร้อมทั้งการฉีดวัคซีนในช่วงเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรน่า-19 ให้มาดูแลสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health)

ทรัมป์บอกว่า นายแพทย์ปัตตะชาเรียจะทำงานร่วมกับโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ที่ตนเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมทั้งบริการประชาชนสหรัฐฯ “ในการกำกับงานวิจัยด้านการแพทย์ของประเทศ พร้อมทั้งทำการค้นพบใหม่ ๆ ที่จะช่วยพัฒนางานด้านสุขภาพพร้อมทั้งช่วยชีวิตผู้คน”

ทรัมป์ยังได้เสนอชื่อ จิม โอนีลล์ ซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขพร้อมทั้งบริการประชาชนสหรัฐฯ ให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ของกระทรวงนี้ด้วย

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทีมเตรียมการโอนถ่ายงานของทรัมป์ประกาศว่า ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลไบเดนในเรื่องกระบวนการเริ่มต้นการทำงานกับหน่วยงานรัฐบาลกลางต่าง ๆ แล้ว

ซูซี ไวลส์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำของทรัมป์ระบุในแถลงการณ์ว่า “การทำงานร่วมกันนี้เปิดทางให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อร่วมคณะรัฐมนตรีของเราเริ่มต้นการเตรียมการที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการส่งทีมเตรียมงานต่าง ๆ ไปยังทุกกระทรวงพร้อมทั้งหน่วยงาน พร้อมทั้งดำเนินการโอนถ่ายอำนาจให้เรียบร้อยเสร็จสมบูรณ์”

ไวลส์ยังบอกด้วยว่า การดำเนินการเตรียมงานทั้งหมดนี้จะใช้เงินทุนที่ได้รับการบริจาคมาจากภาคเอกชนซึ่งจะมีการเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างต่อสาธารณะ พร้อมทั้งจะไม่ใช้เทคโนโลยีหรือสำนักงานใด ๆ ของรัฐบาล พร้อมยืนยันว่า ทางทีมงานมีแผนงานด้านจริยธรรมในมืออยู่แล้ว พร้อมทั้งมี “ระบบป้องกันข้อมูลพร้อมทั้งความมั่นคงในตัว (built-in) ซึ่งหมายความว่า เราจะไม่ต้องการการควบคุมกำกับดูแลตามระบบราชการพร้อมทั้งของรัฐบาลเพิ่มเติม”

 

 

ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอฟพีพร้อมทั้งรอยเตอร์

ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-เฮซบอลลาห์ในเลบานอนมีผลบังคับใช้แล้ว

ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลพร้อมทั้งกลุ่มเฮซบอลลาห์เริ่มมีผลบังคับใช้ในเลบานอนตั้งแต่เช้าวันพุธ ส่งผลให้มีการพักการสู้รบที่ผู้นำสหรัฐฯ พร้อมทั้งฝรั่งเศสหวังว่าจะนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงแบบเดียวกันในฉนวนกาซ่าในอนาคตอันใกล้

รายงานข่าวพบว่า เมื่อมีการพักรบเกิดขึ้นจริง รถจำนวนมากก็ต่างมุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเลบานอนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการต่อสู้ดุเดือดรุนแรงต่อเนื่องมาหลายเดือนพร้อมทั้งเป็นที่ที่อิสราเอลประกาศสั่งบังคับให้ผู้คนอพยพออกจากบริเวณดังกล่าวมาโดยตลอด

อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลเตือนประชาชนให้อยู่ห่างจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ฝ่ายตนเคยออกคำสั่งให้มีการอพยพไปก่อนหน้านี้

สหรัฐฯ พร้อมทั้งฝรั่งเศสต่างมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางเจรจาข้อตกลงนี้ที่คณะรัฐมนตรีความมั่นคงอิสราเอลเพิ่งอนุมัติเมื่อค่ำวันอังคารที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกการหยุดยิงนี้ว่าเป็น “ก้าวสำคัญ … เพื่อยุติความรุนแรง” ในตะวันออกกลาง พร้อมทั้งว่า อิหร่านพร้อมทั้งกลุ่มตัวแทนทั้งหลาย ซึ่งหมายถึง กลุ่มเฮซบอลลาห์ในเลบานอนพร้อมทั้งกลุ่มนักรบฮามาสในกาซ่า “ต้องจ่ายราคาแสนแพง” ในช่วงกว่าปีของการสู้รบกับกองกำลังอิสราเอล

ไบเดนยังระบุด้วยว่า ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-เฮซบอลลาห์ “ถูกออกแบบมาเพื่อให้การทำสงครามห้ำหั่นกันสิ้นสุดลงเป็นการถาวร”

อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ เตือนกลุ่มเฮซบอลลาห์พร้อมทั้งฝ่ายใดก็ตามไม่ให้ละเมิดข้อตกลงนี้ พร้อมทั้งว่า หากมีการแสดงตนเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่ออิสราเอลขึ้นมาอีก “อิสราเอลยังคงมีสิทธิในการปกป้องตนเองตามบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศ เหมือนกับกรณีที่ประเทศอื่น ๆ เผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายซึ่งประกาศกร้าวที่จะทำลายล้างประเทศนั้น ๆ”

ปธน.สหรัฐฯ ที่กำลังจะหมดวาระลงในไม่กี่เดือนข้างหน้ากล่าวด้วยว่า ด้วยคำมั่นของเฮซบอลลาห์ที่จะยุติการจู่โจมอิสราเอล “กลุ่มฮามาสมีตัวเลือกที่จะทำตามแล้ว พร้อมทั้งทางออกเดียวของพวกเขาก็คือ การปล่อยตัวประกัน [ที่ยังถูกควบคุมตัวไว้อยู่ในกาซ่า] ซึ่งรวมถึงพลเมืองชาวอเมริกันด้วย”

ไบเดนพบว่า “ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะทำการผลักดันอีกครั้งให้ตุรกี อียิปต์ กาตาร์ อิสราเอลพร้อมทั้งฝ่ายอื่น ๆ ดำเนินการให้บรรลุการหยุดยิงในกาซ่า”

ในเวลาเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู บอกว่า ตนเห็นด้วยกับการหยุดยิงกับเฮซบอลลาห์ เพื่อว่า อิสราเอลจะได้หันมามุ่งเน้นความสนใจไปยังภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าจากอิหร่าน เติมพลังให้กับกองทัพ พร้อมทั้งโดดเดี่ยวฮามาสในการต่อสู้ที่ดำเนินอยู่ในกาซ่า

เนทันยาฮูยังประกาศว่า หากเฮซบอลลาห์กลับมาจู่โจมอิสราเอลหรือทำการติดอาวุธอีกครั้ง อิสราเอลจะเริ่มดำเนินการยิงถล่มเป้าหมายกลุ่มติดอาวุธทั้งหลายในเลบานอนอีกครั้งทันที

เนื้อหาของข้อตกลงหยุดยิงที่นักการทูตสหรัฐฯ พร้อมทั้งฝรั่งเศสช่วยเป็นตัวกลางเจรจาให้นี้พบว่า จะมีการพักการสู้รบระหว่างสองฝ่ายพร้อมทั้งให้เวลาอิสราเอลพร้อมทั้งเฮซบอลลาห์ 60 วันในการถอนกำลังออกจากพื้นที่ทางใต้ของเลบานอน

ทั้งนี้ การที่เนทันยาฮูออกมาประกาศรับข้อตกลงหยุดยิงในการสู้รบกับเฮซบอลลาห์ที่ดำเนินมาเกือบ 14 เดือนนี้เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังกองทัพอิสราเอลถล่มเป้าหมายกลุ่มติดอาวุธในเลบานอน

พร้อมทั้งไม่กี่ชั่วโมงหลังข้อตกลงหยุดยิงนี้มีผลบังคับใช้ กองกำลังอิสราเอลทำการยิงจู่โจมตามแนวชายแดนเลบานอน-ซีเรีย ขณะที่ สื่อรัฐบาลซีเรียรายงานว่า การจู่โจมนี้ส่งผลให้มีผู้จบชีวิตอย่างน้อย 6 คน

กองทัพอิสราเอลบอกว่า การจู่โจมนี้พุ่งเป้าไปยังเส้นทางขนส่งระหว่างซีเรียพร้อมทั้งเลบานอนที่ถูกใช้ลำเลียงอาวุธไปให้เฮซบอลลาห์

องค์กรเสี้ยววงเดือนแดงซีเรียรายงานด้วยว่า อาสาสมัครรายหนึ่งของตนถูกสังหารพร้อมทั้งมีอีกรายได้รับบาดเจ็บในการจู่โจมที่จุดข้ามแดน ขณะที่กำลังพยายามช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่

แถลงการณ์จากองค์กรนี้ระบุด้วยว่า รถพยาบาลหลายคันได้รับความเสียหาย ทั้งยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้เคารพกฎหมายด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศพร้อมทั้งปกป้องเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมด้วย

 

 

 

ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอฟพีพร้อมทั้งรอยเตอร์

ระดมกำลังล่าคนร้าย มือยิง 3 ศพหนองบัวลำภู คาดยังในป่า รอยต่อ 3 อำเภอ

ตำรวจระดมกำลังแกะรอยคนร้ายมือยิง 3 ศพที่จังหวัดหนองบัวลำภู พบเบาะแสอยู่ในสภาพอิดโรย มาขอข้าววัดกิน คาดยังหลบอยู่ในป่า รอยต่อ 3 อำเภอ อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู พร้อมทั้ง อ.เอราวัณ อ.ผาขาว จ.เลย เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นคนชอบสะสมอาวุธปืน มีหลายกระบอก

ทหารพรานปัตตานี เร่งอพยพ “นักเรียน” ติดอยู่ในหอพัก หลังโรงเรียนถูกน้ำท่วม

ทหารพรานปัตตานี เร่งอพยพ “นักเรียน” ติดอยู่ในหอพัก หลังเกิดน้ำป่าไหลหลาก ท่วม “โรงเรียนพิริยะนาวิน” ขณะที่ “โรงพยาบาลโคกโพธิ์” เจจ้าหน้าที่เร่งวางกระสอบทราบกั้นทางน้ำ

เตรียมสู่ขอ “น้องหมูมะนาว” ให้ “หมูตุ๋น” พี่ชายหมูเด้ง หวังพัฒนาสายพันธุ์ฮิปโปแคระ

สวนสัตว์เขาเขียว เตรียมสู่ขอ “น้องหมูมะนาว” สาวจากโคราช ให้ “หมูตุ๋น” พี่ชายของหมูเด้ง หวังพัฒนาสายพันธุ์ฮิปโปแคระ

“อนุทิน” ส่ง “ทรงศักดิ์” แจงปมร้อนที่ดินเขากระโดงแทน ย้ำ ไม่มีช่วยเหลือใคร

“อนุทิน ชาญวีรกูล” ส่ง “ทรงศักดิ์” แจงกมธ.ที่ดินฯ ปมข้อพิพาทเขากระโดงแทน ย้ำปฏิบัติตามหลักราชการ รับรู้อยู่แล้วมีคนพยายามโยงให้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง จึงขออยู่ห่างๆ ยันไม่มีช่วยเหลือ ให้เป็นไปตามกฎหมาย

“เจ๊หนิง” ปฏิเสธข้อหา ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว อ้างถูกคุกคามหลังมีคดี

“เจ๊หนิง” ยันไม่ได้จัดฉากห้องพักถูกงัด แต่เป็นการถูกคุกคามหลังจากที่มีคดีความเกิดขึ้น ขณะที่หลานชายที่ถูกออกหมายจับด้วยนั้น จะพาเข้ามอบตัวในวันพรุ่งนี้

ประท้วงเดือดในปากีสถาน – จบชีวิตหลายราย

การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงปากีสถานพร้อมทั้งผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีอิมราน ข่านที่ติดคุกอยู่ ทำให้มีผู้จบชีวิตกว่า 10 รายในวันอังคาร ที่กรุงอิสลามาบัด

ในเวลาเดียวกันการปะทะกันยังเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

ในจำนวนผู้จบชีวิตมีเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย อย่างน้อย 5 ราย พร้อมทั้งอีกกว่า 6 รายที่เป็นผู้สนับสนุนพรรค พีทีไอ (Pakistan Tehreek-e-Insaf) ของข่านรวมอยู่ด้วย ตามข้อมูลของทางการพร้อมทั้งผู้จัดการประท้วง

ความรุนเเรงปะทุขึ้นหลังจากที่ผู้สนับสนุนพรรคพีทีไอหลายพันคนเดินทางถึงอิสลามาบัดช่วงข้ามคืน พร้อมทั้งเดินมุ่งหน้าไปยยังจตุรัสดะชอว์ค ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนรู้จักดี เพื่อรวมตัวกันในการเรียกร้องหลายเงื่อนไข ซึ่งรวมถึงการปล่อยตัวข่าน

การประท้วงนำไปสู่การพังรั้วกั้น จนตำรวจต้องใช้เเก๊สนำ้ตากับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่พรรคพีทีไอพบว่าผู้สนับสนุนฝั่งตนเดินขบวนอย่างสันติ พร้อมทั้งไม่ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่

พรรคกล่าวหาตำรวจว่าใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุม จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บพร้อมทั้งจบชีวิต

อิราน ข่านกล่าวผ่านเเพลตฟอร์ม X ต่อมาในคืนวันเดียวกันว่า “ข้อความของผมสู่ทีม คือ จงสู้ให้ถึงที่สุด เราจะไม่ยอมเเพ้จนกว่าข้อเรียกร้องจะได้รับการตอบสนอง”

นายกรัฐมนตรีปากีสถาน เชห์บาซ ชารีฟ กล่าวหาผู้ประท้วงว่าตั้งใจพุ่งเป้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ความมั่นคง

“มันไม่ใช่การประท้วงที่สันติ มันเป็นพฤติกรรมสุดโต่ง” ชารีฟกล่าวในเเถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ผู้ที่รวมตัวกันครั้งนี้ยังได้เรียกร้องให้ชารีฟลาออกจากตำเเหน่งด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้ประท้วงทำร้ายนักข่าวในประเทศเเละต่างประเทศ พร้อมทั้งมีนักข่าวอย่างน้อยหนึ่งรายได้รับบาดเจ็บ

ผู้ที่อยู่บริเวณใกล้ที่เกิดเหตุบอกกับวีโอเอว่าได้ยินเสียงปืนดังหลายชุด พร้อมทั้งบ้านของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยควันจากแก๊สน้ำตา

อิมราน ข่านเป็นนายกฯ ปากีสถานช่วงปี 2018-2022 เขาถูกโหวตไม่ไว้วางใจจากสภา หลังจากที่ขัดเเย้งกับกองทัพซึ่งเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลของประเทศ

ข่านวัย 72  ปียังถูกสั่งจำคุกพร้อมทั้งเผชิญข้อหาอาญากว่า 150 กระทง เช่นคอร์รัปชั่น ก่อการร้าย พร้อมทั้งปลุกปั่นให้เกิดความรุนเเรงต่อสถานที่กองกองทัพ

เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้น พร้อมทั้งว่าการดำเนินดคีต่อเขามีเหตุผลทางการเมืองพร้อมทั้งมีกองทัพอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผู้ที่ถูกพาดพิงก็ต่างปฏิเสธคำกล่าวโทษนี้ของข่าน

รัฐบาลของชารีฟบอกว่าฝ่ายตนไม่เกี่ยวข้องกับคดีต่าง ๆ ของข่านพร้อมทั้งว่าศาลเท่านั้นที่มีอำนาจสั่งปล่อยตัวเขา

ที่มา: วีโอเอ

เข้าใจปมการเมืองเดือดฟิลิปปินส์ ผ่าน 4 ตัวละครหลัก

อุณหภูมิการเมืองฟิลิปปินส์ร้อนระอุ หลังรองประธานาธิบดีออกมาขู่สังหารประธานาธิบดีในทางสาธารณะ พร้อมทั้งหนึ่งในหนทางเข้าใจปมเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น คือการทำความรู้จักตัวละครที่เป็นแกนกลางของความขัดแย้งครั้งนี้

เมื่อราวสองปีที่แล้ว พันธมิตรการเมืองระหว่างประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ พร้อมทั้งรองประธานาธิบดีซารา ดูเตอร์เต เพิ่งชนะใจประชาชนฟิลิปปินส์ถล่มทลายด้วยสโลแกนหาเสียงที่เรียกร้องความสามัคคีภายในชาติ

เพียงไม่กี่ปี ความสามัคคีภายในรัฐบาลกลับอยู่ในจุดที่เปราะบางอย่างแหลมคม เพราะความเห็นที่แตกต่างของผู้นำพร้อมทั้งรองผู้นำในหลายประเด็นในทางการทูตพร้อมทั้งนโยบาย ที่ทำให้สัมพันธ์ของครอบครัวมาร์กอส-ดูเตอร์เต ทวีความร้าวลึก

ความระหองระแหงปะทุต่อหน้าสาธารณชนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังซารา ดูเตอร์เตได้บอกกล่าวกับนักข่าวว่าได้บอกมือสังหารให้ปลิดชีพมาร์กอสพร้อมทั้งภริยา รวมถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร มาร์ติน โรมูอัลเดซ ในกรณีที่เธอถูกฆ่าตาย จนทาง ปธน. มาร์กอส ต้องออกมาประกาศทางโทรทัศน์ว่าพร้อมที่จะสู้กลับเช่นกัน

เอพีรวบรวมข้อมูลของสี่ตัวละครที่เป็นแกนกลางของความตึงเครียดปัจจุบัน ที่แง่หนึ่งสะท้อนถึงสภาพการเมืองฟิลิปปินส์ที่ยังเล่นกันถึงลูกถึงคน

1. ซารา ดูเตอร์เต – รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

ลูกสาวอดีต ปธน.โรดริโก ดูเตอร์เต เป็นนักกฎหมายที่หันสู่สนามการเมืองด้วยแนวทางประชานิยม แม้เป็นที่รู้จักในเรื่องอารมณ์หุนหันพลันแล่นพร้อมทั้งวาทะดุดันหยาบคาย จนมักปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เรื่อย แต่ก็เป็นที่ยำเกรงของชนชั้นนำทางพร้อมทั้งเป็นที่รักของประชาชน ภายใต้เงื่อนไขการเมืองที่ระบบอุปถัมภ์พร้อมทั้งชื่อเสียงหน้าตา มีน้ำหนักชักจูงใจมากกว่าแนวทางนโยบาย

หลังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง เธอจับมือกับมาร์กอส จูเนียร์ ชนะศึกเลือกตั้งระดับชาติปี 2022 แต่รอยร้าวภายในรัฐบาลเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อพันธมิตรของ ปธน.มาร์กอส ใช้กลไกสภาตรวจสอบการจบชีวิตของประชาชนนับพันภายใต้นโยบายปราบปรามยาเสพติดในสมัย ปธน.ดูเตอร์เตผู้พ่อ รวมถึงกล่าวหาว่าเธอใช้งบประมาณโดยมิชอบเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ

เธอออกมาขู่สังหารมาร์กอส ภริยา พร้อมทั้งประธานสภาล่างหลังจากหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของเธอถูกคุมขัง เนื่องจากไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวน ดูเตอร์เตผู้ลูกยังกล่าวหาครอบครัวของประธานาธิบดีคนปัจจุบันว่าเกี่ยวข้องกับการสังหารผู้นำฝ่ายค้านเมื่อปี 1983 จนนำมาสู่การประท้วงใหญ่ที่โค่นล้ม ปธน.เฟอร์ดินาน มาร์กอส พ่อของผู้นำคนปัจจุบัน

2. เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ – ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

ชัยชนะของมาร์กอส จูเนียร์เมื่อปี 2022 เป็นเสมือนเหรียญคนละด้านเมื่อเทียบกับชะตากรรมของครอบครัวเขา ที่เคยปกครองประเทศภายใต้การหนุนหลังของทหาร ก่อนจะถูกประชาชนโค่นล้มขับไล่เมื่อปี 1986

มาร์กอส จูเนียร์ขึ้นสู่ตำแหน่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ การเมืองแบ่งขั้วข้าง พร้อมทั้งเสียงเรียกร้องให้ช่วยดำเนินคดีอดีต ปธน.ดูเตอร์เต กรณีการเข่นฆ่าในนโยบายสงครามยาเสพติด ซึ่งกำลังมีการสอบสวนในศาลอาญาระหว่างประเทศ

รัฐบาลปัจจุบันหันไปสานสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ทางการทหารให้ลึกซึ้งขึ้น พร้อมทั้งไม่อ่อนข้อต่อจีนในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ ซึ่งแตกต่างไปจากแนวทางของรัฐบาลที่แล้วที่เป็นมิตรกับจีนพร้อมทั้งรัสเซีย

ท่ามกลางสัมพันธ์ระหว่างมาร์กอส จูเนียร์ พร้อมทั้งครอบครัวดูเตอร์เตที่ทวีความร้าวลึก สตรีหมายเลขหนึ่ง ลิซา อราเนตา มาร์กอส ออกมาพูดในรายการวิทยุเมื่อเดือนเมษายน ว่ารู้สึกไม่ดีต่อดูเตอร์เตผู้ลูก

สองเดือนหลังจากนั้น ซารา ดูเตอร์เต ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการพร้อมทั้งหัวหน้าหน่วยงานต่อต้านการก่อความไม่สงบ พร้อมทั้งกล่าวเมื่อเดือนตุลาคมว่าความสัมพันธ์กับผู้นำคนปัจจุบันนั้น “เป็นพิษ (toxic)” พร้อมทั้งเคยนึกถึงการ “ตัดหัวเขา”

3. โรดริโก ดูเตอร์เต – ประธานาธิบดีคนที่แล้ว

ปัจจุบัน อดีตผู้นำรายนี้มีอายุ 79 ปี พร้อมทั้งสุขภาพไม่ใคร่จะแข็งแรงนัก แต่ยังคงมีปากมีเสียง พร้อมทั้งเป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างดุดันที่สุด

ดูเตอร์เตผู้พ่อใช้เวลาในวาระหกปี สร้างภาพจำในฐานะผู้นำฝีปากกล้าผู้ไม่ยี่หระต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนพร้อมทั้งชาติตะวันตก ผู้นำพารัฐบาลมะนิลาไปผูกมิตรกับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง พร้อมทั้งผู้นำสูงสุดของรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน

ดูเตอร์เตกล่าวหามาร์กอสพร้อมทั้งภริยา พร้อมทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบันในประเด็นความไม่ชอบมาพากลทางการเงิน รวมถึงมองว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ดำรงตำแหน่งได้นานขึ้น มาร์กอสผู้ลูกอาจถูกประชาชนขับไล่จากประเทศเหมือนผู้เป็นพ่อ

ในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ อดีตผู้นำรายนี้บอกว่า “มีการปกครองที่เปราะบาง…มีเพียงกองทัพเท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาได้” ซึ่งเขาชี้แจงในเวลาต่อมา ว่าไม่ได้เรียกร้องให้มีการรัฐประหาร

4. มาร์ติน โรมูอัลเดซ – ประธานสภาผู้แทนราษฎร

โรมูอัลเดซเป็นทายาทครอบครัวตระกูลมั่งคั่งจากตอนกลางของฟิลิปปินส์ ดำรงตำแหน่งประธานสภาล่างที่ครองเสียงข้างมากโดยพันธมิตรของประธานาธิบดีมาร์กอส ผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง

โรมูอัลเดซที่ปัจจุบันอายุ 61 ปี ถูกคาดหมายว่าจะลงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2028 พร้อมทั้งซารา ดูเตอร์เตกล่าวหาว่าเขาตั้งใจทำลายชื่อเสียงเธอเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง

ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นตำแหน่งสำคัญ หากจะมีการใช้สภาพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งในตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่า รอง ปธน.ดูเตอร์เตจะถูกร้องถอดถอน จากข้อกล่าวหาเรืองการใช้งบประมาณโดยมิชอบ

ในการแถลงที่รัฐสภาเมื่อวันจันทร์ โรมูอัลเดซบอกว่าดูเตอร์เตผู้ลูกควรรับผิดชอบต่อการออกมาขู่ฆ่าเขารวมถึงประธานาธิบดีพร้อมทั้งภริยาออกอากาศ เขาบอกว่า “(การพูดเช่นนั้น) เรียกร้องให้พวกเรา ในฐานะผู้แทนของประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ออกมาแสดงจุดยืนเพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยของพวกเราจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ”

ที่มา: เอพี