ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
ช้อปปิ้ง ‘วันคนโสด’ เงียบเหงา สะท้อนเศรษฐจีนซบเซา
แต่ในปีนี้ ทั้งพ่อค้าแม่ค้า พร้อมทั้งลูกค้า ต่างเห็นตรงกันว่า อัตราการช้อปปิ้งในวันคนโสดไม่คึกคักเหมือนก่อน
บริษัทอีคอมเมิร์ช อาลีบาบา (Alibaba) เป็นผู้ริเริ่มโปรโมชั่น วันคนโสด 11/11 เมื่อหลายปีก่อน เพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาซื้อสินค้า ก่อนที่จะขยายไปยังเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชอื่น ๆ ในประเทศจีน พร้อมทั้งต่างประเทศ พร้อมทั้งต่อมาขยายผลเป็นช่วงแห่งการจับจ่ายยาวนานหนึ่งสัปดาห์
แต่เนื่องจากบรรยากาศที่ซบเซาของเศรษฐกิจจีน สืบเนื่องจากปัญหาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งภาวะเงินฝืด ทำให้ผู้จับจ่ายซื้อสินค้าในวันคนโสดปีนี้มีจำนวนลดลงอย่างเห็ยได้ชัด
ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนนำมาใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ แทบไม่มีผลต่อการกระตุ้นความมั่นใจของผู้บริโภค ประชาชนยังคงไม่ต้องการใช้เงินพร้อมทั้งลดการซื้อสินค้าราคาแพง
ฌอน รีน ผู้บริหารบริษัทวิจัย China Market Research Group ในนครเซี่ยงไฮ้ บอกว่า “ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 ศก.อ่อนแอลง ทำให้สินค้าต่าง ๆ ถูกนำมาลดราคาลงอย่างมากตลอดทั้งปี ผู้คนจึงไม่ตื่นเต้นกับวันคนโสดอีกต่อไป”
ถ้าหากว่า ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้บอกว่า สินค้าบางอย่าง เช่น ชุดกีฬา ชุดออกกำลังกาย ยังคงขายดีในหมู่ผู้บริโภคในวันนี้
เมื่อปีที่แล้ว ยอดขายสินค้าใน ‘วันคนโสด’ 11/11 มีมูลค่าราว 156,400 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาซินตัน (Syntun)
ที่มา: เอพี
ทึ่ง! พบเพนกวินจักรพรรดิตัวแรกบนแผ่นดินออสเตรเลีย คาดมาไกลจากขั้วโลกใต้
เพนกวินเพศผู้โตเต็มวัยตัวนี้ถูกพบที่ชายหาดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เมืองเดนมาร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ห่างจากขั้วโลกใต้ หรือ ทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นที่อยู่ของเพนกวินจักรพรรดิ ราว 3,500 กม. อ้างอิงจากคำแถลงของแผนกความหลากหลายทางชีวภาพพร้อมทั้งการอนุรักษ์ของรัฐออสเตรเลียตะวันตก
รัฐบบาลท้องถิ่นของออสเตรเลีย ระบุในวันจันทร์ว่า เวลานี้เพนกวินนักเดินทางตัวนี้ได้รับการดูแลอย่างดีโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า
เบลินดา แคนเนลล์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยออสเตรเลียตะวันตก (University of Western Australia) บอกว่า ไม่เคยมีการพบเพนกวินจักรพรรดิ ซึ่งเป็นสายพันธ์ุเพนกวินขนาดใหญ่ที่สุด มาก่อนในออสเตรเลีย แม้จะมีบางตัวที่สามารถเดินทางไปนิวซีแลนด์ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าออสเตรเลียก็ตาม
นักวิจัยผู้นี้ชี้ว่า เธอไม่ทราบว่าเพนกวินตัวนี้มาถึงชายหาดใกล้เมืองเดนมาร์กนี้ได้อย่างไร
แคนเนลล์ บอกว่า เพนกวินผู้มาใหม่ได้รับชื่อว่า กัส มีความสูงราว 1 เมตร น้ำหนัก 23 กก. โดยผู้ดูแลเพนกวินใชีวิธีสเปรย์น้ำเย็นใส่ตัวมันตลอดเวลาเพื่อให้เพนกวินสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดีขึ้น
พร้อมทั้งเมื่อถูกถามว่า เพนกวินกัสนี้จะถูกส่งกลับไปยังถิ่นที่มันจากมาหรือไม่ นักวิจัยออสซี่ผู้นี้ตอบว่า “ทางเลือกนั้นกำลังอยู่ในการพิจารณาเช่นกัน”
ที่มา: เอพี
ยูเครนหลังชนฝา! ดิ้นเอาชนะในสมรภูมิเพิ่มอำนาจต่อรองหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกว่า ในช่วง 4-5 เดือนจากนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งสำหรับยูเครน เมื่อมีสัญญาณว่าการกลับสู่ทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงครามยูเครนตามที่ทรัมป์รับปากไว้ แม้ยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้บอกกล่าวกับรอยเตอร์โดยไม่ขอเปิดเผยตัวตนว่า “นี่จะเป็นฤดูหนาวที่สำคัญอย่างยิ่ง หวังว่าสงครามจะมาถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งขณะนี้เราจะขอระบุถึงจุดยืนของทั้งสองฝ่ายในการเจรจา พร้อมทั้งถือเป็นจุดเริ่มต้น”
เจ้าหน้าที่ของยูเครนพร้อมทั้งรัสเซียกำลังจับตามองว่า ทรัมป์จะแต่งตั้งใครขึ้นมาดำรงตำแหน่งสูงสุดด้านความมั่นคงพร้อมทั้งกลาโหม ซึ่งอาจจะช่วยให้พอคาดเดาถึงทิศทางนโยบายด้านการทหารของรับบาลสหรับฯ ชุดใหม่ได้
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่มีชื่อของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ อยู่ในโผคณะทำงานชุดใหม่ โดยพอมเพโอนั้นถูกว่ามีแนวคิดสนับสนุนยูเครน
ช่วงที่ผ่านมา รัสเซียเดินหน้ารุกคืบอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบสองปี โดยยุเครนระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ามีทหารเกาหลีเหนือราว 11,000 คนเข้าร่วมกับรัสเซียในการต่อสู้กับทหารยูเครนบริเวณแคว้นเคิร์สกของรัสเซียด้วย
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม กองทัพยูเครนได้บุกเข้าไปในแคว้นเคิร์สกพร้อมทั้งบริเวณใกล้เคียง โดยประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี เชื่อว่า หากสามารถยึดพื้นที่แถบนี้ได้จะถือเป็นไพ่สำคัญในการเจรจาต่อรองกับรัสเซีย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.เซเลนสกี ได้พูดคุยทางโทรศพัท์กับอดีตปธน.ทรัมป์ พร้อมทั้งบอกว่า ทรัมป์ได้โน้มน้าวให้ตนเร่งยุติสงครามซึ่งหมายถึงการยินยอมสูญเสียดินแยดนบางส่วนให้กับรัสเซีย
เซเลนสกี บอกว่า “การยุติสงครามโดยเร็ว หมายถึงความสูญเสียของยูเครน ไม่สามารถหมายความถึงอย่างอื่นได้” พร้อมยังวิจารณ์ไปถึงการเจรจาหยุดยิงโดยที่ยูเครนไม่ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยว่ารัสเซียจะไม่เริ่มการจู่โจมรุกรานครั้งใหญ่อีก
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยูเครนยังกล่าวด้วยว่า มีความเป็นไปได้น้อยลงอย่างยิ่งที่ยูเครนจะได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง รวมทั้งมีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะลดความช่วยเหลือที่ให้กับกรุงเคียฟด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว รัฐบาลรัสเซียยืนยันว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน พร้อมที่จะเจรจาหารือกับทรัมป์ในเรื่องยูเครน แต่มิได้หมายความความประสงค์ของรัสเซียจะเปลี่ยนไปด้วย
โดยปูตินกำหนดเงื่อนไขของการยุติสงครามครั้งนี้ว่า ยูเครนต้องยุติความพยายามเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้ พร้อมทั้งต้องถอนทหารทั้งหมดออกจากเขตปกครอง 4 แห่งทางภาคตะวันออกของยูเครนที่รัสเซียยึดครองไว้แล้วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของสงคราม ซึ่งทางยูเครนปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างหนักแน่น
เมื่อเดือนกันยายน ปธน.เซเลนสกี ประกาศ “แผนแห่งชัยชนะ” ต่อประธานาธิบดีไบเดน พร้อมเน้นย้ำคำขออนุมัติจากสหรัฐฯ เพื่อให้ยูเครนสามารถใช้อาวุธจู่โจมระยะไกลเข้าไปในดินแดนของรัสเซียได้ รวมทั้งขอให้นาโต้ออกคำเชิญอย่างเป้นทางการให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก
ถ้าหากว่า ยังไม่มีท่าทีตอบรับจากรัฐบาลของไบเดน พร้อมทั้งทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่เจ้าหน้าที่กรุงเคียฟว่า ไบเดนจะยังคงให้การสนับสนุนยูเครนต่อไปจนถึงวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งหรือไม่ แม้ความหวังนั้นจะค่อนข้างเลือนรางลงไปเรื่อย ๆ ก็ตาม
ที่มา: รอยเตอร์
ประชุม COP29 เริ่มแล้วที่อาเซอร์ไบจาน ท่ามกลางความกังวลหลังทรัมป์ชนะ
บรรดาผู้ร่วมประชุมที่กรุงบากู อาเซอร์ไบจาน ตั้งความหวังว่าจะสามารถหาทางแก้ปัญหาสำคัญของการประชุมครั้งนี้ คือการระดมเงินมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีสำหรับกองทุนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศของประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก
แต่ดูเหมือนแผนดังกล่าวจะประสบอุปสรรคหลายประการ ตั้งแต่ความขัดสนของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ สงครามในยูเครนพร้อมทั้งกาซ่า ตลอดนโยบายที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ
ในฐานะเจ้าภาพ อาเซอร์ไบจานกำลังเผชิญแรงกดดันเรื่องการบรรลุข้อตกลงด้านการเงินเพื่อนำมาใช้แทนข้อตกลงเดิมที่จะหมดอายุลงปลายปีนี้ รวมทั้งการผลักดันให้เกิดความคืบหน้าจาก COP28 เมื่อปีที่แล้วซึ่งที่ประชุมตกลงให้ถอยออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกประเภท
ทั้งนี้ รายได้จากน้ำมันพร้อมทั้งก๊าซธรรมชาติ มีสัดส่วนราว 35% ของมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดของอาเซอร์ไบจาน
ก่อนหน้าการประชุมจะเริ่มขึ้น จีนเสนอให้นำประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการค้าโลกขึ้นมาหารือในที่ประชุมนี้ด้วย หลังจากความกังวลในเรื่องนี้ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อทรัมป์เคยกล่าวไว้ตอนหาเสียงว่า หากเขาชนะการเลือกตั้ง จะมีการเพิ่มภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีน พร้อมทั้ง 20% สำหรับสินค้าจากทุกประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า คำร้องของจีนแสดงให้เห็นถึงความกังวลหลังชัยชนะของทรัมป์ซึ่งส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ อาจถอนตัวออกจากข้อตกลงความร่วมมือด้านสภาพอากาศโลก
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยเรียกภาวะโลกร้อนว่าเป็นการโกหกหลอกลวง พร้อมทั้งสัญญาว่าจะถอนสหรัฐฯ ออกจากสนธิสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก
บรรดาผู้เข้าร่วมประชุม COP29 ที่กรุงบากู ต่างกังวลว่าการถอนตัวของสหรัฐฯ อาจทำให้ประเทศอื่นลดความสำคัญของการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง หรืออาจลดความร่วมมือ หรือลดเป้าหมายในอนาคตได้
ที่มา: รอยเตอร์
วิเคราะห์: การปัดฝุ่นนโยบาย “อเมริกามาก่อน” ของทรัมป์ อาจให้ผลตรงกันข้ามในเวทีโลก
ท่าทีของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนว่าเขาสนใจกฎระเบียบพร้อมทั้งพันธมิตรน้อยลงแต่แสดงความชื่นชอบผู้นำเผด็จการ โดยไม่นานมานี้ทรัมป์ได้เรียกประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินว่าเป็น “อัจฉริยะ” ในการรุกรานยูเครน พร้อมทั้งเรียกประธานาธิบดีสี จิ้นผิงว่า “ยอดเยี่ยม” ในการใช้ “กำปั้นเหล็ก” หรือมาตรการที่เด็ดขาดเพื่อควบคุมประชาชน
นอกจากนี้ ทรัมป์ได้บอกว่าตนจะสนับสนุนรัสเซียในการ “ทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ” กับพันธมิตรด้านการทหารนาโต้ที่ไม่ทุ่มงบด้านการทหารเพียงพอ พร้อมทั้งสัญญาณว่าจะบังคับใช้มาตรการกำแพงภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ แม้กระทั่งประเทศที่เป็นมิตรของสหรัฐฯ ก็ตามที
ในทัศนะของโรเบิร์ต โอไบรอัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในยุคทรัมป์สมัยแรก ได้แย้งว่า ว่าที่ปธน.ทรัมป์จะรักษา “สันติภาพด้วยความเข้มแข็ง” ด้วยนโยบายต่างประเทศที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งตีความถ้อยแถลงต่าง ๆ ของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ในมุมที่อ่อนลงว่า ทรัมป์ ยังคงให้ความสำคัญกับความเป็นหุ้นส่วนต่าง ๆ แต่ได้มีคำขู่เพื่อให้ได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าจากพันธมิตรในด้านกลาโหมพร้อมทั้งการค้าเท่านั้น
โอไบรอัน ระบุในนิตยการ Foreign Affairs ฉบับเดือนมิถุนายนว่า “มิตรสหายของวอชิงตันจะมีความมั่นคงปลอดภัยพร้อมทั้งพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น พร้อมทั้งศัตรูก็จะเกรงกลัวอำนาจของอเมริกาอีกครั้ง สหรัฐฯ จะต้องแข็งแกร่ง พร้อมทั้งจะมีสันติภาพตามมา”
ถ้าหากว่า มีอุปสรรคอย่างหนึ่งก็คือ ทรัมป์ ดูจะมีความพอใจที่จะทำข้อต่อรองที่ดีขึ้นแม้จะหมายถึงการคุกคามหุ้นส่วนต่าง ๆ ทรัมป์ไม่เชื่อในหลักการปกครองที่มีกฎระเบียบในด้านความสัมพันธ์พร้อมทั้งการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งโอไบรอันเรียกว่า “สิ่งที่เป็นนามธรรม”
ผลก็คือ พันธมิตรในยุโรปพร้อมทั้งเอเชียจะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจสหรัฐฯ น้อยลง พร้อมทั้งมองอเมริกาว่าเป็นหุ้นส่วนที่พึ่งพาไม่ได้ พวกเขาจะเริ่มมองหาทางเลือกอื่น ๆ ในการปกป้องตนเอง
อันตรายในฝั่งยุโรป
ยูเครนมีความกังวลมากที่สุดในยุโรปหลังการเลือกตั้งที่ทรัมป์กุมชัยชนะ ทรัมป์อาจข่มขู่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ให้ยอมรับข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย ด้วยการขู่ที่จะตัดความช่วยเหลือด้านอาวุธเว้นแต่จะยอมรับข้อเสนอไป
ว่าที่ปธน.ทรัมป์ เคยบอกว่าตนจะสามารถยุติสงครามได้ใน 24 ชั่วโมง แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกว่าจะทำได้อย่างไร เจ.ดี.แวนซ์ คู่ชิงของทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน ได้เสนอว่าข้อตกลงอาจเกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลกรุงเคียฟยอมยกดินแดนให้แก่รัสเซียพร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโต้
ข้อตกลงสันติภาพที่เลวร้ายของยูเครนอาจบั่นทอนด้านกลาโหมของสหภาพยุโรป ด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้รัสเซีย แต่รัฐบาลทรัมป์สมัยสองจะยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับอียู จากมาตรการกำแพงภาษีที่กระทบกับประเทศในสหภาพยุโรปซึ่งเศรษฐกิจอ่อนแออยู่เป็นทุนเดิม
ตามหลักการที่ควรจะเป็นคือประเทศในอียูลงทุนในด้านกลาโหมของประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือยูเครนเพิ่มเพื่อให้สามารถต่อสู้กับรัสเซียได้หากสหรัฐฯ ตัดความช่วยเหลือ ถ้าหากว่า มีโอกาสน้อยมากที่อียู ซึ่งมีอำนาจด้านนโยบายการต่างประเทศพร้อมทั้งกลาโหม จะสามารถทำอะไรที่หาญกล้าไปได้ อีกทั้งประเทศในยุโรปบางแห่งที่มีแนวคิดชาตินิยมที่ช่วยให้พรรคฝ่ายขวาในประเทศเหล่านั้นคว้าชัยเลือกตั้ง พร้อมทั้งหลายประเทศมีความเห็นอกเห็นใจรัสเซีย ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ประเทศเหล่านี้เห็นตรงกันในมาตรการต่าง ๆ ในยุโรปด้วยกันเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เยอรมนีพร้อมทั้งฝรั่งเศส 2 มหาอำนาจในอียู กำลังตกอยู่ท่ามกลางวิกฤตการเมืองภายในประเทศ พ่วงด้วยภาวะการคลังที่อ่อนแอในรัฐบาลยุโรป ทำให้ยากที่จะเห็นอียูผนึกเป็นปึกแผ่นอย่างแข็งแกร่งในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามด้านภูมิรัฐศาสตร์เช่นนี้ แต่มีแนวโน้มว่าแต่ละชาติจะพยายามทำข้อตกลงขึ้นมา บ้างจะเข้าหาทรัมป์ บ้างจะเสริมสัมพันธ์กับผู้นำรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน พร้อมทั้งบางประเทศเลือกที่จะเสริมสัมพันธ์กับสองผู้นำไปพร้อมกัน
จีนจะเป็นฝ่ายที่ใช้ประโยชน์จากความแบ่งแยกเหล่านี้ โดยจีนจะแย้งว่ายุโรปควรจะร่วมมือกับจีนในด้านการค้าหากเผชิญกับกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ พร้อมทั้งจีนจะผลักดันแนวคิดเดียวกันนี้กับการแก้ปัญหาสภาวะอากาศผิดธรรมชาติ หากทรัมป์ขู่อีกครั้งว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ความเสี่ยงในฝั่งเอเชีย
ในฝั่งเอเชีย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะมองหาโอกาสในการผลักดันความมุ่งมั่นในการรวมไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ผู้นำจีนอาจตีความแรงกดดันของทรัมป์ต่อยูเครนเป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ จะทำอะไรไม่มากนักในการปกป้องไต้หวัน โดยเฉพาะเมื่อว่าที่ปธน.ทรัมป์ กล่าวหาไต้หวันว่า “ขโมย” อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ
ขณะที่มิตรสหายพร้อมทั้งพันธมิตรของอเมริกาในเอเชียแปซิฟิก เริ่มกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของทรัมป์ ความอ่อนแอเชิงนโยบายต่อไต้หวันจะยิ่งทำให้พวกเขากังวลมากขึ้นเป็นเท่าตัว ญี่ปุ่นพร้อมทั้งเกาหลีใต้จะเริ่มไม่แน่ใจว่าสหรัฐฯ จะปกป้องพวกเขาหรือไม่หากจีนตัดสินใจเข้ามาคุกคามประเทศ ซึ่งจะทำให้พวกเขาเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนขึ้นมา
อีกด้านหนึ่งคือฟิลิปปินส์ ซึ่งเอนเอียงมาทางสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเพื่อการปกป้องตนเองจากการรุกรานของจีนในทะเลจีนใต้ อาจมีอนาคตที่ไม่แน่นอนในการต่อกรกับจีน ส่วนเวียดนาม ซึ่งมีแนวทางที่โน้มเข้าหาสหรัฐฯ อาจสรุปได้ว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่ฉลาดนัก ขณะที่อินเดีย ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หลังข้อพิพาทพรมแดนกับจีน ก็กำลังปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลปักกิ่งเช่นกัน
หากจีนสามารถควบคุมประเทศต่าง ๆ ใกล้เคียงได้ จีนจะสามารถสถาปนาตนเองเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชียได้อย่างไร้ข้อพิพาท ในเวลาเดียวกันนี้หากพันธมิตรชิดใกล้ปักกิ่งอย่างรัสเซีย สามารถหยิบยื่นข้อเสนอที่แย่ให้แก่ยูเครนได้ สองมหาอำนาจนี้จะก้าวขึ้นมาในจุดยืนที่แข็งแกร่งทั่วยูเรเชีย
ที่ผ่านมา จีนอ้างว่าสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะแม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจโลกเหมือนที่เคยเป็นมาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960 แต่ในระยะยาวสหรัฐฯ ยังอยู่ในทิศทางที่ดีกว่าจีน
เรื่องของเศรษฐกิจไม่ได้เป็นเหตุผลเดียวที่สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะสหรัฐฯ ได้ลงทุนในด้านเครือข่ายพันธมิตรโลกพร้อมทั้งหลักนิติธรรม ซึ่งหากทรัมป์เข้ามาคุกคามในประเด็นเหล่านี้ นโยบายอเมริกาของเขา อาจผลักให้อเมริกาต่อไปต่อท้ายในฐานะประเทศที่เข้าสู่ช่วงตกต่ำได้
ที่มา: รอยเตอร์
ทรัมป์เสนอชื่อ ‘ผู้คุมชายแดน’ คนใหม่ ดูแลขับผู้อพยพกลับประเทศ
ทรัมป์ระบุในสื่อทรูธโซเชียลเมื่อวันอาทิตย์ว่า โฮแมน อดีตรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพร้อมทั้งศุลกากรสหรัฐฯ หรือ U.S. Immigration and Customs Enforcement (ICE) วัย 62 ปี จะทำหน้าที่ “ดูแลพรมแดนสหรัฐฯ” ทั้งภาคใต้ติดกับเม็กซิโก พร้อมทั้งภาคเหนือติดแคนาดา โดยเชื่อว่าโฮแมนจะทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม
การแต่งตั้งโฮแมนเป็น “ผู้คุมชายแดน” คนใหม่ ไม่จำเป็นต้องผ่านการรับรองของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยเขาเคยเป็นทั้งตำรวจพร้อมทั้งเจ้าหน้าตระเวนชายแดน ก่อนที่จะกลายเป็นนักวิเคราะห์เรื่องผู้อพยพเข้าเมืองของสถานีข่าวฟ็อกซ์นิวส์
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังจะแต่งตั้ง สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้มีแนวทางแข็งกร้าวด้านนโยบายคนเข้าเมือง ให้นั่งตำแหน่งรองหัวหน้าคณะทำงานของทำเนียบขาว ดูแลด้านนโยบายพร้อมทั้งสื่อมวลชนด้วย
ในวันจันทร์ ทรัมป์เปิดเผยชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติคนใหม่ ได้แก่ ส.ส. เอลีส สเตฟานิค สังกัดพรรครีพับลิกัน จากรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่เปลี่ยนจากแนวทางสายกลางมาเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์รับปากกับบรรดาผู้สนับสนุนเขาว่า จะส่งตัวผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 11 ล้านคน กลับประเทศของพวกเขา
ทรัมป์บอกว่า “เราจะปิดพรมแดนของเรา” พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ประเทศอื่น ๆ ต่างส่งนักโทษพร้อมทั้งผู้ป่วยทางจิตให้เดินทางมายังอเมริกา นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมมากมายในประเทศ
ถ้าหากว่า ข้อมูลสถิติของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ชี้ว่าตัวเลขอาชญากรรมที่ทรัมป์อ้างว่าพุ่งสูงขึ้นนั้นมิได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด
เมื่อวันอาทิตย์ ส.ส. จิม จอร์แดน จากรัฐโอไฮโอ หนึ่งในที่ปรึกษาของทรัมป์ ได้บอกกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า มาตรการส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศนั้นจะเริ่มต้นที่ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 1.3 ล้านคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดพร้อมทั้งมีกำหนดขึ้นศาล หรือถูกปฏิเสธสถานะลี้ภัยในอเมริกา โดยขณะนี้อยู่ภายใต้ของจับกุมของเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิพร้อมทั้งตำรวจท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหลายคนได้บอกกล่าวกับรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อสองเดือนก่อนว่า มีผู้อพยพมากกว่า 13,000 คนที่กระทำความผิดในสหรัฐฯ หรือในต่างประเทศ พร้อมทั้งเวลานี้อาศัยอยู่ในอเมริกาโดยมิได้ถูกจับกุมหรือถูกดำเนินคดี
สำหรับกรณีของผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายพร้อมกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก หรือ ดรีมเมอร์ส ที่มีจำนวนราว 3.6 ล้านคน ส.ส.จอร์แดน บอกว่า เป็นเรื่องที่ต้องจัดการทีหลัง ว่าจะส่งตัวพวกเขากลับประเทศที่พวกเขาจากมาด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ ในการดำรงตำแหน่งปธน.สมัยแรก ทรัมป์รับปากว่าจะสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก พร้อมทั้งบังคับให้รัฐบาลเม็กซิโกเป็นผู้จ่ายค่าก่อสร้างกำแพงนั้น ซึ่งขณะนี้กำแพงบางส่วนได้ถูกสร้างแล้วดยที่เม็กซิโกมิได้เป็นผู้จ่ายเงินแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามส่งตัวผู้อพยพหลายล้านคนกลับประเทศ แต่ประสบความล้มเหลวเนื่องจากไม่มีงบประมาณ พร้อมทั้งต้องเผชิญกับการท้าทายทางกฎหมายจากบรรดาผู้สนับสนุนผู้อพยพพร้อมทั้งดรีมเมอร์สเหล่านั้น รวมทั้งการถูกวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการที่นำมาใช้ในการจัดการกับผู้อพยพเข้าเมือง เช่นการพรากเด็ก ๆ ออกจากผู้ปกครองของพวกเขา เป็นต้น
ที่มา: วีโอเอ