ศาลคว่ำ กม. ไบเดน ให้สัญชาติคู่สมรสพลเมืองอเมริกันแต่เข้าเมืองผิดกฎหมาย

ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในรัฐเท็กซัส วินิจฉัยว่าโครงการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มุ่งช่วยคู่สมรสของชาวอเมริกันให้ขอสัญชาติได้แม้เข้าเมืองผิดกฎหมาย เป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหาร

ยูนเตือนถ้าโสมเเดงจู่โจมด้วยนิวเคลียร์ อาจเจอสวนจากรบ.โซล-สหรัฐฯ

รอยเตอร์รายงานวันศุกร์โดยอ้างสื่อนิวส์วีคว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยูน ซุก ยอล พบว่ารัฐบาลโซลเตรียมตัวร่วมกับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตร ที่จะสวนกลับเกาหลีเหนือ หากว่าฝ่ายเปียงยางพยายามใช้อาวุธนิวเคลียร์จู่โจมเกาหลีใต้

ยูนกล่าวด้วยว่าเกาหลีใต้สามารถพึ่งพาอาวุธนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ ในการปกป้องประเทศ พร้อมทั้งไม่ต้องมีอาวุธร้ายเเรงดังกล่าวเป็นของตนเอง

นิวส์วีคอ้างคำพูดของยูนที่พบว่า “ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งไม่สมเหตุสมผลสำหรับพวกเขาที่จะตัดสินใจจู่โจมด้วยนิวเคลียร์ต่อสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) พร้อมทั้งถ้าพวกเขาทำเช่นนั้น พันธมิตรที่มีนิวเคลียร์ระหว่าง(เกาหลีใต้) พร้อมทั้งสหรัฐฯ จะจู่โจมเกาหลีเหนือโดยทันทีด้วยอาวุธนิวเคลียร์”

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมเกาหลีเหนือเเสดงเเสนยานุภาพทางทหาร ด้วยการยิงทดสอบขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยไกลข้ามทวีป ‘ฮวาซอง-19’

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่รัฐบาลเปียงยางถูกกล่าวหาจากสหรัฐฯพร้อมทั้งเกาหลีใต้ว่าส่งทหารไปช่วยรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน

ยูนซึ่งเป็นนักการเมืองสายอนุรักษ์นิยม ใช้เเนวทางที่เเข็งกร้าวมากขึ้นกว่ารัฐบาลก่อน ๆ ในประเด็นเกาหลีเหนือ โดยรัฐบาลเปียงยางได้พัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียพร้อมทั้งขีปนาวุธวิถีโค้ง อย่างไม่สนใจมติของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ

ภายหลังจากที่ทราบผลว่าโดนัลด์ ทรัมป์ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับกรุงวอชิงตันให้ก้าวหน้าต่อไป ทั้งนี้สหรัฐฯพร้อมทั้งเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงมายาวนาน 70 ปี

ส่วนเกาหลีเหนือพร้อมทั้งเกาหลีใต้ในทางเทคนิคยังคงอยู่ในสภาวะสงคราม ตั้งแต่ที่รบกันในสงครามเกาหลีปี 1950-1953 เพราะยังไม่ได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างกัน

ที่มา: รอยเตอร์

 

ตำรวจเผย 43 ลิงหลุดจากแล็บเซาธ์ แคโรไลนา แทบไม่อันตรายกับ ปชช.

ข่าวลิง 43 ตัวที่หลุดจากห้องวิจัยในรัฐเซาธ์ แคโรไลนา เมื่อวันพุธที่ผ่านมาชวนให้นึกถึงหนังไซ-ไฟ แต่ทางตำรวจออกมาชี้แจงว่าลิงเหล่านั้น “แทบไม่เป็นอันตราย” กับสาธารณะ ตามการรายงานของเอพี

เกรกอรี อเล็กซานเดอร์ หัวหน้าตำรวจเมืองเยมัสซีกล่าวเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีว่าลิงเหล่านั้น “ไม่ได้ติดเชื้อโรคอะไรเลย พวกมันไม่มีพิษภัย พร้อมทั้งขี้ตกใจเล็กน้อย” 

อเล็กซานเดอร์อธิบายว่า ฝูงลิงวอกหลบหนีออกมาจากสถานวิจัยทางการแพทย์ของบริษัทอัลฟ่าเจเนซิสเนื่องจากพนักงานไม่ได้ปิดกรงขังให้ดี โดยลิงเหล่านั้นเป็นเพศเมีย น้ำหนักราว 3 กก. ซึ่งยังมีอายุน้อยพร้อมทั้งยังไม่ได้ถูกนำไปทดลอง

แถลงการณ์ของตำรวจพบว่าพนักงานของอัลฟ่าเจเนซิสกำลัง “ติดตามลิงเหล่านั้นพร้อมทั้งพยายามล่อพวกมันด้วยอาหาร”

นอกจากของกินล่อตาล่อใจแล้ว อัลฟาเจเนซิสยังติดตั้งกับดักพร้อมทั้งกล้องตรวจจับอุณหภูมิเพื่อนำตัวผู้หลบหนีกลับมาสู่พื้นที่ให้ได้

แม้ตำรวจยืนยันว่าลิงเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย แต่ก็แนะนำประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แล็บให้ปิดประตูพร้อมทั้งหน้าต่างเพื่อไม่ให้ลิงเข้าไปหลบซ่อนในบ้าน พร้อมทั้งติดต่อตำรวจเมื่อพบเห็นลิง เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งบริษัทไปตามจับ

อัลฟ่าเจเนซิสเป็นผู้จัดส่งลิงสำหรับงานวิจัยให้กับผู้ที่ต้องการทั่วโลก ทั้งนี้บริษัทไม่ได้ตอบคำถามของเอพีในกรณีเหตุการณ์ลิงหลุดเมื่อวันพุธ

เมื่อปี 2018 เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสั่งปรับบริษัทดังกล่าวเป็นเงิน 12,600 ดอลลาร์ เนื่องจากมีลิงหลายสิบตัวหลบหนี รวมถึงปัญหาอื่น ๆ ด้านสภาพการอยู่อาศัยของลิง

เหตุการณ์ลิงหลุดครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของอัลฟ่าเจเนซิส เพราะเมื่อปี 2014 ก็มีลิงหลบหนีไป 26 ตัว พร้อมทั้งสองปีต่อมาก็มีอีก 19 ตัวที่หลุดหนีไปเช่นกัน

กลุ่มรณรงค์ด้านสวัสดิภาพสัตว์ ชื่อ Stop Animal Exploitation Now ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังกระทรวงการเกษตรสหรัฐฯ เรียกร้องให้ส่งคณะตรวจสอบไปยังอาคารของอัลฟ่าเจเนซิสเพื่อสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้ตีสถานะของบริษัทนี้เป็นผู้กระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

กลุ่มรณรงค์นี้มีบทบาทในการทำให้อัลฟ่าเจเนซิสถูกสั่งปรับเมื่อปี 2018

ไมเคิล บัดคี ผู้อำนวยการบริหาร Stop Animal Exploitation Now ระบุในหนังสือร้องเรียนว่า “ความประมาทเลินเล่นอย่างเห็นได้ชัด ที่ทำให้ลิง 40 ตัวหนีไป ก่อดันตรายไม่เพียงต่อความปลอดภัยของสัตว์ แต่ยังทำให้ประชาชนของเซาธ์ แคโรไลนามีความเสี่ยงด้วย”

ที่มา:เอพี

ศาลคว่ำ กม.ไบเดน ช่วยคนเข้าเมืองผิดกฎหมายขอสัญชาติ หากเป็นคู่สมรสคนอเมริกัน

ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในรัฐเท็กซัส วินิจฉัยว่าโครงการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มุ่งช่วยคู่สมรสของชาวอเมริกันให้ขอสัญชาติได้แม้เข้าเมืองผิดกฎหมาย เป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหาร

สำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์รายงานว่า เจ แคมป์เบล บาร์เกอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งอาจมีผลให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปไม่ได้ไปจนกระทั่งไบเดนลงจากตำแหน่งในเดือนมกราคมปี 2025

โครงการที่ไบเดนประกาศนี้มีชื่อว่า Keeping Families Together หรือแปลไทยว่า ‘ให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน’ เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ไม่กี่วันต่อมาก็ถูกบาร์เกอร์สั่งระงับชั่วคราว เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้งทางกฎหมายจากอัยการสูงสุดของรัฐต่าง ๆ รวมถึงเท็กซัส 

นโยบายดังกล่าวอนุญาตให้คู่สมรสของพลเมืองอเมริกันที่ไม่มีสถานะเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถยื่นเอกสารเพื่อขอเป็นผู้พำนักถาวร หรือ ใบเขียว พร้อมทั้งสามารถขอเป็นพลเมืองอเมริกันได้

การรายงานเมื่อเดือนมิถุนายนพบว่า บุคคลที่สามารถยื่นขอเอกสารได้จะต้องเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เป็นเวลา 10 ปี ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2024 พร้อมทั้งต้องสมรสกับผู้ที่มีสัญชาติอเมริกัน

ไบเดนที่สังกัดพรรคเดโมแครต ประกาศโครงการดังกล่าวในเดือนมิถุนายน ก่อนตัดสินใจถอนตัวจากการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีพร้อมทั้งส่งไม้ต่อให้รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ให้ไปแข่งขันกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มีจุดยืนที่แข็งกร้าวในประเด็นการอพยพเข้าสหรัฐฯ

เป็นที่คาดการณ์กันว่าทรัมป์ที่เพิ่งเอาชนะแฮร์ริสในการเลือกตั้งที่ผ่านมา จะมีนโยบายปราบปรามผู้อพยพเข้าประเทศขนานใหญ่ ซึ่งอาจรวมถึงการยกเลิกโครงการช่วยเหลือการขอสถานะให้กับคู่สมรสของพลเมืองอเมริกันของไบเดน ที่ทรัมป์มองว่าเป็นการ “อภัยโทษหมู่” ที่จะยิ่งจูงใจให้คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย

โพลสำรวจความคิดเห็นของรอยเตอร์/อิปซอส ที่เสร็จสิ้นเมื่อวันพฤหัสบดี พบว่าประเด็นคนอพยพเข้าประเทศเป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันจำนวนมากอยากเห็นทรัมป์มีแนวทางจัดการเป็นเรื่องแรก ๆ หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม พร้อมทั้งส่วนมากเชื่อว่าเขาจะมีคำสั่งขับไล่ผู้อยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายออกจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

ทำเนียบขาวยังไม่ได้ตอบคำขอความเห็นของรอยเตอร์ ทั้งนี้ รัฐบาลไบเดนยังสามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลได้อยู่

ที่มา: รอยเตอร์

รู้จัก ‘ซูซี ไวลส์’ จากกุนซือทรัมป์ สู่หัวหน้าคณะ จนท. ทำเนียบขาว

เมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคาะชื่อแรกของโผทีมงานสำหรับรัฐบาลใหม่ด้วยการประกาศชื่อซูซี ไวลส์ เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำงานในตำแหน่งนี้ ตามการรายงานของเอพี

ไวลส์ เป็นผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ในครั้งนี้ พร้อมทั้งเป็นที่ยอมรับในวงกว้างทั้งจากวงนอกพร้อมทั้งวงในของว่าที่ผู้นำคนใหม่ว่าอยู่เบื้องหลังการหาเสียงที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยทำให้แคมเปญหาเสียงของทรัมป์มีระบบระเบียบ

ที่ผ่านมาเธอพยายามเลี่ยงการตกเป็นจุดสนใจ เคยแม้กระทั่งปฏิเสธไมโครโฟนในงานเฉลิมฉลองชัยชนะของทรัมป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้นยังปฏิเสธตำแหน่งเป็นทางการในฐานะผู้จัดการแคมเปญหาเสียง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรัมป์มีประวัติการปลดพร้อมทั้งเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง

การแต่งตั้งไวลส์ถือเป็นการตัดสินใจในเรื่องสำคัญเป็นเรื่องแรกของทรัมป์ ที่หลังจากนี้ต้องฟอร์มทีมงานบริหารรัฐบาลกลางให้ได้อย่างรวดเร็ว

แม้ไวลส์ไม่ใช่คนแรก ๆ ที่จะนึกถึงเมื่อพูดถึงประสบการณ์การบริหารรัฐบาลกลาง แต่สิ่งที่เธอมีคือสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับทรัมป์ พร้อมทั้งสามารถทำในสิ่งที่น้อยคนจะทำได้ ก็คือสามารถช่วยแนะนำให้ทรัมป์ควบคุมอารมณ์ตนเองในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 

โดยสรุป ไวลส์ครองตนจนได้รับความเคารพนับถือจากทรัมป์ พร้อมทั้งทำให้เขาเห็นว่าถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอแล้ว ผลสุดท้ายจะออกมาดีกว่าทางอื่น

ทรัมป์กล่าวในแถลงการณ์ถึงขุนพลข้างกายรายนี้ว่า “ซูซีเข้มแข็ง ฉลาด สร้างสรรค์ พร้อมทั้งเป็นที่เคารพพร้อมทั้งยกย่องในวงกว้าง ซูซีจะทำงานต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” พร้อมทั้งระบุด้วยว่า “เป็นเกียรติยศที่คู่ควร ที่จะให้ซูซีเป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำงานที่เป็นผู้หญิงคนแรกของประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ผมไม่กังขาเลยว่าเธอจะทำให้ประเทศของเราภูมิใจ”

ที่ผ่านมา มาตรวัดความสำเร็จของตำแหน่งนี้คือการเติมเต็มบทบาทการเป็นคนใกล้ชิดของประธานาธิบดี ช่วยบริหารวาระงานของประธานาธิบดีพร้อมทั้งหาจุดสมดุลระหว่างงานด้านนโยบายพร้อมทั้งการแข่งขันทางการเมือง 

การทำงานในตำแหน่งนี้อาจกินแดนไปถึงการช่วยคัดกรองคนที่ประธานาธิบดีควรพูดคุยด้วย พร้อมทั้งจำกัดเวลาในการพูดคุยเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทรัมป์ไม่ชอบใจนักในการทำงานในทำเนียบขาวที่ผ่านมา

ไวลส์ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการหาเสียงเลือกตั้ง ก่อนหน้านี้เธอเป็นนักยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกันในรัฐฟลอริดามายาวนาน มีส่วนในชัยชนะในการเลือกตั้งของผู้ว่าการรัฐฟลอริดา รอน เดอซานติส พร้อมทั้งอยู่ในทีมหาเสียงของทรัมป์เมื่อปี 2016 พร้อมทั้ง 2020 

ก่อนหน้านั้นเธอทำงานในทีมหาเสียงของริค สกอตต์ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ รัฐฟลอริดาเมื่อปี 2010 พร้อมทั้งเคยจัดการแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีของอดีตผู้ว่าการรัฐยูทาห์ จอน ฮันส์แมน เป็นเวลาสั้น ๆ เมื่อปี 2012

ที่มา: เอพี

สหรัฐฯ ตั้งข้อหาชายชาวอิหร่าน ต้องสงสัยวางแผนสังหารทรัมป์

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยวันศุกร์ว่ารัฐบาลอเมริกันได้ตั้งข้อหาชาวอิหร่านที่เชื่อมโยงกับแผนที่ต้องสงสัยว่ามาจากกองทัพอิหร่านในความพยายามสังหารว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ในแถลงการณ์ กระทรวงยุติธรรมบอกว่า ชายที่ชื่อ ฟาร์ฮาด ชาเครี ซึ่งได้รับคำสั่งจากหน่วยทหาร Revolutionary Guards Corps หรือ IRGC ของอิหร่าน ระบุกับเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายว่าเขาถูกมอบหมายให้วางแผนสังหารทรัมป์ ในวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา

กระทรวงฯ พบว่าชาเครีทำงานให้กับ IRGC พร้อมทั้งอาศัยอยู่ที่กรุงเตหะราน โดยเขาอพยพมาสหรัฐฯ ตั้งเเต่เด็ก พร้อมทั้งถูกเนรเทศออกจากสหรัฐฯ ราว ๆ 16 ปีก่อน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดจากคดีปล้น พร้อมทั้งต้องติดคุกในสหรัฐฯ ตามรายงานของรอยเตอร์

เจ้าหน้าที่บอกว่าชาเครี ยังคงรักษาสายสัมพันธ์กับเครือข่ายอาชญากร ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานต่าง ๆ โดยรัฐบาลเตหะราน เช่นการสอดเเนมพร้อมทั้งวางแผนสังหารบุคคล

ในตอนที่ถูกสอบสวน ชาเครีได้บอกกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า เมื่อเดือนกันยายน IRGC สั่งให้เขายุติภารกิจอื่น ๆ ที่ทำอยู่ พร้อมทั้งต้องวางแผนให้เสร็จภายใน 7 วัน เพื่อที่จะสอดเเนมพร้อมทั้งปลิดชีพทรัมป์ ตามรายงานของเอพี ที่อ้างเอกสารของคดีซึ่งถูกเปิดผนึกที่ศาลในแมนฮัตตัน

เจ้าหน้าที่อ้างอิงคำพูดของชาเครี ที่บอกว่า “เราใช้เงินไปมาก” พร้อมทั้ง “เงินไม่ใช้ประเด็น” 

เขาบอกกับเจ้าหน้าที่สืบสวนว่า ถ้าไม่สามารถวางแผนสำเร็จภายใน 7 วัน ก็รอไปหลังเลือกตั้งก่อน เพราะเชื่อว่าทรัมป์น่าจะแพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมทั้งน่าจะถูกสังหารได้ง่ายกว่า หากสถาานการณ์ออกมาเช่นนั้น 

แถลงการณ์บอกด้วยว่าได้ตั้งข้อหาบุคคลอีกสองรายจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนสังหารนักข่าว มาซิห์ อะลินีจาด สัญชาติอเมริกันเชื้อสายอิหร่านที่นิวยอร์ก

เอพีรายงานเช่นกันว่าชาเครีอยู่ในอิหร่านเวลานี้ พร้อมทั้งไม่ได้ถูกจับกุมตัว ส่วนนักข่าว อะลินีจาด ซึ่งอยู่ที่กรุงเบอร์ลินเวลานี้บอกว่าเธอรู้สึก “ช็อกมาก” 

ที่มา: รอยเตอร์ พร้อมทั้งเอพี

เชื่อมีพรายกระซิบ “ทนายตั้ม” เตรียมการดี รีบโยกทรัพย์สินก่อนถูกจับ ตู้เซฟว่างเปล่า

เผย ทนายตั้ม วางแผนเตรียมหลอกเจ๊อ้อย ซื้อเรือยอร์ช 300 ล้าน ตำรวจเจอหลักฐานปลอมใบเสร็จรถเบนซ์ โกงเงินส่วนต่าง 1.5 ล้าน เชื่อมีพรายกระซิบก่อนหมายจับออก เตรียมตัวรับมือตำรวจอย่างดี โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเหลือแต่ตู้เซฟว่างเปล่า พกโทรศัพท์เครื่องใหม่ ไร้ร่องรอยข้อมูลให้แกะรอย

“ชัชชาติ” เชื่อเพิ่มค่าเก็บขยะ ช่วยลดปัญหาขยะเปียก มั่นใจทำได้จริงเตรียมรถคัดแยกแล้ว

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มั่นใจ ข้อบัญญัติเก็บค่าธรรมเนียมการจัดเก็บขยะใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ใน 7-8 เดือนข้างหน้าจะทำให้ช่วยลดปริมาณขยะเปียกได้ตั้งแต่ในครัวเรือน เร่งเตรียมรถคัดแยกแล้ว

ฆ่าปาดคอหนุ่มพม่าขี้ขโมย แทงหน้า 5 แผล สยองคาป่าข้างแคมป์คนงานใน จ.ชลบุรี

ชลบุรี ฆ่าโหดหนุ่มพม่า ถูกฆาตกรใช้ของมีคมปาดคอพร้อมทั้งแทงตามใบหน้าพร้อมทั้งหน้าผากรวม 5 แผล จบชีวิตบนแคร่ในป่าข้างแคมป์คนงาน ตำรวจพบผู้ตายมีพฤติกรรมขโมยเงินของเพื่อนคนงานด้วยกันอยู่บ่อยครั้งจนเป็นนิสัย คาดผู้ลงมือก่อเหตุมีไม่ต่ำกว่า 2 คน