นายกฯ ผนึกพรรคร่วมรัฐบาล เดินหน้า MOU 44 ย้ำ ประโยชน์ประเทศต้องมาก่อน

“แพทองธาร” ผนึกพรรคร่วมรัฐบาล เดินหน้า MOU 44 ลั่น ไทยจะไม่เสียเกาะกูด ขอทุกคนสบายใจ ย้ำ ประโยชน์ประเทศต้องมาก่อน อย่าเอาเรื่องการเมืองมาทำความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสั่นคลอน

โครงการส่งน้ำฯ ลำปาว ประกาศปิดการส่งน้ำ แนะประชาชน-เกษตรกร กักเก็บน้ำให้พอใช้

โครงการส่งน้ำฯ ลำปาว ประกาศแจ้งปิดการส่งน้ำ ในวันที่ 7 พ.ย. 67 แนะประชาชน-เกษตรกร กักเก็บน้ำไว้ใช้ให้เพียงพอ

รวบนักร้องสาวดัง กับพวก ซุกยาบ้า-ฉี่ม่วง คนแห่เยี่ยมแน่นโรงพัก

ตำรวจโก-ลก รวบนักร้องสาวชื่อดังชาวมาเลย์ พร้อมทั้งพวก พร้อมยาบ้า กว่า 6 พันเม็ด แฟนเพลงพร้อมทั้งเครือญาติ แห่เยี่ยมแน่นโรงพัก บางรายถึงกับเป็นลม ตรวจฉี่พบเป็นสีม่วงทั้งกลุ่ม แต่ยังไม่มีใครรับเป็นเจ้าของยา

เปิดโปงธุรกิจชะลอแก่ พยาบาลลักสายสะดือ-รกเด็ก ส่งคลินิกเถื่อนทำสเต็มเซลล์

ไทยรัฐออนไลน์ จะพาผู้อ่านค่อยๆ คลี่ความจริงของพฤติกรรมการลักสายสะดือ-รกเด็ก เพื่อส่งสกัดสเต็มเซลล์ฉีดชะลอแก่ ที่ยังเงียบเชียบ แต่กระทบกับผู้บริโภคมหาศาล พร้อมทั้งอาจมีคนใหญ่คนโตนามสกุลดังมาเกี่ยวข้องเป็นขบวน

ถึงเวลา ‘ถอยหลัง’ เมื่อสหรัฐฯ ปลดเวลาออมแสง

เมื่อเวลาในสหรัฐฯ ถึง 02.00 น. ของวันอาทิตย์ เข็มนาฬิกาก็จะทวนกลับไป 1 ชั่วโมงเพื่อแสดงการสิ้นสุดของช่วงเวลาการออมแสง (daylight saving time – DST) ของปีนี้ พร้อมทั้งแปลว่า ทุกคนในสหรัฐฯ จะมีเวลานอนเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง

การปรับเวลาเร็วขึ้นนี้จะมีผลต่อไปอีกจนกระทั่งถึงวันที่ 9 มีนาคมของปีหน้าที่จะต้องมีการปรับเข็มชั่วโมงนาฬิกาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ดังคำพูดที่ว่า “spring forward” ที่แปลได้ว่า ฤดูใบไม้ผลิ-ก้าวไปข้างหน้า พร้อมทั้ง “กระโดดไปข้างหน้า” เพื่อการ “ออมแสง” อีกครั้ง

ขณะที่ การปรับเวลาถอยหลังปีละครั้งนี้อาจไม่เป็นปัญหามากสำหรับคนหลายคน บางคนอาจต้องพยายามปรับตัวให้คุ้นกับเวลานอนที่เร็วขึ้น รวมทั้งทำใจกับการที่เห็นฟ้ามืดสนิทหลังเลิกงาน พร้อมทั้งบางคนอาจมีปัญหาหนักถึงขั้นมีอาการซึมเศร้า (depression) ตามฤดูกาล เนื่องจากวันที่สั้นลงพร้อมทั้งการเจอแสงแดดที่น้อยลงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงพร้อมทั้งฤดูหนาว

องค์กรสุขภาพบางแห่ง เช่น American Medical Association พร้อมทั้ง American Academy of Sleep Medicine ให้ความเห็นว่า ถึงเวลาที่จะมีการพิจารณาการยกเลิกนโยบายปรับเวลาเดินหน้าพร้อมทั้งถอยหลัง พร้อมทั้งยึดเวลามาตรฐานที่สะท้อนการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์พร้อมทั้งระบบชีววิทยาของคนเรามากกว่า

ในสหรัฐฯ มีเพียงรัฐแอริโซนาพร้อมทั้งรัฐฮาวาย เท่านั้นที่ไม่มีการปรับเวลาพร้อมทั้งยึดเวลามาตรฐานเดียวตลอดทั้งปี

ถ้าหากว่า ต่อไปนี้คือ สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการปรับเวลาปีละ 2 ครั้ง

ปฏิกิริยาของร่างกายคนเราต่อแสง

สมองของเรานั้นเป็นเหมือนนาฬิกาหลักที่ถูกตั้งให้ทำงานตามการรับแสงแดดพร้อมทั้งความมืด โดยอิงกับเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันตามวงจรเซอร์คาเดียน (circadian rhythm) เพื่อกำหนดว่า เราควรรู้สึกง่วงนอนเมื่อใดพร้อมทั้งควรรู้สึกตื่นเมื่อใด โดยรูปแบบนั้นจะเปลี่ยนไปตามอายุด้วย ดังเช่นที่เราเห็นเด็กเล็กที่ตื่นแต่เช้ากลายมาเป็นวัยรุ่นที่ตื่นยากกันเป็นประจำ

แสงยามเช้านั้นเป็นเหมือนตัวตั้งเวลาใหม่ทุกเช้า โดยเมื่อเวลาเย็นมาถึง ฮอร์โมนที่ชื่อ เมลาโทนิน ในร่างการเราก็จะเริ่มพุ่งสูงพร้อมทั้งทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน แต่การได้รับแสงมากเกินไปในช่วงเย็น ซึ่งได้มาจากการปรับเวลาออมแสง ทำให้การปรับขึ้นของฮอร์โมนที่ว่าพร้อมทั้งวัฏจักรดังกล่าวผิดเพี้ยนไป

 

การเปลี่ยนเวลากระทบการหลับนอนอย่างไร

การเปลี่ยนเวลาเพียง 1 ชั่วโมงอาจมีผลทำให้ตารางการนอนของคนเราผิดเพี้ยนรุนแรงได้ เพราะแม้เวลาตามนาฬิกาจะเปลี่ยน ตารางการทำงานหรือการเรียนหนังสือก็จะยังคงเหมือนเดิมเสมอ

นี่เป็นปัญหาสำหรับคนหลายคนที่มีปัญหานอนไม่พออยู่แล้ว โดยราว 1 ใน 3 ของคนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่นอนน้อยกว่าระดับ 7 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นต่อคืนตามที่แพทย์แนะนำอยู่แล้ว พร้อมทั้งกว่าครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอเมริกันก็ไม่ได้นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงในคืนวันกลางสัปดาห์ด้วย

 

ปรับตัวรับการเปลี่ยนเวลาอย่างไร

บางคนพยายามเตรียมตัวรับการปรับเวลาด้วยการเปลี่ยนเวลาเข้านอนทีละน้อย ๆ ก่อนวันเปลี่ยนเวลาจะมาถึง แต่ก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอยู่ เช่น การพยายามรับแสงแดดมากขึ้นในแต่ละวันเพื่อปรับวงจรเซอร์คาเดียนในร่างกายให้พร้อมรับการนอนที่เต็มอิ่ม

 

 

 

ที่มา: เอพี

‘เวน่อม 3’ รั้งเก้าอี้แชมป์หนังทำเงินสูงสุดในสัปดาห์ก่อนเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ

ซูเปอร์ฮีโร่สายดาร์ก “เวน่อม” (Venom) ภาค 3 ยังคงยึดตำแหน่งภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดประจำสัปดาห์ต่อไปได้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ในช่วงที่บรรยากาศตามโรงภาพยนตร์เงียบเหงา ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ตามรายงานของสำนักข่าวนานาชาติเอพี

Venom: The Last Dance หรือ เวน่อม มหาศึกอสูรอหังการ เติมเงินเข้ากระเป๋าอีก 26.1 ล้านดอลลาร์ ตามการประเมินของค่ายโซนี่พิคเจอร์ส (Sony Pictures) ซึ่งแสดงให้เห็นการลดลงของรายได้ราว 49% จากสัปดาห์ก่อน พร้อมทั้งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นการปรับลดที่ไม่รุนแรงสำหรับภาพยนตร์สายซูเปอร์ฮีโร่

จนถึงสัปดาห์นี้ Venom: The Last Dance ทำรายได้เฉพาะในสหรัฐฯ ไปแล้ว 90 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อคำนวณรายได้จากการฉายทั่วโลกก็ทะลุระดับ 300 ล้านดอลลาร์ที่ทำให้โซนี่โล่งใจไป เมื่อพิจารณาต้นทุนการสร้าง 120 ล้านดอลลาร์ที่ไม่รวมงบประมาณด้านการตลาดพร้อมทั้งโปรโมชันต่าง ๆ

ส่วนอันดับที่ 2 ในสัปดาห์นี้ เป็นผลงานที่ฉายมาเป็นสัปดาห์ที่ 6 แล้ว ซึ่งก็คือ “The Wild Robot” หนังแอนิเมชั่นจากค่ายดรีมเวิร์กสพร้อมทั้งยูนิเวอร์แซล ที่ไต่กลับขึ้นมาจากอันดับที่ 4 ในสัปดาห์ก่อน พร้อมรายได้เพิ่มเติมอีก 7.6 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ตัวเลขรวมจากการฉายในอเมริกาเหนือเพิ่มเป็นกว่า 121 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ รายได้จากทั่วโลกขึ้นมาอยู่ที่ 269 ล้านดอลลาร์แล้ว

หนังสยองขวัญ “ยิ้มสยอง” หรือ “Smile 2” หล่นจากที่ 2 มาอยู่อันดับ 3 ในสัปดาห์นี้หลังเก็บเงินเพิ่มไปได้อีก 6.8 ล้านดอลลาร์ที่ทำให้รายได้รวมจากทั่วโลกปรับมาเป็น 109.7 ล้านดอลลาร์

เจ้าของอันดับที่ 3 ในสัปดาห์ที่แล้ว อันได้แก่ ของ Conclave ภาพยนตร์ลึกลับฆาตรกรรมภายในคริสตจักรที่สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกัน ตกลงมาอยู่ที่อันดับที่ 4 ในสัปดาห์นี้ พร้อมรายได้เพิ่มอีก 5.3 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นการลดลงเพียง 20% จากสัปดาห์แรก

อันดับที่ 5 เป็นผลงานเข้าฉายใหม่ “Here” ที่เล่าเรื่องราวที่ร้อยช่วงเวลาต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านมุมมองจากห้องนั่งเล่นห้องหนึ่ง โดยแม้นักวิจารณ์จะไม่ค่อยชื่นชอบสักเท่าไหร่ พร้อมทั้งได้คะแนนเพียง 36% บนเว็บ Rotten Tomatoes พร้อมทั้งจัดฉายในโรงภาพยนตร์ไม่ถึง 1,000 แห่ง ก็ยังทำเงินในสัปดาห์แรกได้ 5 ล้านดอลลาร์

 

 

 

1. “Venom: The Last Dance,” $26.1 million.

2. “The Wild Robot,” $7.6 million.

3. “Smile 2,” $6.8 million.

4. “Conclave,” $5.3 million.

5. “Here,” $5 million.

6. “We Live In Time,” $3.5 million.

7. “Terrifier 2,” $3.4 million.

8. “Singham Again,” $2.1 million.

9. “Beetlejuice Beetlejuice,” $2.1 million.

10. “Bhool Bhulaiyaa,” $2.1 million.

 

ที่มา: เอพี

 

 

เปียงยางชี้ ปธน.เกาหลีใต้ยกระดับความเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์

สื่อทางการเกาหลีเหนือเผยแพร่รายงานสมุดปกขาวของกรุงเปียงยางที่มีเนื้อความกล่าวหาประธานาธิบดียูน ซุก ยอล แห่งเกาหลีใต้ว่า นำพาประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยการนำเสนอนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านทางเหนือ

รอยเตอร์รายงานว่า สื่อ KCNA เผยแพร่รายงานดังกล่าวออกมาในวันอาทิตย์ โดยพบว่า เป็นเอกสารที่รวบรวมข้อมูลโดย Institute of Enemy State Studies ของเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ปธน.ยูน ต่อกรณี “คำพูดที่ไม่ยั้งคิด” เกี่ยวกับภาวะสงคราม พร้อมทั้งการละทิ้งองค์ประกอบสำคัญของข้อตกลงเกาหลีใต้-เกาหลีเหนือ การเข้าร่วมวางแผนทำสงครามนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ รวมทั้งการพยายามสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับญี่ปุ่นพร้อมทั้งนาโต้

รายงานนี้ระบุด้วยว่า “นี่คือการเดินเกมทางการทหารที่มีแต่ย่ำแย่ลงพร้อมทั้งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ขัดแย้งในการผลักดัน [เกาหลีเหนือ] ให้ยิ่งสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์แบบทวีคูณ พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาความสามารถในการจู่โจมด้วยนิวเคลียร์ต่อไปด้วย”

นอกจากนั้น สมุดปกขาวนี้ยังลงข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ ของผู้นำเกาหลีใต้ที่รวมถึง ปัญหาข่าวฉาวเกี่ยวกับภรรยาของยูนซึ่งทำให้คะแนนความนิยมในหมู่ประชาชนร่วงลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย

ปธน.ยูน ซึ่งเป็นนักการเมืองหัวอนุรักษ์นิยม แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือซึ่งเร่งพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์พร้อมทั้งขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยไกล อันเป็นการแสดงการต่อต้านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

รัฐบาลปธน.ยูนกล่าวโทษเกาหลีเหนือว่า เป็นฝ่ายที่ยกระดับความตึงเครียดด้วยการเดินหน้าทดสอบอาวุธพร้อมทั้งส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารให้กับรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน

ในช่วงที่ผ่านมา กรุงเปียงยางดำเนินการต่าง ๆ เพื่อตัดสัมพันธ์กับกรุงโซลพร้อมทั้งเพิ่งปรับเปลี่ยนคำนิยามของเกาหลีใต้ในรัฐธรรมนูญให้เป็น รัฐศัตรูที่เป็นปฏิบักษ์กับตน หลัง คิม จอง อึน ผู้นำประเทศประกาศให้เกาหลีใต้เป็น “ศัตรูหลัก” เมื่อต้นปีพร้อมทั้งบอกว่า การรวมชาตินั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้ว

เมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือทำลายถนนสายเชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ รวมทั้งรางรถไฟที่ฝั่งตนพร้อมทั้งวิ่งต่อไปได้ถึงเกาหลีใต้ โดยภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า กรุงเปียงยางได้ขุดสนามเพลาะขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่ตรงจุดข้ามแดนด้วย

ในทางเทคนิคแล้ว สองเกาหลียังอยู่ในภาวะสงครามระหว่างกัน แม้สงครามเกาหลีจะสิ้นสุดลงไปตั้งแต่เมื่อปี 1953 ที่มีการลงนามการพักรบ ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ

 

 

ที่มา: รอยเตอร์

เผยปัจจัยเสี่ยงจากนอกพร้อมทั้งในประเทศ คุกคามผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอเมริกัน

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันอังคารนี้ ถือเป็นหนึ่งในการเลือกตั้งที่มีเรื่องให้พูดถึงมากมาย รวมทั้งประเด็นเรื่องความปลอดภัยทั้งจากปัจจัยภายนอกพร้อมทั้งภายในประเทศเอง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดเหตุทำลายกล่องรับบัตรคะแนนเลือกตั้งในรัฐโอเรกอนพร้อมทั้งรัฐวอชิงตัน พร้อมทั้งมีบัตรลงคะแนนบางส่วนได้รับความเสียหาย ถือเป็นฝันร้ายของเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งสหรัฐฯ

ไมค์ เบนเนอร์ โฆษกสำนักงานตำรวจเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน บอกว่า “เจ้าหน้าที่พบว่ามีอุปกรณ์ลอบวางเพลิงติดอยู่กับกล่องรับบัตรเลือกตั้งพร้อมทั้งทำให้เกิดควันไฟขึ้น”

พร้อมทั้งในขณะที่วันเลือกตั้งยิ่งใกล้เข้ามา เจ้าหน้าที่ยังคงไม่ตัดโอกาสที่อาจจะเกิดปัญหารุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในวันเลือกตั้งที่คูหา 5 พ.ย. นี้

เจน อีสเตอร์ลีย์ เจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยทางไซเบอร์พร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บอกว่า “แม้สภาพแวดล้อมของภัยคุกคามการเลือกตั้งจะไม่เคยมีความซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน แต่โครงสร้างพื้นฐานของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็มีความปลอดภัยมากกว่าที่เคยมีมา พร้อมทั้งชุมชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก็มีการเตรียมพร้อมยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ”

 

 

นับตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่เลือกตั้งในทุกระดับตั้งแต่ส่วนท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ ได้เสร็จสิ้นการประเมินด้านความปลอดภัยมากกว่า 1,300 ครั้ง เพิ่มเติมจากการซ้อมรับมือเหตุการณ์ผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น

แอนดรูว์ โบรีน ผอ.บริหารฝ่ายความปลอดภัยระหว่างประเทศของบริษัท แฟลชพอยท์ (Flashpoint) ชี้ว่า “เจ้าหน้าที่ในระดับรัฐพร้อมทั้งระดับท้องถิ่นใช้วิธีตรวจสอบเหตุกังวลที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วพร้อมทั้งเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้น มีการฝึกซ้อมรับมือในส่วนต่าง ๆ รวมทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดโอกาสเกิดความรุนแรงได้”

ถ้าหากว่า หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อว่าภัยคุกคามยังคงมีอยู่ พร้อมเตือนถึงภัยคุกคามจากต่างชาติที่เรียกว่า บิ๊ก ทรี (Big Three) คือ รัสเซีย จีน พร้อมทั้งอิหร่าน

เจ้าหน้าที่เชื่อว่าภัยคุกคามจากรัสเซีย คือความพยายามช่วยให้อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง ส่วนอิหร่านมีแนวโน้มช่วยเหลือรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ให้ได้รับชัยชนะ เพราะมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออิหร่านน้อยหว่าทรัมป์

สำหรับจีน หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อว่ามุ่งเน้นที่การแทรกแซงการเลือกตั้งส.ส. พร้อมทั้ง สว. มากกว่า ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทคอมพิวเตอร์ ไมโครซอฟต์ (Microsoft) ยืนยันว่า มีนักเจาะล้วงข้อมูลจากจีนมุ่งเป้าไปที่นักการเมืองพรรครีพับลิกันที่มักวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกรุงปักกิ่ง

นอกจากนี้ รายงานข่าวกรองลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังชี้ว่า รัสเซียพร้อมทั้งอิหร่านอาจพยายามปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในช่วงการเลือกตั้งด้วย

ทั้งรัสเซีย อิหร่าน พร้อมทั้งจีน ต่างออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ แต่ทางการอเมริกันยืนยันว่ามีหลักฐาน รวมทั้งคลิปวิดีโอปลอมที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ที่แสดงให้เห็นบัตรเลือกตั้งถูกทำลายที่รัฐเพนซิลเวเนีย พร้อมทั้งการกล่าวหาว่ามีผู้อพยพลงคะแนนซ้ำกันหลายครั้งในรัฐจอร์เจีย ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

ไบรอัน ลิสตัน นักวิเคราะห์ข่าวกรองด้านภัยคุกคาม แห่งองค์กร Recorded Future’s Insikt Group ระบุกับวีโอเอว่า “วิดีโอปลอมเหล่านี้ประสบความสำเร็จไม่มากนัก เรายังไม่เห็นว่ามีวิดีโอหรือเนื้อหาใดที่แพร่กระจายเป็นเรื่องใหญ่นอกสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอปฯ เทเลแกรม”

เจ้าหน้าที่เลือกตั้งพร้อมทั้งหน่วยงานด้านความปลอดภัยของสหรัฐฯ ต่างขอให้บรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันปิดรับข้อมูลข่าวสารปลอมเหล่านั้น รวมทั้งพยายามรับรองกับประชาชนว่าให้เชื่อมั่นกับกระบวนการเลือกตั้งของอเมริกา พร้อมทั้งผลการลงคะแนนว่าใครที่จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของพวกเขาด้วย

ที่มา: วีโอเอ

 

ไต้หวันรายงานจีนเคลื่อนไหวทางทหารหนักขึ้น ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ

กระทรวงกลาโหมไต้หวันเปิดเผยในวันอาทิตย์ว่า พบเครื่องบินทหาร 35 ลำของจีนซึ่งรวมถึง เครื่องบินรบพร้อมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิด บินผ่านภาคใต้ของเกาะเพื่อไปยังพื้นที่ซ้อมรบในมหาสมุทรแปซิฟิก 2 วันติดต่อกันแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์

ที่ผ่านมา กรุงปักกิ่งซึ่งยืนยันเสมอว่า ไต้หวันที่ปกครองตนเองในระบอบประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของจีน ส่งทหารขึ้นบินพร้อมทั้งลงเรือผ่านน่านฟ้าพร้อมทั้งน่านน้ำที่ใกล้เกาะไต้หวันอย่างสม่ำเสมอเพื่อตอกย้ำคำกล่าวอ้างอธิปไตยของตน

รอยเตอร์สอบถามประเด็นการบินผ่านไต้หวันครั้งล่าสุดไปยังกระทรวงกลาโหมจีน แตไม่ได้รับคำตอบกลับก่อนตีพิมพ์ข่าวนี้

ทั้งนี้ รายงานการส่งเครื่องบินกองทัพผ่านไต้หวันมีออกมาไม่กี่วันก่อนผู้มีสิทธิชาวอเมริกันจะลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนนี้

ภายใต้กฎหมายของประเทศ สหรัฐฯ มีหน้าที่จัดหาความช่วยเหลือให้กับไต้หวันเพื่อใช้ในการป้องกันตนเอง พร้อมทั้งทำการขายอาวุธให้ไต้หวัน พร้อมทั้งล่าสุดเพิ่งประกาศการขายระบบขีปนาวุธมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ให้กรุงไทเปซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้กรุงปักกิ่งขุ่นเคืองไม่น้อย

กระทรวงกลาโหมไต้หวันกล่าวเมื่อวันเสาร์ด้วยว่า จีนได้ทำ “การลาดตระเวนเตรียมความพร้อมรบ” ด้วยการใช้ทั้งเรือรบพร้อมทั้งเครื่องบินรอบ ๆ ไต้หวัน

เมื่อเดือนที่แล้ว กรุงปักกิ่งเพิ่งจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่รอบไต้หวัน พร้อมทั้งพบว่า เป็นการเตือนกลุ่มที่ “มีพฤติกรรมแบ่งแยกดินแดน” ทำให้ไต้หวันพร้อมทั้งสหรัฐฯ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์จีนทันที

กรุงปักกิ่งนั้นมีความไม่ชอบประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคมอย่างมาก โดยบอกว่า ไล่ เป็น “พวกแบ่งแยกดินแดน”

ปธน.คนปัจจุบันของไต้หวันซึ่งเคยบอกว่า ชาวไต้หวันเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตน  พยายามเสนอให้มีการประชุมกับจีนมาตลอด แต่ก็ถูกกรุงปักกิ่งบอกปัดเสมอมา

 

ที่มา: รอยเตอร์

“แพทองธาร” ขอบคุณผลโพล คะแนนนิยมพุ่ง “ธนกร” มองฝ่ายค้านต้องปรับปรุง

“นายกฯ อิ๊งค์” ขอบคุณผลโพล คะแนนนิยมพุ่ง สะท้อนประชาชนเชื่อมั่นการทำงานรัฐบาล ยันทำงานหนักแก้ปัญหาประเทศต่อ “ธนกร” มองฝ่ายค้านคะแนนลด ต้องปรับปรุง