ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
แน็ก ชาลี สุดปั่น บอกขอโทษนะคะ ที่หุ่นดีพร้อมทั้งขาสวยกว่าใครหลายคน
คอหวยตาลุก ส่องเลขหางประทัด “น้องฉัตร” จุดถวายหลวงพ่อองค์ใหญ่
จุดเริ่มต้นพร้อมทั้งจุดสิ้นสุด “ซานโตส” อาสาจัดงานศพ “เปเล่” อำลาราชาลูกหนังครั้งสุดท้าย
รู้จัก “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า พร้อมทั้งพันธุ์พืช” มีประวัติพร้อมทั้งหน่วยงานอะไรบ้าง
ชาวเน็ตแห่ซูมดู หลัง อ๋อม สกาวใจ อวดตัวเลขที่น้องกระดิ่งคุ้ยให้ไปลุ้นโชค
เจาะเส้นทาง “สแตมป์ แฟร์เท็กซ์” จากมวยบ้าน สู่ความฝันแชมป์นักสู้หญิง MMA
ภาพของนักมวยเด็กหญิงร่างเล็ก ที่เข้าคลุกวงใน ตีเข่า รัวหมัดไม่ยั้งใส่คู่ต่อสู้ไซส์บอบบางพอกัน ท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้ใหญ่หลายสิบคน เป็นภาพในอดีตของ เด็กหญิง ณัฐวรรณ พานทอง ที่ในวันนี้ แฟนมวยพร้อมทั้งการต่อสู้แบบผสมผสานทั้งในพร้อมทั้งต่างประเทศ จะรู้จักเธอในนาม “สแตมป์ แฟร์เท็กซ์” ซูเปอร์สตาร์นักสู้หญิงไทย ที่คว้าแชมป์ใหญ่มาแล้วสามรายการ
“หนูภูมิใจในตัวเองมาก ถ้ามองย้อนกลับไป หนูก้าวมาเยอะมาก ๆ พร้อมทั้งแต่ละทางที่หนูเดินมา มันผ่านร้องไห้ ดราม่า ท้อ ทุก ๆ อย่างเลย แต่หนูก็ยังผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ หนูรู้สึกตัวเองเก่งมาก ๆ พร้อมทั้งภูมิใจที่ตัวเองยืนอยู่ได้ทุกวันนี้” สแตมป์ได้บอกกล่าวกับวีโอเอไทย
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แชมป์ วัน (ONE) เวิลด์ กรังซ์ปรีด์ ประเภทการสู้แบบผสมผสาน หรือ mixed martial arts (MMA) รุ่นอะตอมเวต เดินทางข้ามฟ้ามายังสหรัฐฯ เพื่อสอนทักษะมวยไทยให้กับยิมสอนศิลปะการต่อสู้ 10 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
เป็นที่น่าสนใจว่า ที่ยิมบางแห่ง เช่น T.A.G. Muay Thai ในเมืองสเตอร์ลิง รัฐเวอร์จิเนีย สแตมป์เป็นนักชกหญิงคนที่สอง ที่ได้มาจัดเวิร์คชอบมวยไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่นักชกชายเท่านั้นที่ได้มาเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของไทย
โอกาสที่สแตมป์ได้รับ ทั้งในการแข่งขันระดับโลกอย่างทัวร์นาเมนต์ วัน แชมเปียนชิพ (One Championship) จนเคยคว้าเข็มขัดแชมป์ประเภทมวยไทย พร้อมทั้งคิกบ็อกซิ่ง kickboxing) รุ่นอะตอมเวต พร้อมทั้งการตอบรับทั้งในพร้อมทั้งต่างประเทศ ยังแสดงให้เห็นถึงโอกาสของนักกีฬาหญิงที่มีมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในสังเวียนการต่อสู้ ทั้งมวยไทย พร้อมทั้งการต่อสู้แบบผสมผสาน
“หนูรู้สึกว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาก ๆ มันเป็นการเปิดโอกาสให้นักมวยหญิงเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทำให้หลาย ๆ คนที่มีฝีมืออยู่แล้ว ได้เข้าไปเวทีใหญ่ ทำให้โปรโมเตอร์หลายๆ คนได้เห็น ได้จับตามอง มีแมวมองเห็น หนูรู้สึกว่ามันดีมาก ๆ ที่เปิดรับผู้หญิงมากขึ้น”
ก่อนหน้านี้ นักมวยหรือนักสู้หญิงหลายคนพบว่าเส้นทางของพวกเธอมักจะถูกจำกัด มีน้อยคนที่จะได้รับโอกาสทางอาชีพ หรือรายได้
เส้นทางของสแตมป์ เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ไม่ต่างกัน
เด็กหญิงร่างเล็กจากระยองเริ่มหัดชกมวยตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลพร้อมทั้งอายุเพียง 5 ขวบ หลังจากที่เธอถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง พ่อของสแตมป์เป็นอดีตนักมวยไทยชื่อ “วิสันต์เล็ก ลูกบางปลาสร้อย” ในขณะที่ลุงก็มีค่ายมวยเล็ก ๆ ของตัวเอง
สแตมป์ได้ฝึกซ้อม พร้อมทั้งมีโอกาสขึ้นชกครั้งแรก โดยน็อกคู่ต่อสู้ตั้งแต่ยกที่หนึ่ง
ฝีไม้ลายมือทำให้เธอได้เป็นแชมป์ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ด้วยความที่มวยหญิงนั้นไม่ได้เป็นที่นิยมนัก การหาคู่ชก พร้อมทั้งโอกาสชกจึงยากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เธอต้องหยุดชกมวยไปถึง 8 ปี
“ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ที่แตมป์ต่อยยังไม่มีการยอมรับใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ในเมืองภูธรน่ะโอเคอยู่ แต่ยังไม่มีการยอมรับขนาดนั้น ซึ่งพอเป็นเวทีใหญ่ก็ไม่มีใครจะเอาผู้หญิงมาจัดเวทีใหญ่อยู่แล้ว”
เธอเคยคิดจะทำอาชีพอื่น จนกระทั่งได้รับการชักชวนให้ไปคัดตัวเข้าร่วมค่ายดังแห่งเมืองพัทยาอย่างแฟร์เท็กซ์ (Fairtex) พร้อมทั้งได้รับโอกาสชิงแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวตในทันที
“สแตมป์คิดว่า ตัวแตมป์เองได้รับการสนับสนุนจากแฟร์เท็กซ์ด้วย เพราะว่าแตมป์เป็นผู้หญิงคนแรกด้วย ก็เลยมีการเข้าถึงเยอะ มีการจ้างโค้ชมาสอน ทั้ง MMA (การต่อสู้แบบผสมผสาน) BJJ (บราซิลเลียนยิวยิตสุ) แล้วก็สากล”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โปรโมเตอร์พร้อมทั้งองค์กรกีฬามวยหลายองค์กร ได้หันมาลุยตลาดมวยหญิงมากขึ้น มีการจัดชกเป็นมวยคู่เอกในการชิงแชมป์ใหญ่ สร้างเม็ดเงินพร้อมทั้งมูลค่าทางการตลาดให้กับนักสู้หญิงมากกว่าเดิม ถึงแม้จะยังไม่เท่ากับนักสู้ชายก็ตาม
ในในเวลาเดียวกัน สนามมวยลุมพินี พร้อมทั้งเวทีราชดำเนิน สังเวียนใหญ่ระดับชาติของไทย ที่ไม่เคยอนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นชกหรือแม้แต่สัมผัสพื้นเวที ก็ยังได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการอนุญาตให้มีการจัดการชกมวยหญิงขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาเพียงสองปีที่ผ่านมา
“หนูว่า ณ ตอนนี้ น่าจะยอมรับกันมากขึ้นแล้วเพราะว่ามวยหญิงหลาย ๆ คน สามารถทำชื่อเสียงให้ประเทศไทยได้ ยกตัวอย่างอย่างเช่นหนู เวลาหนูไปต่อย หนูไม่ได้เอาแต่ชื่อตัวเองหรือชื่อค่ายไป หนูเอาประเทศไปด้วย สมมติว่าถ้าเราชนะ มันทำให้หลาย ๆ คนยอมรับว่า เรามาจากประเทศไทย แล้วเราก็ทำได้ดี ทุกคนเวลาเขามอง เขาไม่ได้มองคนคนเดียว มองภาพรวม หนูมองว่า หลาย ๆ คนเร่ิมยอมรับว่าผู้หญิงก็เก่งพอสมควร”
ในการมาจัดเวิร์คชอบมวยไทยในสหรัฐฯ สิ่งหนึ่งที่ชาวอเมริกันที่เข้าร่วมให้ความสนใจ คือคำถามที่ว่าสแตมป์ทำอย่างไรเมื่อเธอรู้สึกย่ำแย่กับผลงานตัวเอง ซึ่งนักชกวัยเบญจเพศได้เล่าอย่างเปิดเผยว่า ช่วงที่เธอสูญเสียเข็มขัดแชมป์สองเส้นไล่เลี่ยกัน พร้อมทั้งเลิกกับแฟนหนุ่ม เป็นช่วงที่หนักที่สุดในชีวิต
“คนอื่นให้กำลังใจก็ไม่เท่าตัวเองให้กำลังใจ ต่อให้คนอื่นให้กำลังใจมากแค่ไหน ตัวเองยังดาวน์มันก็ไม่ขึ้นอยู่ดี มันสุดแล้ว ลงสุดแล้ว มันไม่มีทางลงอีกแล้ว ก็ต้องขึ้นแล้วแหละ ก็ให้ตัวเองว่า ไม่เป็นไรเอาใหม่ ความรักก็ช่างมัน อายุแค่นี้เองเดี๋ยวก็เจออีก เรื่องมวย คือเรายังมีโอกาส เราอยู่ค่ายใหญ่ เราต้องขยันกว่าเดิม เล่นแค่นี้เราต้องเล่นมากขึ้น”
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสแตมป์ คือความร่าเริง ขี้เล่น พร้อมทั้งการเต้นบนเวที แต่บางคนอาจไม่รู้ว่า เพียงไม่กี่นาทีก่อนขึ้นเวที นักสู้หญิงวัย 25 ปี จะรู้สึกประหม่าอย่างมากจนส่งผลต่อร่างกายเธอทุกครั้ง
“พอใกล้จะต่อยแล้ว มีเอฟเฟ็คต์มาเต็ม อ้วกบ้าง ปวดฉี่บ้าง อยู่ไม่เป็นสุข กระสับกระส่าย นั่งหายใจในห้องน้ำ พูดกับตัวเองว่า วันนี้วันของตัวเองนะ วันของสแตมป์นะ มึงซ้อมมามากมาย มีงต้องทำได้ มึงเจ็บอะไรมามากมาย กับอีกแค่วันเดียว แค่ไม่กี่นาที มึงต้องทำได้ ออกไปทำ”
เรื่องราวชีวิตพร้อมทั้งเส้นทางของ สแตมป์ สู่นักสู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตลอดจนการฝ่าฟันอุปสรรค ไต่เต้าขึ้นมาเป็นนักสู้ระดับแนวหน้า ยังทำให้ผู้เข้าร่วมเวิร์คชอบมวยไทยอย่าง อแมนดา พาร์ค (Amanda Park) หญิงอเมริกันเชื้อสายเอเชียวัย 27 ประทับใจพร้อมทั้งอยากมาสัมผัสตัวจริง
“สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดเกี่ยวกับสแตมป์ก็คือ เธอเป็นผู้หญิงที่แกร่งมาก ถึงแม้ว่าจะต้องเจ็บตัว บาดเจ็บ หรือมีความไม่พร้อม เธอก็ไม่เคยแสดงออก ฉันว่ามันต้องใช้ความเข้มแข็งมาก ๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง พร้อมทั้งการที่เธอต้องขึ้นชกตั้งแต่ยังเด็กมาก มีพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ได้มีอะไรมาก แต่ยังสามารถรักษาวินัยตั้งแต่ยังเด็กจนถึงทุกวันนี้ ฉันว่ามันเป็นคุณสมบัติที่น่าทึ่งน่าชื่นชมมาก ๆ” อแมนดากล่าว
ทุกวันนี้ สแตมป์ฝึกซ้อม 6 วันต่อสัปดาห์ ทั้งซ้อมมวยไทย การต่อสู้แบบผสมผสาน วิ่งพร้อมทั้งยกน้ำหนัก พร้อมทั้งใช้เวลาวันอาทิตย์เพื่อไปเรียน ซึ่งเธอบอกว่าความอดทนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
“หนูอดทนสุด ๆ เลยในค่าย ซึ่ง หนูซ้อมมากกว่าคนอื่นเยอะมาก ๆ เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ซึ่งข้อนี้เป็นข้อที่ดีของหนู เป็นคนมีความอดทนสูง ถึงอาจจะไม่ขยันซักเท่าไหร่ อาจจะหัวช้าไปบ้าง แต่หนูก็อดทนที่จะเรียนรู้ต่อ”
สแตมป์สามารถหารายได้จากการชกมวย ช่วยยกฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก เธอบอกว่านั่นเป็นความภูมิใจที่กลายมาเป็นแรงขับผลักดันให้เธอก้าวไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าการชกมวยจะต้องแลกมากับอะไรหลายอย่างก็ตาม
“ครอบครัวค่ะ ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญสุด ๆ เลย ที่แบบพยายามเดินเข้ามา ถึงมันจะแบบ เฮ้ยถ้าต่อยไปแล้วมันต้องเจ็บตัวนะ ก็พยายามเดิน เดินต่อไป พร้อมทั้งอีกอย่างหนึ่งเราชอบด้วย เหตุผลหลัก ๆ ก็มีครอบครัวด้วยที่พยายามให้กำลังใจ เราก็คิดว่า ต่อยไปนาน ๆ เราก็มีเงิน เราก็ช่วยพ่อกับแม่ได้ ช่วยครอบครัวได้ สามารถสร้างฐานของครอบครัวให้มันสูงขึ้นได้อีก”
จากเด็กหญิงนักมวยจังหวัดระยอง สู่แชมป์การแข่งขันระดับโลก แสตมป์บอกว่าวันนี้เธอมาไกลมากกว่าที่คิด เป้าหมายต่อไปของเธอ คือการคว้าแชมป์การต่อสู้แบบผสมผสานให้ได้ พร้อมทั้งเธอมั่นใจว่าปีใหม่นี้ จะเป็นปีที่ดีของเธอ
วิเวียน เวสต์วูด ‘กบฏแห่งวงการแฟชั่น’ สิ้นลมด้วยอายุ 81
สำนักงานของนักออกแบบอาวุโสผู้นี้ประกาศข่าวการจบชีวิตของ เวสต์วูด ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้กระแสพังค์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ในวันพฤหัสบดี โดยพบว่า เธอสิ้นลมอย่างสงบ แต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของการจบชีวิต
เวสต์วูด เริ่มต้นอาชีพนักออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 พร้อม ๆ กับปรากฏการณ์การแต่งกายแนวพังค์ ก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดังพร้อมทั้งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกตลอดระยะเวลาหลายสิบปี โดยมีผลงานขึ้นแสดงบนแคตวอล์คสำคัญ ๆ ตั้งแต่ลอนดอน ไปถึง ปารีส มิลาน พร้อมทั้งนิวยอร์ก
เอพี พบว่า ชื่อของ เวสต์วูด นั้นกลายมาเป็นคำพ้องกับนิยามว่าด้วยสไตล์พร้อมทั้งทัศนคติ ที่สะท้อนออกมาด้วยผลงานการออกแบบในแต่ละปีที่ไม่เคยซ้ำเก่า พร้อมทั้งไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่า เธอจะนำเสนองานแบบใดออกมาจนกระทั่งนางแบบก้าวขึ้นมาบนแคตวอล์ค
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คนที่รู้จัก เวสต์วูด ยอมรับว่า เธอนำเสนอแนวคิดที่ขัดแย้งกันในตัวได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ดังดูได้จากที่ตัวตนของเธอที่แสดงความเป็นขบฏ แต่ก็ได้รับเกียรติเข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 หลายต่อหลายครั้ง พร้อมทั้งเธอก็ยังเคยแต่งตัวเหมือนวัยรุ่นอยู่บ่อย ๆ แม้จะมีอายุถึง 60 ปีแล้ว พร้อมทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้คนทั่วโลกใส่ใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนด้วย
เวสต์วูด เคยให้สัมภาษณ์กับ เอพี เมื่อปี 2010 หลังจัดแสดงคอลเลคชั่นล่าสุดเสร็จ ว่า “แฟชั่นอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อได้ …. ฉันก็พยายามหาอะไร(ใหม่ ๆ) ทำ” โดยในเวลานั้น นักออกแบบระดับตำนานรายนี้บอกว่า กำลังคิดจะผลิตซีรีย์เกี่ยวกับงานศิลป์พร้อมทั้งวิทยาศาสตร์ออกฉายทางโทรทัศน์
ที่มา: เอพี
‘อิลอน มัสก์’ ปลอบขวัญพนักงานเทสลา หลังหุ้นร่วงเกือบ 70%
รอยเตอร์อ้างรายงานจากเนื้อหาในอีเมลที่มัสก์แจ้งต่อพนักงานในวันพุธ ซีอีโอเทสลาระบุในข้อมูลว่า “อย่ากังวลกับตลาดหุ้นอันบ้าคลั่ง ในระหว่างที่เราเดินหน้าทำผลประกอบการที่ดีเยี่ยม ตลาดจะรับรู้ได้เอง” พร้อมกับบอกว่า เขาเชื่อว่าในระยะยาว เทสลาจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้พนักงานเร่งจัดส่งรถภายในปลายไตรมาสนี้ หลังจากเทสลามอบส่วนลดสำหรับลูกค้าในอเมริกาพร้อมทั้งจีนไป เขาระบุในอีเมลว่า “โปรดทุ่มให้สุดตัวในอีก 2-3 วันข้างหน้า พร้อมทั้งอาสาที่จะช่วยจัดส่งรถหากทำได้ มันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง!”
นักวิเคราะห์ต่างคาดว่าเทสลาจะจัดส่งรถที่ผลิตได้ 442,452 คันในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ อ้างอิงจากข้อมูลของ Refinitiv
มูลค่าหุ้นเทสลาที่ร่วงหนักในปีนี้ กระทบกับมูลค่าของหุ้นที่พนักงานเทสลาถืออยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งทางบริษัทได้เสนอเงินชดเชยให้กับพนักงานส่วนใหญ่ รวมทั้งพนักงานที่โรงงานผลิตรถของเทสลาด้วย
ที่มา: รอยเตอร์
สหรัฐฯ เดินหน้าช่วยขจัด ‘ฝนเหลือง’ ในเวียดนาม
คำประกาศแผนงานดังกล่าวมีออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานที่ฐานทัพอากาศ เบียน ฮัว ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเวียดนาม ใกล้ ๆ กับ นครโฮจิมินห์ พร้อมทั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันใกล้ชิดขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ แม้ว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-เวียดนามจะไม่ได้อยู่ในภาวะแนบแน่นก็ตาม
สหรัฐฯ ใช้สารเคมีดังกล่าวจำนวนถึง 20,000 ตันเข้าใส่เมืองฮานอยพร้อมทั้งเมืองไฮฟอง ในช่วงสงครามเวียดนาม ในปฏิบัติการที่มีชื่อว่า ‘ระเบิดคริสต์มาส’ ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมเมื่อ 50 ปีก่อน
ความร่วมมือขจัดสารสีส้ม หรือ ‘ฝนเหลือง’ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานระหว่างสหรัฐฯ พร้อมทั้งเวียดนามในการทำงานแก้ไขปัญหาหลายด้าน ตั้งแต่เรื่องการค้า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
เมื่อ 4 ปีก่อน หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) เพิ่งเสร็จสิ้นโครงการขจัดสารสีส้มพร้อมทั้งสารพิษเคมีอื่น ๆ ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อครึ่งศตวรรษก่อนในเมืองดานัง ซึ่งตั้งอยู่ในภาคกลางของเวียดนาม แต่หน่วยงานแห่งนี้ให้ความเห็นว่า การจัดการกับปัญหาใน เบียน ฮัว นั้น ต้องใช้งบประมาณพร้อมทั้งเวลามากกว่าที่ดานังถึง 4 เท่า เนื่องจากการปนเปื้อนระดับสูงของสารพิษในดินของบริเวณดังกล่าวที่เป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปกติโดยกำเนิดในทารก
รายงานข่าวพบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมทั้งเวียดนามยังคงร่วมมือกันดำเนินการขจัดสารพิษทั่วประเทศซึ่งมีการประเมินว่า น่าจะต้องใช้เวลากว่า 10 ปี พร้อมทั้งงบประมาณราว 450 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ รัฐบาลกรุงวอชิงตันคาดการณ์ว่า จะมีการจัดสรรงบระมาณให้ 300 ล้านดอลลาร์เพื่อการนี้ พร้อมทั้งได้เบิกจ่ายไปแล้วกว่า 163 ล้านดอลลาร์
ที่มา: วีโอเอ