พนักงานสตาร์บัคส์ 300 สาขาทั่วสหรัฐฯ หยุดงานประท้วงวันคริสต์มาสอีฟ

สหภาพแรงงานพนักงานสตาร์บัคส์ พบว่าการหยุดงานประท้วงขยายวงไปกว่า 300 สาขาในสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร พร้อมทั้งมีพนักงานกว่า 5,000 คนที่คาดว่าจะผละงานประท้วงในวันคริสต์มาสอีฟ ตามรายงานของรอยเตอร์

ทางสหภาพ Starbucks Workers United ที่เป็นตัวแทนของพนักงานสตาร์บัคส์ 525 สาขาทั่วอเมริกา เผยกับรอยเตอร์ว่า มีมากกว่า 290 สาขาในอเมริกาที่ “ปิดให้บริการทั้งหมด” พร้อมทั้งกว่า 300 สาขาที่มีพนักงานร่วมประท้วง ใน 45 รัฐทั่วประเทศ ในวันคริสต์มาสอีฟ พร้อมทั้งคาดว่าจะเป็นการประท้วงใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับแฟรนไชส์กาแฟดังในอเมริกาแห่งนี้

ทางสหภาพ เริ่มต้นประท้วงเป็นเวลา 5 วัน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หลังจากการหารือระหว่างสตาร์บัคส์พร้อมทั้งสหภาพเผชิญกับทางตัน

แถลงการณ์ของสหภาพฯ พบว่า “การประท้วงเหล่านี้เป็นการแสดงพลังในช่วงแรกเริ่ม พร้อมทั้งเราเพิ่มเริ่มต้นเท่านั้น” พร้อมเรียกร้องให้พนักงานสาขาต่าง ๆ ใน 12 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ รวมทั้งนิวยอร์ก ลอส แองเจลิส บอสตัน พร้อมทั้งซีแอตเติล ออกมาเดินขบวน เพื่อเรีกยร้องให้สตาร์บัคส์แก้ปัญหาเรื่องค่าแรง จำนวนพนักงาน พร้อมทั้งตารางงาน

ขณะที่สตาร์บัคส์ ที่มีสาขาให้บริการมากกว่า 10,000 สาขาในสหรัฐฯ ระบุในวันอังคารเช่นกันว่า 98% ของสาขาต่าง ๆ ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ พร้อมทั้งมีราว 170 สาขาที่ปิดทำการในวันเดียวกันนี้ พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกับรอยเตอร์เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจจากการประท้วงครั้งนี้ แต่ได้ระบุไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผลกระทบจากการประท้วงจะ “มีอย่างจำกัด”

เมื่อต้นเดือนธันวาคม สหภาพแรงงานของพนักงานสตาร์บัคส์ ปฏิเสธข้อเสนอการรับประกันว่าจะปรับขึ้นค่าแรง 1.5% ในอีกหลายปีข้างหน้า โดยไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงให้พนักงานโดยทันที ซึ่งทางสหภาพฯ ชี้ว่า สตาร์บัคส์ยังไม่ได้ให้ “ข้อเสนอด้านเศรษฐกิจที่จริงจัง” แก่พนักงานแต่อย่างใด

ขณะที่สตาร์บัคส์ พบว่า “พร้อมที่จะหารือเมื่อสหภาพกลับมาเจรจาต่อรองกันอีกครั้ง” พร้อมทั้งอ้างว่าตัวแทนสหภาพยุติการเจรจาต่อรองกับบริษัทเสียเอง

ที่มา: รอยเตอร์

มองย้อนสัมพันธ์จีน-อินเดีย 2024: หอกข้างแคร่ หรือมิตรแท้ทางเศรษฐกิจ

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของจีนพร้อมทั้งอินเดียที่เคยบาดหมางเย็นชาเพราะปัญหาตามแนวพรมแดนเทือกเขาหิมาลัย เริ่มละลายพร้อมทั้งกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าความไม่เชื่อใจซึ่งกันพร้อมทั้งกันยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของสองชาติมหาอำนาจแห่งเอเชียคู่นี้

ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนของจีนพร้อมทั้งอินเดียความยาว 3,488 กม. บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ปะทุขึ้นเมื่อปี 2020 เมื่อเกิดการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ทำให้ทหารอินเดียจบชีวิต 20 คน พร้อมทั้งทหารจีนจบชีวิต 4 คน 

หลังจากนั้น ทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางบรรเทาความขัดแย้งนี้ผ่านการเจรจาทางการทูต รวมทั้งการพบกับเมื่อเดือนตุลาคม ระหว่างประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี นอกรอบจากการประชุมกลุ่ม BRICS ที่รัสเซีย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย สุพรหมณยัม ชัยศังกระ กล่าวต่อรัฐสภาในเดือนนี้ว่า การถอนทหารของสองประเทศออกจากแนวพรมแดนที่ติดกันในแถบเทือกเขาหิมาลัย ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของจีนพร้อมทั้งอินเดียกลับสู่เส้นทางที่ดีขึ้น แต่ยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนดังกล่าวเอาไว้ 

รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย บอกว่า “การรักษาสันติภาพพร้อมทั้งความสงบบริเวณพรมแดนถือเป็นเงื่อนไขแรกก่อนที่จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองประเทศ”

แม้ทหารจีนพร้อมทั้งอินเดียต่างยอมถอยออกมาจากการประจันหน้าตรงชายแดน แต่ยังคงมีกำลังพลหลายหมื่นคนที่ประจำการในแถบเทือกเขาหิมาลัยตลอดห้าปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับปืนใหญ่พร้อมทั้งเครื่องบินรบไอพ่นที่ยังเตรียมพร้อมไม่ไกลจากแนวชายแดน

ศาสตราจารย์สวาราน ซิงห์ แห่งภาควิชาการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยชวาหะร์ลาล เนห์รู ในกรุงนิวเดลี บอกว่า “บรรยากาศบริเวณชายแดนนั้นตึงเครียดมาตลอดสี่ปี การเปลี่ยนให้เป็นความสงบนั้นต้องใช้มาตรการเชิงโครงสร้างทั้งในการปฏิบัติ ขวัญกำลังใจพร้อมทั้งจิตวิทยา ซึ่งล้วนต้องอาศัยเวลา” 

การเจรจาระดับสูงทางการทูตเพื่อหารือข้อพิพาทนี้มีขึ้นอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในการประชุมของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ พร้อมทั้งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย อาจิต โดวัล ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันร่วมหาแนวทางจัดการความขัดแย้งนี้อย่าง “ยุติธรรม สมเหตุสมผล พร้อมทั้งยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย” 

นอกจากนี้ ยังตกลงกันที่จะยินยอมให้ผู้แสวงบุญจากอินเดียสามารถเดินทางไปยังทิเบตได้ รวมทั้งฟื้นฟูการค้าข้ามพรมแดนผ่านช่องเขาในแถบนั้นด้วย

ศาสตราจารย์สวาราน ซิงห์ ชี้ว่า “ประเด็นตามแนวพรมแดนเป็นสิ่งที่อินเดียต้องการแก้ไขจัดการเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มขยายการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับจีน” 

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

แม้ยังคงมีการขัดแย้งด้านการทหาร แต่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของจีนพร้อมทั้งอินเดียกลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยอินเดียนั้นต้องการเพิ่มการนำเข้าจากจีนเพื่อยกระดับอินเดียให้เป็นศูนย์กลางการผลิตในเอเชีย ในขณะที่จีนก็ต้องการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในอินเดียเช่นกัน

ฮาร์ช แพนท์ รองประธานมูลนิธิ Observer Research Foundation ในกรุงนิวเดลี บอกว่า “แม้ความสัมพันธ์ทางการเมืองอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของประเทศกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งดูเหมือนอินเดียได้เปิดรับสินค้าจีนมากขึ้นในบางอุตสาหกรรม” 

ถ้าหากว่า นอกจากประเด็นข้อพิพาทตามแนวพรมแดน อินเดียยังคงมีความกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของจีนในทหาสมุรอินเดีย ซึ่งรวมถึงการสร้างท่าเรือในศรีลังกา ปากีสถาน พร้อมทั้งเมียนมา 

ในในเวลาเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่าอินเดียจะยังคงกระชับสัมพันธ์กับขั้วชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ต่อไปด้วยเพื่อคานอำนาจของจีน 

ฮาร์ช แพนท์ มองว่า “ทั้งอินเดียพร้อมทั้งสหรัฐฯ ต่างมุ่งหวังสร้างเครือข่ายภูมิยุทธศาสตร์แบบเฉพาะในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งการมีเสรี สมดุล ครอบคลุม เปิดกว้างพร้อมทั้งยุติธรรม ซึ่งแนวคิดนี้จะยังคงทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ) เดินหน้าต่อไป”

ปัจจุบัน อินเดียกับสหรัฐฯ ร่วมมือกันในหลายด้าน ตั้งแต่การทหารไปจนถึงเทคโนโลยีระดับสูง พร้อมทั้งอเมริกายังเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอินเดียด้วย 

โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ได้บอกกล่าวกับนิตยสารการต่างประเทศ ‘India’s World’ เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ความสัมพันธ์ของอินเดียพร้อมทั้งสหรัฐฯ นั้น “ยิ่งใหญ่พร้อมทั้งสำคัญ” พร้อมทั้งจะแน่นแฟ้นต่อไปแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความเห็นแตกต่างกันในบางเรื่องก็ตาม 

ที่มา: วีโอเอ

 

เกาหลีใต้เผยเปียงยางเตรียมส่งทหาร-อาวุธ ให้รัสเซียเพิ่ม

ผู้บัญชาการกองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยในวันจันทร์ว่า มีสิ่งบ่งชี้ว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมส่งกำลังพลพร้อมทั้งอาวุธเพิ่มเติมให้แก่รัสเซีย เพื่อใช้ในการทำสงครามกับยูเครน

แถลงการณ์ของประธานผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมของเกาหลีใต้ พบว่า อาวุธที่จะส่งไปเพิ่มนั้นรวมถึงโดรนพิฆาต โดยก่อนหน้านี้ทางเกาหลีเหนือได้ส่งเครื่องยิงจรวดขนาด 240 มม. พร้อมทั้งปืนใหญ่ลำกล้อง 170 มม. ให้แก่กองทัพรัสเซียไปแล้ว

นอกจากนี้ ทั้งเกาหลีใต้ สหรัฐฯ พร้อมทั้งยูเครน ต่างรายงานตรงกันว่า รัฐบาลกรุงเปียงยางได้จัดส่งทหาร 12,000 คนไปช่วยทำการสู้รบในรัสเซีย

“ทักษิณ” ซัดพรรคประชาชน อู้เก่งแต่เดี๋ยวนี้ด่าเก่ง ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม

“ทักษิณ ชินวัตร” ยาหอมชาวเจียงใหม่ปีหน้าม่วนแน่ จบหมดทุกปัญหาทั้งยาเสพติด-หนี้สิน-คอลเซ็นเตอร์-เอาเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน บอกแก้ยาเสพติดไม่ได้ ผู้กำกับ-ผวจ-นอภ. เตรียมจูงมือเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม แซะ “ปชน.” อู้เก่งแต่เดี๋ยวนี้ด่าเก่ง ขอ “สว.ก๊อง” ชนะขาด อย่าให้อายนะ

สธ. เตรียมยาต้านอหิวาตกโรค-วัคซีนช่วยเมียนมา ในไทยพบติดเชื้อ 4 คน ยังควบคุมได้

“สมศักดิ์” เผยเตรียมยาต้านอหิวาตกโรค 24,000 เม็ด พร้อมวัคซีนช่วยเมียนมา หลังพบเชื้อระบาดหนักในหลายเมือง ส่วนในไทยพบผู้ติดเชื้อแล้ว 4 คน ชาวไทย 2 เมียนมา 2 ยัน ยังควบคุมได้ ย้ำ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ

ปูนบำเหน็จ 3 ชั้นยศ “ร.ต.ท.วิมุตต์” ตำรวจเหยื่อเมาแล้วขับ เป็น พ.ต.ท.

คืบหน้าเก๋งเมาซิ่งชนคนหน้าโรงเรียนดอนขวาง จ.นครราชสีมา พร้อมเยียวยาครอบครัว ร.ต.ท.วิมุตต์ แทนสุโพธิ์ ปูนบำเหน็จ 3 ชั้นยศ จากร้อยตำรวจโทเป็นพันตำรวจโท พร้อมทั้งมีการเพิ่มเงินพิเศษ 3 ขั้น

บุกค้น 3 จุดเชียงราย รวบ 8 แอดมินเว็บพนัน พบเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้าน

ผบช.สอท. นำกำลังบุกค้น จับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ในพื้นที่ จ.เชียงราย รวบ 8 แอดมินพร้อมของกลาง พบมีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาท

6 เทคนิคขับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ไปต่างจังหวัดหรือเดินทางไกลอย่างไรให้สนุก

รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมจากคนไทย โดยเฉพาะคนเมืองที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใช้แล้วประหยัด แต่ถ้าจะต้องเดินทางไกลข้ามจังหวัดประมาณ 250 กิโลเมตรเป็นต้นไป ก็ต้องวางแผนการเดินทางกันสักหน่อย

ผู้นำเก่า เงื่อนไขใหม่: จับสัญญาณเกาหลีเหนือก่อน ‘ทรัมป์’ เถลิงอำนาจ

คิม จอง อึน เอ่ยถึงสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง ยืนกรานว่าการพัฒนาศักยภาพด้านนิวเคลียร์ “อย่างไม่มีขีดจำกัด” เป็นสิ่งเดียวที่จะต้านภัยคุกคามจากภายนอกได้

ท่าทีของผู้นำเกาหลีเหนือมีขึ้นระหว่างงานแสดงแสนยานุภาพทางทหารของกองทัพโสมแดง โดยกล่าวด้วยว่า การเจรจาที่มีขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา สะท้อนว่ากรุงวอชิงตันมีเจตนาไม่ดีอันเป็นสิ่งที่ “เปลี่ยนแปลงไม่ได้”

ในสายตาของเอแวนส์ รีเวียร์ อดีตรักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกเเละแปซิฟิก มองว่า คิม จอง อึน คนปัจจุบัน แตกต่างไปจาก ‘คิม’ คนที่ทรัมป์เคยเจอหน้าแบบตัวต่อตัวเมื่อปี  2019 อย่างสิ้นเชิง

รีเวียร์บอกว่า “คิม จอง อึน เชื่อว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พร้อมทั้งผมเชื่อว่าหนึ่งในไพ่ที่ถืออยู่คือความสัมพันธ์ที่เพิ่งพานพบกับรัสเซีย”

เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเกาหลีเหนือส่งทหารมากกว่า 10,000 นายไปช่วยรัสเซียรบในสมรภูมิยูเครน

เมื่อเดือนที่แล้ว อันเดรย์ เบลูซอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซียเดินทางไปยังกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือเพื่อขยายขอบเขตข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เบลูซอฟมองว่าช่วยลดความเสี่ยงการเกิดสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

มาร์ค รุทเทอร์ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) บอกว่าพันธมิตรระหว่างกรุงมอสโกพร้อมทั้งกรุงเปียงยาง เป็นโจทย์ที่ท้าทายรัฐบาลทรัมป์สมัยที่สอง

รุทเทอร์บอกว่า “เทคโนโลยีนิวเคลียร์พร้อมทั้งขีปนาวุธกำลังหลั่งไหลเข้าไปในเกาหลีเหนือ มันจึงเป็นความเสี่ยงที่เกาหลีเหนือจะใช้มัน ไม่เพียงในแง่การคุกคามเราที่นี่ แต่กับแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ เช่นกัน”

ซิดนีย์ ซายเลอร์ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ด้านเกาหลีเหนือ มองว่าความร่วมมือของเกาหลีเหนือพร้อมทั้งรัสเซีย จะเป็นภัยคุกคามเสถียรภาพโลกมากยิ่งขึ้น 

ซายเลอร์บอกว่าความร่วมมือนี้กำลังกลายเป็นพันธมิตรทางทหารที่มีอันตรายทั้งในระยะสั้นพร้อมทั้งระยะยาว ที่อาจทำให้สงครามในยูเครนขยายวง สั่นคลอนความมั่นคงทั้งบนคาบสมุทรเกาหลีพร้อมทั้งประชาคมนานาประเทศ

อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรายนี้เพิ่มเติมว่า ความช่วยเหลือจากรัสเซีย ทั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ เทคโนโลยีการผลิตยุทธภัณฑ์กระสุน ไปจนถึงเชื้อเพลิง อาหาร พร้อมทั้งเงิน ทำให้เกาหลีเหนือมีความจำเป็นต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ น้อยกว่าเมื่อครั้งรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก

ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ เคยใช้เวลาในวาระแรก ร่วมมือกับผู้นำเกาหลีใต้เพื่อหาทางให้เกาหลีเหนือล้มเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ไม่เพียงเท่านั้นยังได้พบปะกันแบบซึ่งหน้าที่สิงคโปร์พร้อมทั้งเวียดนามเมื่อปี 2018 พร้อมทั้ง 2019 ตามลำดับ

แต่ในช่วงฤดูกาลเลือกตั้งประธานาธิบดี รัฐบาลเปียงยางระดมทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ที่มีระยะทำการครอบคลุมแทบทุกพื้นที่ของแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการแสดงท่าทีจากผู้นำคิม ที่มีไปถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองสหรัฐฯ 

รีเวียร์ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มองว่า ทรัมป์ในวาระที่สอง ต้องเจอกับเกาหลีเหนือที่ปิดประตูสู่การล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์

รีเวียร์บอกว่า “สิ่งที่เกาหลีเหนือตามหามาตลอดคือการเป็นที่ยอมรับ หรืออย่างน้อยก็คือการรับรู้จากสหรัฐฯ ว่าเกาหลีเหนือเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างชอบธรรม พร้อมทั้งทั้งสองประเทศควรนั่งคุยกันเรื่องการดำรงอยู่ร่วมกัน”

ที่มา: วีโอเอ

เตรียมสายไหม้! เด็กนับล้านต่อสาย ‘ศูนย์ติดตามซานต้า’ ก่อนวันคริสต์มาส

กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงคริสต์มาสทั่วโลกไปเสียแล้ว ที่เด็ก ๆ จากทั่วทุกมุมโลก จะติดตามการเดินทางของซานตาคลอสที่มุ่งหน้าส่งของขวัญให้เด็ก ๆ ไปรอบโลก 24 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนวันคริสต์มาส

ในแต่ละปีจะมีเด็กอย่างน้อย 100,000 คน ที่ต่อสายไปยังศูนย์บัญชาการป้องกันอวกาศแห่งทวีปอเมริกาเหนือ (North American Aerospace Defense Command) หรือ NORAD เพื่อสอบถามพิกัดที่ซานตาคลอสอยู่ ณ เวลานั้น โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลออนไลน์ 9 ภาษา ตั้งแต่ภาษาอังกฤษไปจนถึงภาษาญี่ปุ่น

ช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี NORAD จะตรวจตราน่านฟ้าให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นได้ อย่างเช่น เหตุบอลลูนสอดแนมเมื่อปีที่แล้ว แต่พอถึงวันคริสต์มาสอีฟ อาสาสมัครจากโคโลราโด สปริงส์ จะเตรียมชุดคำตอบสำหรับคำถามเช่นว่า “เมื่อไหร่ซานต้าจะมาถึงบ้านหนูซักที?” หรือคำถามที่ว่า “ตอนนี้ผมอยู่ในรายการเด็กดื้อหรือเด็กดีกันแน่?”

บ็อบ ซอมเมอร์ส เจ้าหน้าที่อาสาสมัครของ NORAD ในช่วงคริสต์มาส บอกว่า “ได้ยินทั้งเสียงกรีดร้องพร้อมทั้งเสียงหัวเราะชอบใจ” ในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งเขามักต้องบอกให้เด็ก ๆ นอนหลับก่อนซานต้ามาถึง ก่อนที่จะมีเสียงของพ่อแม่บอกว่า “ได้ยินที่เขาพูดไหมจ๊ะ? เราต้องนอนแต่หัวค่ำนะ”

ศูนย์ติดตามซานต้าของ NORAD เริ่มต้นตั้งแต่ยุคสงครามเย็น จนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์วันคริสต์มาส นอกเหนือจากเสื้อไหมพรมธีมคริสต์มาสสุดเชยพร้อมทั้งเพลงคริสต์มาสอันเป็น passive income ของมารายห์ แครีย์ที่ต้องฟังทุกปี พร้อมทั้งประเพณีติดตามซานต้านี้ยังยืนหยัดอยู่แม้จะเผชิญกับการปิดทำการของรัฐบาล หรือ government shutdown หลายต่อหลายครั้ง

เริ่มต้นด้วยการ ‘โทรผิด’

จุดเริ่มต้นของศูนย์ติดตามซานต้า มาจากการต่อสายโทรศัพท์ผิดเมื่อปี 1955 หนังสือพิมพ์ในโคโรลาโด สปริงส์ แปะโฆษณาของห้างเซียร์ส ที่ชวนเด็ก ๆ โทรหาซานต้า พร้อมแนบเบอร์เอาไว้ แต่ปรากฏว่าเด็กชายคนหนึ่งโทรผิดมาที่หน่วยงานด้านความมั่นคงร่วมสหรัฐฯ แคนาดา NORAD ซึ่งมีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามเย็น

พร้อมทั้งผู้ที่รับสายเด็กชายคนนั้น คือ พันอากาศเอกแฮร์รี่ ชุป ซึ่งเข้าเวรกะกลางคืนเพื่อรอรับ “สายด่วนฉุกเฉิน” แต่กลับได้ยินปลายสายเป็นเสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายที่เล่าถึงรายการของขวัญที่อยากได้ในวันคริสต์มาส ซึ่งก่อนที่เด็กชายคนนี้จะจับได้ เขาก็ได้สมอ้างเป็นซานต้าคลอสเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งเขายังต้องรับสายแบบเดียวกันนี้อีก 50 ครั้ง พร้อมทั้งท้ายที่สุดสิ่งนี้ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมา 69 ปีในปัจจุบัน

ผู้ปกครองพร้อมทั้งเด็ก ๆ สามารถติดตามเส้นทางของซานตาคลอสได้ ผ่านสายด่วนในอเมริกา 1-877-HI-NORAD ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนของวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี พร้อมทั้งที่เว็บไซต์ noradsanta.org ติดตามแฮชแท็ก #NORADTracksSanta พร้อมทั้งบัญชี @NoradSanta ทาง X หรือใช้แอปพลิเคชั่นอื่น ๆ ที่รองรับ รวมถึงติดตามทางอีเมล noradtrackssanta@outlook.com ได้เช่นกัน

ที่มา: เอพี