เปิดชีวิตครอบครัวยูเครนที่ต้องพลัดพราก เมื่อสงครามครบรอบ 1,000 วัน
ชีวิตชาวยูเครนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ท่ามกลางเสียงระเบิด ไซเรน พร้อมทั้งการพัดพราก
หนึ่งในกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนเเรงคือครอบครัวของ ‘โอเลห์ เรเชตเนียค’ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ของสื่อระดับประเทศของยูเครน พร้อมทั้งแอนนาภรรยาของเขา
ทั้งคู่ร่วมกันฉลองวันเกิดครบสามขวบของลูกสาว เมื่อวันที่ที่ 21 กุมภาพันธ์เมื่อสองปีก่อน
ในคืนเดียวกันนั้นประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิเมียร์ ปูตินประกาศยอมรับความเป็นสาธารณรัฐของเขตดอนเนตสก์ พร้อมทั้งลูฮานสก์
แอนนา บอกว่าสามีของเธอพร้อมทั้งพ่อของเขาเกาะติดจอโทรทัศน์ติดตามข่าว ขณะที่เธออยากให้ทุกคนหันมาฉลองวันเกิดของลูก
แต่เธอกลับถูกตอบกลับว่าข่าวนี้สำคัญมาก เมื่อพวกเขาบอกเธอว่า “เราต้องการฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
สามวันหลังจากนั้น ปูตินประกาศบุกยูเครน
แอนนา ที่กำลังท้องแก่พร้อมทั้งลูกชายตัวน้อยจึงรีบอพยพออกจากยูเครน ส่วนโอเลห์สามีอยู่ในประเทศต่อไป
ต่อมาไม่นาน ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน แอนนา ซึ่งลี้ภัยไปเดนมาร์กคลอดลูกสาว วิตอเรีย โดยโอเลห์ไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ ๆ
โอเลห์ บอกว่า “รถถังที่ประจำการอยู่ ถูกอำพรางอยู่ แต่คุณก็ยังได้ยินเสียงระเบิด”
ฤดูร้อนปีถัดมา แอนนากลับมาที่กรุงเคียฟ พร้อมด้วยลูกสาวทั้งสองคน
โอเลห์นำเงินเก็บของครอบครัวไปลงทุนเปิดสตูดิโอถ่ายภาพ ท่ามกลางสงครามที่ยังดำเนินไป
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แอนนาให้กำเนิดลูกสาวคนที่สามของครอบครัว ขณะที่วิคตอเรียวัยสองขวบพยายามปรับตัวกับชีวิตช่วงสงคราม
แอนนาบอกว่า “มุมมองจากด้านนอก มันดูบ้าคลั่ง เด็กอายุสองขวบรู้แล้วว่าเสียงไซเรนคืออะไร พร้อมทั้งรู้ด้วยว่าอะไรคือสัญญาณว่าทุกอย่างปลอดภัยดี”
ข้อมูลของสหประชาชาติพบว่า พลเรือนยูเครนกว่า 12,000 คนจบชีวิต ตั้งเเต่รัสเซียทำการรุกราน พร้อมทั้งยังมีอีกเกือบ 27,000 คนที่ได้รับบาดเจ็บ
ถ้าหากว่า ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าชาวยูเครนยังคงแน่วเเน่นเหมือนเดิมที่จะต้านการบุกของรัสเซีย เช่นเดียวกับเมื่อตอนเริ่มต้นสงคราม
โอเล็กซานเดอร์ มูเซียนโก ผู้เชี่ยวชานด้านการทหาร บอกว่า “ราวสองในสามของประชาชนพร้อมที่จะสู้ต่อไป พวกเขายังรู้สึกว่ามีพลัง…ส่วนที่เหลือราวหนึ่งในสาม ไม่ได้ว่าอยากจะยอมเเพ้รัสเซีย แต่อยากมองหาทางออก ซึ่งรวมถึงการยอมสูญเสียบางอย่างที่พวกเขาเห็นว่าสมเหตุสมผล”
เยฟเชน โฮโลวากา แห่งสถาบัน Institute of Sociology ของยูเครนศึกษาความสามารถในการฟื้นฟูกำลังใจของคนในชาติ บอกว่าคนจำนวนมากเห็นว่าการเป็นประเทศที่มีอิสรภาพเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
“เมื่อเราถามว่าเรื่องการมีเสรีภาพพร้อมทั้งอิสรภาพสำคัญเพียงใดต่อยูเครน ร้อยละ 93 บอกว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ไม่เเน่ใจหรือคิดว่าไม่สำคัญ” โฮโลวากากล่าว
โอเลห์ เรเชตเนียค บอกว่าตนกังวลถึงอนาคตของยูเครน เมื่อรัฐบาลใหม่ของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเลิกให้การสนับสนุนประเทศของเขา
เรเชตเนียค ผู้ที่จบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์ บอกว่า “ถ้าสหรัฐฯ ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ มันอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ๆ ในโลก”
เรเชตเนียคได้รับการยกเว้นเป็นทหารที่ต้องรบในด่านหน้า เนื่องจากเป็นคุณพ่อลูกสาม แต่เขายังคงอยู่ในยูเครนพร้อมทั้งให้การสนับสนุนทหารยูเครนด้วยการบริจาคเงิน พร้อมทั้งการส่งเสียงให้โลกรับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม
ที่มา: วีโอเอ