‘ไบเดน’ จะเดินหน้าคดีบุกรัฐสภา ‘ทรัมป์’ อย่างไร ไม่ให้เข้าข่ายจู่โจมคู่แข่งทางการเมือง?

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการสอบสวนเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เผยแพร่รายงานการสอบสวนฉบับสมบูรณ์ ยืนยันว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีส่วนร่วมต่อความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งปธน. เมื่อปี 2020 พร้อมเสนอกระทรวงยุติธรรมเดินหน้าเอาผิดอดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ ซึ่งในระหว่างที่กระบวนการดังกล่าวกำลังเดินหน้าต่อไป ทำเนียบขาวต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เป็นการมุ่งเป้าไปยังคู่แข่งทางการเมือง ในศึกเลือกตั้งปี 2024 ที่จะมาถึง

 

เหลือเพียงอีกสองสัปดาห์ก่อนวันครบรอบ 2 ปี เหตุจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ปี ค.ศ. 2021 โดยกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางคณะกรรมการสอบสวนเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ได้เสนอให้กระทรวงยุติธรรมเดินหน้ายื่นฟ้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในคดีอาญาหลายคดี ที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของเขาในความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อปี 2020 ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะ

ในประเด็นนี้ โฆษกทำเนียบขาว คารีน ฌอง-ปิแอร์ พบว่า “เราจะมีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการที่จะไม่ทำให้กระบวนการทั้งหมดนี้เป็นเรื่องทางการเมือง” พร้อมทั้งว่า “คณะทำงาน (ปธน.ไบเดน) พร้อมทั้งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ดำเนินการสอบสวนคดีอาญาอย่างเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองพร้อมทั้งการแทรกแซงในทุกรูปแบบ”

แต่อีกด้านหนึ่ง เมอร์ริค การ์แลนด์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ ต้องตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนหรือไม่

 

ปีเตอร์ โลจ (Peter Loge) ผู้อำนวยการโครงการด้านจริยธรรมการสื่อสารการเมือง จาก George Washington University ให้ทัศนะกับวีโอเอว่า “สิ่งที่ดีที่สุดที่ประธานาธิบดีไบเดนสามารถทำได้ คือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ นั่นคือการบอกว่า ‘คณะกรรมการสอบสวน ฯ ได้ทำคดีที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในมุมมองของผม มันคือสิ่งที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปของพวกเขา เราได้เดินหน้าที่จะปกป้องพร้อมทั้งสนับสนุนประชาธิปไตย พร้อมทั้งตอนนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรมแล้ว’ พร้อมทั้งเอาตัวออกมาให้พ้นทาง”

ทั้งนี้ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีวุฒิสภาให้การรับรอง ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้รับอิสระมากขึ้นหลังจากคดีวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นเหตุอื้อฉาวทางการเมืองในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ในสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งในตอนนั้นอดีตปธน.นิกสัน พยายามใช้เจ้ากระทรวงยุติธรรมเพื่อวาระทางการเมืองของตน

นอกจากนี้ ยังมีกฎหมาย Ethics in Government Act ในปี 1978 ที่อนุญาตให้มีการสอบสวนการประพฤติมิชอบดำเนินการอย่างเป็นอิสระจากการควบคุมของประธานาธิบดีได้ ซึ่งรมว.ยุติธรรมการ์แลนด์ ใช้กฎหมายดังกล่าวในการแต่งตั้งอัยการพิเศษ แจ็ค สมิธ ให้เป็นผู้นำการสอบสวนคดีอาญาของอดีตปธน.ทรัมป์

รมว.ยุติธรรมการ์แลนด์ บอกว่า “การแต่งตั้ง (อัยการพิเศษ) เน้นย้ำความมุ่งมั่นต่อความเป็นอิสระพร้อมทั้งความรับผิดชอบในประเด็นที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้”

ถ้าหากว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกกระบวนการดังบอกว่าเป็นการล่าแม่มด

อดีตปธน.ทรัมป์ บอกว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้มอบเอกสาร รายงานภาษี พร้อมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างหลายล้านหน้ากระดาษ พร้อมทั้งพวกเขาไม่พบอะไรเลย นั่นหมายความว่าผมได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์พร้อมทั้งบริสุทธิ์ไร้มลทินที่สุดในประเทศนี้”

ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดที่ถูกดำเนินคดีอาญา พร้อมทั้งหลายฝ่ายกังวลว่าสิ่งนี้จะยิ่งสร้างการแบ่งแยกทางการเมือง แต่ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองบางคนมองว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น

วิลเลียม ฮาเวลล์ (William Howell) อาจารย์จาก University of Chicago ให้ทัศนะกับวีโอเอว่า “อย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้ว่ากระทรวงยุติธรรมมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง พร้อมทั้งจะมีดำเนินคดีอย่างระมัดระวังกับอดีตประธานาธิบดีผู้ไม่เคารพกฎหมายในหลายประเด็นที่มีความสำคัญ สิ่งนี้จะมีผลต่อการรักษาหลักนิติธรรมพร้อมทั้งการปกป้องประชาธิปไตย นั่นคือการเดิมพันของกระทรวงยุติธรรม”

ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการสอบสวนฯ เสนอให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เดินหน้าทำการฟ้องคดีอาญาฐานสนับสนุนหรือช่วยเหลือในการก่อจลาจลจากการบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ขัดขวางการดำเนินการของเจ้าพนักงาน สมรู้ร่วมคิดเพื่อหลอกลวงชาวอเมริกัน พร้อมทั้งสมรู้ร่วมคิดเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

ที่มา: วีโอเอ

รัสเซียเผยยิงโดรนยูเครนตกใส่ฐานทัพทางใต้ จบชีวิต 3 ราย

สำนักข่าวรัสเซียหลายแห่งรายงานอ้างข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียว่า กองทัพรัสเซียได้ยิงโดรนของยูเครนตกหนึ่งลำในวันจันทร์ ซึ่งชิ่นส่วนของโดรนลำนั้นตกลงใส่ฐานทัพแห่งหนึ่งทางใต้ของรัสเซีย ทำให้มีผู้จบชีวิต 3 คน

กระทรวงกลาโหมรัสเซียพบว่า โดรนดังกล่าวถูกยิงขณะบินในระดับต่ำใกล้สนามบินทหารเองเจลส์ในแคว้นซาราตอฟของรัสเซีย โดยผู้จบชีวิต 3 คนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพรัสเซียที่สนามบินทหารดังกล่าว

ฐานทัพแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างหลายร้อยกิโลเมตรจากแนวหน้าที่เกิดการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยทางรัสเซียอ้างว่า โดรนของยูเครนได้จู่โจมฐานทัพแห่งเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 

เมื่อวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีรัสเซีย โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี กล่าวอวยพรเนื่องในวันคริสต์มาส พร้อมทั้งได้ขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนในสงครามครั้งนี้ รวมถึงขอบคุณบรรดาทหารในแนวหน้า หน่วยซ่อมบำรุง พนักงานสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาสาสมัคร พยาบาลพร้อมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนบรรดาผู้สื่อข่าวที่รายงานความจริง พร้อมทั้งผู้คนทั่วโลกที่สนับสนุนยูเครน

เซเลนสกีบอกว่า “อีกเพียงไม่กี่วันก่อนจะสิ้นปีนี้ เราต้องตระหนักว่าศัตรูจะต้องพยายามทำให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มืดมนพร้อมทั้งยากลำบากสำหรับเรา” “รัสเซียสูญเสียทุกอย่างในปีนี้พร้อมทั้งกำลังพยายามหาสิ่งชดเชยการสูญเสียนั้นด้วยการใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อหลังจากยิงขีปนาวุธจู่โจมประเทศพร้อมทั้งภาคพลังงานของเรา” พร้อมทั้งว่า ความมืดมนนี้จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเอาชนะผู้รุกรานอีกครั้ง

ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ของรัสเซียซึ่งออกอากาศในวันอาทิตย์ พบว่า รัสเซียพร้อมเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครน แต่เป็นทางยูเครนพร้อมทั้งชาติตะวันตกที่ปฏิเสธการเจรจาดังกล่าว

ปูตินได้บอกกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 1 ของทางการรัสเซียว่า “เราพร้อมที่จะเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้เงื่อนไขที่ยอมรับได้ แต่นั่นขึ้นอยู่กับพวกเขา เราไม่ใช่ฝ่ายที่ปฏิเสธการเจรจา”

ผู้นำรัสเซียยืนยันด้วยว่า ตนทำถูกต้องแล้วในยูเครนเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของรัสเซียพร้อมทั้งประชาชนรัสเซีย เนื่องจากชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ พยายามที่จะแบ่งแยกรัสเซียเป็นหลายส่วน โดยปูตินพบว่า “ไม่มีทางเลือกอื่น” นอกจากการปกป้องประชาชน

ก่อนหน้านี้ วิลเลียม เบินส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ความขัดแย้งส่วนใหญ่ยุติลงได้ด้วยการเจรจา แต่ซีไอเอประเมินแล้วว่ารัสเซียมิได้จริงจังในการต่อรองเพื่อยุติสงครามครั้งนี้

ทางด้าน มีไคโล โพโดลยัก ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี บอกว่า รัสเซียเองที่เป็นฝ่ายบุกจู่โจมพร้อมทั้งสังหารประชาชนยูเครน พร้อมทั้งว่า ปูตินจำเป็นต้องกลับสู่ความจริงที่ว่ารัสเซียเองที่เป็นฝ่ายไม่ต้องการเจรจาพร้อมทั้งพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ

ข้อมูลบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี พร้อมทั้งรอยเตอร์

ศาลเมียนมานัดชี้ชะตา “ซู จี” รอบสุดท้ายวันศุกร์นี้

ศาลรัฐบาลทหารเมียนมาจะมีคำตัดสินต่อผู้นำประชาธิปไตยเมียนมา ออง ซาน ซู จี สำหรับ 5 ข้อหาที่เหลืออยู่ในวันศุกร์นี้ อ้างอิงจากแหล่งข่าวที่เปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี

ซู จี อดีตผู้นำรัฐบาลพลเรือนเมียนมา ถูกรัฐบาลทหารควบคุมตัวไว้ตั้งแต่ทำรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พร้อมทั้งถูกตัดสินว่ามีความผิดใน 14 ข้อหาตั้งแต่ข้อหาคอร์รัปชันไปจนถึงการมีวิทยุสื่อสารไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย จนถึงขณะนี้เธอถูกตัดสินจำคุกไปแล้ว 26 ปี 

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายต่างให้การครั้งสุดท้ายต่อศาลในวันจันทร์ พร้อมทั้งคำตัดสินจะมีออกมาในวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคมนี้ นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่า ซู จี มีสุขภาพแข็งแรงดี

ทางด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างออกมาตำหนิการพิจารณาคดีครั้งนี้ว่า “หลอกลวง” พร้อมทั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติได้มีมติเรียกร้องเป็นครั้งแรกให้รัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัว ซู จี ซึ่งถือเป็นการแสดงความเป็นเอกภาพของสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น หลังจากที่จีนพร้อมทั้งรัสเซีย พันธมิตรของเมียนมา งดออกเสียง

สำหรับ 5 ข้อหาที่ ซู จี เผชิญในวันศุกร์นี้ รวมถึงการเช่าเฮลิคอปเตอร์สำหรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งเธอถูกกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบพร้อมทั้งก่อให้เกิด “ความสูญเสียต่อชาติ” โดยแต่ละข้อหามีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี 

ปัจจุบัน ซู จี ถูกคุมขังที่อาคารในกรุงเนปิดอว์ ใกล้กับศาลที่เธอต้องถูกนำตัวไปพิจารณาคดี ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า ผู้นำทหารเมียนมาอาจอนุญาตให้เธอชดใช้โทษด้วยการกักบริเวณภายในบ้านพัก ขณะที่กำลังมีการเตรียมการเลือกตั้งใหญ่ที่ประกาศไว้ว่าจะมีขึ้นในปีหน้า 

ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 กองทัพเมียนมากล่าวหาว่ามีการโกงเลือกตั้งที่นำไปสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยที่ ซู จี เป็นหัวหน้าพรรค แม้ว่าทางผู้สังเกตการณ์ต่างชาติยืนยันว่าเป็นการเลือกตั้งที่เสรีพร้อมทั้งยุติธรรมก็ตาม

ที่มา: เอเอฟพี

เกาหลีเหนือส่งโดรน 5 ลำข้ามพรมแดน บินไกลเฉียดกรุงโซล

เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีเหนือส่งโดรนขนาดเล็กหลายลำเข้าไปในน่านฟ้าของเกาหลีใต้ในวันจันทร์ ทำให้เกาหลีใต้ต้องตอบโต้ด้วยการส่งโดรนของตนไปสกัด พร้อมทั้งยังส่งเครื่องบินรบไอพ่นพร้อมทั้งเฮลิคอปเตอร์จู่โจมเข้าไปตอบโต้แต่ไม่สามารถยิงโดรนเกาหลีเหนือตกได้

เจ้าหน้าที่กองทัพเกาหลีใต้เผยด้วยว่า โดรนหนึ่งลำได้บินกลับเข้าไปในเกาหลีเหนือ แต่อีก 4 ลำยังไม่สามารถติดตามได้ โดยทั้ง 5 ลำเป็นโดรนขนาดเล็ก ความยาวปีกประมาณ 2 เมตร พร้อมทั้งไม่แน่ชัดว่าติดตั้งอาวุธไว้ด้วยหรือไม่

นับตั้งแต่ปี 2014 เกาหลีเหนือได้ส่งโดรนขนาดเล็กที่สร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ เข้าไปในเกาหลีใต้แล้วอย่างน้อย 4 ครั้ง โดยคาดว่ามีจุดประสงค์เพื่อการสอดแนม แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปีที่มีการส่งโดรนข้ามพรมแดนทางใต้อีกครั้ง

เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้พบว่า การส่งโดรนของเกาหลีเหนือครั้งนี้ค่อนข้างอุกอาจกว่าครั้งก่อน ๆ เนื่องจากมีการบินเหนือพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่นของเกาหลีใต้เป็นเวลานาน รวมทั้งเขตทางเหนือของกรุงโซลที่อยู่ห่างออกไปราว 50 กม.ด้วย แต่ไม่มีรายงานความเสียหายแต่อย่างใด

กองทัพเกาหลีใต้ยิงปืนกว่า 100 นัด แต่มิได้สร้างความเสียหายต่อโดรนดังกล่าว นอกจากนี้เกาหลีใต้ยังได้ส่งโดรนหนึ่งลำเข้าไปในเกาหลีใต้ในภารกิจสอดแนมกลับ โดยบินลึกเข้าไปในพรมแดนของเพื่อนบ้านทางเหนือในระยะทางพอ ๆ กับที่โดรนของเกาหลีเหนือบินเข้าไปในเกาหลีใต้ ก่อนที่จะบินกลับ

ประธานผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมของเกาหลีใต้มีแถลงการณ์ประณามการกระทำของเกาหลีเหนือว่า “เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน” พร้อมรับปากว่าจะตอบโต้อย่างรอบคอบพร้อมทั้งหนักแน่น

ในเวลาเดียวกัน กระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้รายงานว่า ได้ระงับเที่ยวบินขาออกจากท่ากาศยานอินชอนพร้อมทั้งท่าอากาศยานกิมโป โดยสนามบินทั้งสองแห่งนั้นต้องปิดบริการชั่วคราวจากข่าวโดรนเกาหลีเหนือ

 

เหตุการณ์นี้น่าจะก่อให้เกิดคำถามเพิ่มขึ้นต่อความสามารถของเกาหลีใต้ในการป้องกันการคุกคามจากโดรนของเกาหลีเหนือในอนาคต รวมทั้งคำถามว่ากองทัพเกาหลีใต้ทำงานรวดเร็วเพียงพอในการหยุดยั้งโดรนจากเปียงยางหรือไม่

ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ที่มีโดรนจากเกาหลีเหนือรุกล้ำเข้าไปในเกาหลีใต้ เมื่อโดรนติดกล้องลำหนึ่งได้ลอบเข้าไปถ่ายรูประบบต่อต้านขีปนาวุธของเกาหลีใต้ก่อนที่จะตกขณะกำลังบินข้ามพรมแดนกลับเกาหลีเหนือ

เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้พบว่า โดรนที่บินข้ามพรมแดนเข้ามาในวันจันทร์มีลักษณะคล้ายกับโดรนที่ใช้เมื่อ 5 ปีก่อนเช่นกัน

ที่มา: วีโอเอ

“หมอปลา” บุกช่วยลุง 61 ถูกสัมภเวสีสิงร่าง ญาติเชื่อเป็นวิญญาณผีปอบ

“หมอปลา” บุกช่วยลุง 61 ที่ จ.เพชรบูรณ์ ถูกวิญญาณสัมภเวสีสิงร่าง ญาติเผยอาการประหลาด กลางดึกจะหิวต้องกินลาบเลือด-คืนไหนไม่ได้กินจะอาละวาด เชื่อเป้นวิญญาณผีปอบ

แฟนบอลชื่นชม “ธีราทร” วิ่งไปหยิบน้ำมาให้ผู้ตัดสินที่เป็นตะคริว จนอาการดีขึ้น (คลิป)

แฟนบอลแห่ชื่นชม ธีราทร บุญมาทัน ดาวเตะกัปตันทีมชาติไทย ที่วิ่งไปหยิบน้ำดื่มมาให้ผู้ตัดสินที่เป็นตะคริวจนอาการดีขึ้น

จับตา “BN.1” น่ากลัวอย่างไร! วัคซีนเข็ม 5 จำเป็นหรือไม่ กลุ่มไหนควรฉีด

ไวรัสโคโรน่าลาม! จับตา “BN.1” จับโปรตีนตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ได้ดี-หนีภูมิเก่ง ไขข้อข้องใจฉีดวัคซีนเข็ม 5 จำเป็นหรือไม่ กลุ่มไหนควรฉีดมากที่สุด คลายข้อสงสัยคนไทยต้องใส่ “หน้ากากอนามัย” อีกนานแค่ไหน

ไต้หวันเผยเครื่องบินจีน 71 ลำรุกล้ำน่านฟ้าใน 24 ชม. มากสุดเป็นประวัติการณ์!

ทางการไต้หวันเปิดเผยในวันจันทร์ว่า มีเครื่องบินจีน 71 ลำ รวมถึงเครื่องบินรบไอพ่นพร้อมทั้งโดรน รุกล้ำเขตแสดงตนทางอากาศของไต้หวันในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

รายงานของกระทรวงกลาโหมไต้หวันพบว่า ในจำนวนเครื่องบิน 71 ลำนั้น มี 43 ลำที่ล่วงล้ำเข้าไปในเส้นแบ่งดินแดนกลางช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นเขตกันชนอย่างไม่เป็นทางการของสองประเทศพร้อมทั้งอยู่ในเขตป้องกันตนเองของไต้หวันด้วย 

สำนักงานข่าวสารส่วนกลางของรัฐบาลไต้หวันเผยว่า ครั้งนี้ถือเป็นการรุกล้ำน่านฟ้าของไต้หวันที่มีจำนวนเครื่องบินจีนเข้าร่วมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาณอันตรายต่อไต้หวันก็ตาม 

กระทรวงกลาโหมไต้หวันรายงานด้วยว่า พบเรือของกองทัพเรือจีน 7 ลำไม่ไกลจากไต้หวันด้วย พร้อมทั้งกองทัพจีนยังได้ส่งสัญญาณเตือน พร้อมกับคลื่นอิเลกทรอนิกส์ พร้อมทั้งอากาศยานต่อต้านเรือดำน้ำ เข้าไปในเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันตนเองทางอากาศ หรือ ADIZ ของไต้หวันด้วย

ส่วนทางไต้หวันได้ส่งเครื่องบินรบไปขับไล่เครื่องบินจีน ในเวลาเดียวกันได้เปิดระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานเพื่อตรวจสบเส้นทางการบินของเครื่องบินจีนเหล่านั้น 

ทางด้านรัฐบาลจีนซึ่งกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนไต้หวัน บอกว่า มีการ “ซ้อมจู่โจม” ทางทะเลพร้อมทั้งอากาศรอบเกาะไต้วันเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อตอบโต้สิ่งที่จีนเรียกว่า “การยั่วยุ” จากไต้หวันพร้อมทั้งสหรัฐฯ แต่ทางไต้หวันชี้ว่า การซ้อมรบของจีนคือการแสดงให้เห็นว่า จีนกำลังทำลายสันติภาพในภูมิภาคนี้ พร้อมทั้งกำลังข่มขู่คุกคามประชาชนไต้หวัน 

ทางการไต้หวันบอกว่า ประธานาธิบดี ไช่ อิง-เหวิน จะเรียกประชุมฉุกเฉินระดับสูงด้านความมั่นคงแห่งชาติในวันอังคารนี้ เพื่อหารือเรื่องการเสริมศักยภาพระบบป้องกันตนเอง พร้อมทั้งจะมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการใหม่ที่จะนำมาใช้ป้องกันประเทศด้วย ซึ่งอาจรวมถึงการขยายเวลาการเกณฑ์ทหารไปอีก 4 เดือน

“ยิ่งเราเตรียมการมากเท่าไร ก็มีโอกาสที่จะเกิดการคุกคามอย่างก้าวร้าวน้อยลง พร้อมทั้งยิ่งเรามีเอกภาพมากเท่าไร ไต้หวันก็จะยิ่งแข็งแกร่งพร้อมทั้งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น” ประธานาธิบดีไช่กล่าวในพิธีทางการทหารในวันจันทร์

ที่มา: รอยเตอร์

“ธีราทร” อัปเดต หลังเจ็บท้ายเกมอัด ฟิลิปปินส์ ทำแฟนเป็นห่วงกลัวเยือน “อินโดฯ” ไม่ไหว

ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีมชาติไทย อัปเดตอาการบาดเจ็บ แฮมสตริง หลังแฟนบอลเป็นห่วง เกมอัด ฟิลิปปินส์ 4-0 อาเซียน คัพ 2022

อเมริกาแช่แข็ง! พายุหิมะทำไฟดับ เดินทางชะงัก จบชีวิตแล้ว 32 ราย

สุดสัปดาห์วันคริสต์มาสในสหรัฐฯ ปีนี้มาพร้อมกับพายุฤดูหนาวที่นำอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งหลายองศาปกคลุมทั่วประเทศ สร้างความหนาวเย็นพร้อมทั้งอันตรายตั้งแต่ภาคเหนือพร้อมทั้งภาคตะวันออกของสหรัฐฯ ลงไปถึงภาคใต้ พร้อมทั้งมีรายงานผู้จบชีวิตจากอุณหภูมิติดลบนี้แล้วอย่างน้อย 32 คน

ที่เมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก หนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญสภาวะอากาศหนาวเย็นสุดขั้วนี้มากที่สุด ประชาชนจำนวนมากต้องติดอยู่ภายในบ้าน หลายพื้นที่ไม่มีไฟฟ้า พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้เนื่องจากมีหิมะปกคลุมหนากว่าสองเมตร 

จนถึงขณะนี้มีรายงานผู้จบชีวิตสืบเนื่องจากสภาวะอากาศเลวร้ายครั้งนี้แล้ว 32 คนใน 9 รัฐ ในจำนวนนี้ 13 คนอยู่ในเมืองบัฟฟาโล โดยคาดว่าตัวเลขผู้จบชีวิตที่แท้จริงมากกว่านี้

แคธี โฮคูล ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก บอกว่า “สภาพคล้ายกับเขตสงคราม ภาพรถยนต์ถูกทิ้งไว้ตามข้างถนนสร้างความตกตะลึงอย่างยิ่ง” พร้อมทั้งว่า ประชาชนจำนวนมากยังคงตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต พร้อมเตือนให้ผู้คนอยู่แต่ภายในบ้านเท่านั้น

เจ้าหน้าที่เมืองบัฟฟาโลระบุถึงสภาพการณ์อันตรายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยพบร่างผู้จบชีวิตหลายคนติดอยู่ในรถยนต์ที่ปกคลุมด้วยหิมะหนาในพื้นที่ที่หน่วยกู้ภัยไม่สามารถเข้าถึงได้

48 รัฐในอเมริกาเผชิญอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในช่วงสุดสัปดาห์ แผนการเดินทางต่าง ๆ ถูกยกเลิกเพราะเที่ยวบินไม่เปิดบริการ 

ทางภาคตะวันออก ประชาชนมากกว่า 200,000 คนในหลายรัฐยังคงไม่มีไฟฟ้า แม้ว่าพายุหิมะจะเริ่มสงบลงหลังจากที่พัดพาความหนาวเย็นมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว

พายุหิมะครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในพายุที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งทำให้มีการยกเลิกเที่ยวบินไปแล้วมากกว่า 12,000 เที่ยวตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Flightaware.com 

ที่มา: เอเอฟพี