ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
‘อเมริกัน แอร์ไลนส์ งดให้บริการช่วงสั้น ๆ วันคริสต์มาสอีฟ
ทางอเมริกัน แอร์ไลน์ส พบว่าเป็นปัญหาของระบบที่กระทบต่อการนำเครื่องขึ้นบิน โดยไม่ได้ลงข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม ขณะที่ผู้โดยสารกดดันเพื่อให้มีการชี้แจงเหตุผลที่เครื่องบินล่าช้าในช่วงเวลาสั้น ๆ ของวันอังคาร ขณะที่หุ้นของสายการบินร่วง 0.3% ในการซื้อขายช่วงเช้าวันอังคารที่เกิดเหตุ ก่อนจะปิดบวก 0.58% เมื่อปิดตลาด
ทางองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration – FAA) ระบุในวันอังคารว่าได้รับแจ้งเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นของทางสายการบินแล้ว
อเมริกัน แอร์ไลนส์ ให้บริการเที่ยวบินหลายพันเที่ยวต่อวัน ใน 350 จุดหมายปลายทางใน 60 ประเทศทั่วโลก
ปัญหาขัดข้องนี้ถือเป็นประเด็นด้านเทคนิครอบล่าสุด หลังจากสายการบินต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากปัญหาระบบคลาวด์ Azure ของไมโครซอฟท์ พร้อมทั้งปัญหาด้านซอฟต์แวร์ของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ CrowdStrike เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายกับสายการบินเดลต้า แอร์ไลนส์ อย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์ทีเดียว
ที่มา: รอยเตอร์
สธ.กาซ่าเผย อิสราเอลออกคำสั่งอพยพผู้ป่วยจากรพ.
โรงพยาบาล Indonesian Hospital ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่ทางตอนเหนือของกาซ่า พร้อมทั้งอยู่ในภายใต้แรงกดดันของกองทัพอิสราเอลมานานเกือบ 3 เดือน ต้องอพยพผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ตามคำสั่งของกองทัพกรุงเทลอาวีฟ ที่อ้างว่าชุมชนใกล้เคียงโรงพยาบาลเป็นเป้าหมายของกลุ่มฮามาส แต่ฝั่งปาเลสไตน์กล่าวหาอิสราเอลว่าพยายามสร้างเขตกันชนเพื่อลดจำนวนประชาชนในพื้นที่ตอนเหนือของดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่อิสราเอลออกมาปฏิเสธ
ในพื้นที่อื่น ๆ ของกาซ่า อิสราเอลระดมจู่โจมคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 9 รายเมื่อวันอังคาร อ้างอิงจากทีมแพทย์ปาเลสไตน์
ส่วนในเขตเวสต์แบงก์ กองทัพอิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์ 2 รายในการบุกค้นค่ายผู้อพยพทุลคาร์ม ช่วงเช้าวันอังคาร อ้างอิงจากทางการปาเลสไตน์พร้อมทั้งอิสราเอลที่ยืนยันตรงกัน
อีกปัญหาในกาซ่า คือ การปล้นขบวนรถขนสิ่งของบรรเทาทุกข์โดยแก็งติดอาวุธ ซึ่งอิสราเอลล้มเหลวในการจัดการปัญหานี้ที่เริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ตามรายงานของรอยเตอร์ที่อ้างข้อมูลจากสหประชาชาติพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่อเมริกัน 3 รายที่เกี่ยวข้อง แต่ทางโฆษกกองทัพอิสราเปลปฏิเสธจะให้ความเห็นเมื่อรอยเตอร์ติดต่อสอบถามในเรื่องนี้
มีเนื้อหาบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี พร้อมทั้งรอยเตอร์
ได้เวลาอาหารเย็น! แวะ ‘ภัตตาคารน้ำแข็ง’ ในฟินแลนด์
ผู้ที่ไปเยือนหมู่บ้านซานตาคลอส ในเมืองโรวาเนียมิ ของฟินแลนด์ ต่างมาสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารมื้อค่ำในอุณหภูมิต่ำติดลบ ที่บนโต๊ะอาหารคงไม่มีเมนูจานด่วนจานร้อนหรือสลัดอยู่ในรายการอย่างแน่นอน
หมู่บ้านซานตาคลอส ถือเป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนฟินแลน์ในช่วงคริสต์มาสต้องไปแวะเวียนกันทุกปี โดยสวนสนุกธีมฤดูหนาวแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ห่างออกไปราว 7 กิโลเมตรทางตอนเหนือของเมืองโรวาเนียมิ ที่เป็นบ้านเกิดของซานตาคลอส
นอกเหนือจากการสัมผัสหิมะหนา นั่งรถลากเลื่อนกวางเรนเดียร์ หรือพบกับนักบุญนิโคลัสด้วยตนเองแล้ว ผู้ที่อยากเจอประสบการณ์หนาวจัดอีกขั้น สามารถไปเยือนภัตตาคารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกโซนสโนว์แมนเวิลด์ ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งแกะสลักพร้อมทั้งหิมะปกคลุมอยู่ภายใน
ภัตตาคารน้ำแข็ง ปีนี้มาในธีมซาฟารี มีทั้งลิงบาบูน นกแก้ว อิกัวนา พร้อมทั้งสัตว์ต่าง ๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการแกะสลักสิ่งของประดับภายในจากหิมะพร้อมทั้งน้ำแข็ง พร้อมทั้งต้องควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกินกว่า 0 องศาเซลเซียส
ผู้ที่แวะเวียนลิ้มลองอาหารร้านนี้ จะต้องสวมใส่ชุดที่ป้องกันความหนาวเย็นอย่างเต็มที่ เพราะต้องนั่งบนโต๊ะที่แกะสลักด้วยน้ำแข็ง พร้อมทั้งใช้ส้อมมีดที่ทำจากโลหะในการรับประทาน ขณะที่ผู้ที่มาทานอาหารที่นี่จะเป็นแบบอาหารคาว 3 จาน พร้อมทั้งใช้เวลาดื่มด่ำอาหารเหล่านี้ไม่นานเท่ากับภัตตาคารทั่วไป คือประมาณ 1-1.30 ชั่วโมงเท่านั้น ก่อนที่ลูกค้าจะเริ่มรู้สึกว่าหนาวเกินไปในสภาวะอากาศ -30 องศาเซลเซียส
ส่วนเมนูของทางร้านเป็นอาหารท้องถิ่นในโรวาเนียมิ มีทั้ง ซุปครีมแซลมอน เนื้อกวางเอลก์ หรือเนื้อกวางเรนเดียร์อบ แซลมอนตุ๋น เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเมนูอย่างสลัดผัดหรือมันฝรั่งทอดแต่อย่างใด เพราะเชฟเผยว่าอาหารเหล่านี้ไม่สามารถทนต่อสภาวะอากาศหนาวจัดได้ ยกตัวอย่างเช่น เฟรนช์ฟรายส์ที่หากวางเสิร์ฟไปได้ 3 นาทีก็เย็นหมดแล้ว พร้อมทั้งเมนูที่มีจะเป็นอาหารรสเข้มข้น เช่นซุปครีมพร้อมทั้งพาสต้า
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบของหวาน ทางร้านมีเค้กสปันจ์จัดเสิร์ฟบนจานน้ำแข็งให้โดยเฉพาะ พร้อมกับเตือนว่าไม่ต้องอร่อยถึงขั้นชิมจานไปด้วยเพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้
ผู้ที่มาเยือนภัตตาคารน้ำแข็งแห่งนี้ต่างแชร์ประสบการณ์กับเอพี อย่างอเล็กซานเดอร์ ที่เดินทางมาจากมอลโดวา บอกว่า “มันยอดเยี่ยมมาก มันหนาวดี แต่ยอดเยี่ยม” พร้อมทั้งว่าเขาชอบประสบการณ์ที่ร้านนี้อย่างยิ่ง
ส่วนวิโอเล็ตต์ แฟลน จากฝรั่งเศส บอกว่า “มันหนาวมาก ทั้งโต๊ะ เก้าอี้น้ำแข็ง แต่เป็นสิ่งที่เจ๋งมาก ๆ ”
เมืองโรวาเนียมิ ที่ถูกทำลายเกือบทั้งหมดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ในฐานะบ้านเกิดของซานตาคลอส พร้อมทั้งการคงความเป็นธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายไปมาก สภาวะอากาศในช่วงฤดูหนาวพร้อมทั้งคริสต์มาสที่ดูมีมนต์ขลัง จึงถือเป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากมาเยือน
หลังฟื้นตัวจากช่วงการระบาดใหญ่ เมืองโรวาเนียมิ ต้อนรับนักท่องเที่ยวทำสถิติใหม่ที่ 1.2 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากปี 2022 พร้อมทั้งในปีนี้สนามบินโรวาเนียมิเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศมาอีก 13 เที่ยว ทั้งจากเจนีวา เบอร์ลิน บอร์โด พร้อมทั้งอีกหลายเมือง ทำให้คาดหมายว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่นักท่องเที่ยวมาเยือนจนทำสถิติใหม่อีกปีเช่นกัน
ที่มา: เอพี
พนักงานสตาร์บัคส์ 300 สาขาทั่วสหรัฐฯ หยุดงานประท้วงวันคริสต์มาสอีฟ
ทางสหภาพ Starbucks Workers United ที่เป็นตัวแทนของพนักงานสตาร์บัคส์ 525 สาขาทั่วอเมริกา เผยกับรอยเตอร์ว่า มีมากกว่า 290 สาขาในอเมริกาที่ “ปิดให้บริการทั้งหมด” พร้อมทั้งกว่า 300 สาขาที่มีพนักงานร่วมประท้วง ใน 45 รัฐทั่วประเทศ ในวันคริสต์มาสอีฟ พร้อมทั้งคาดว่าจะเป็นการประท้วงใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับแฟรนไชส์กาแฟดังในอเมริกาแห่งนี้
ทางสหภาพ เริ่มต้นประท้วงเป็นเวลา 5 วัน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หลังจากการหารือระหว่างสตาร์บัคส์พร้อมทั้งสหภาพเผชิญกับทางตัน
แถลงการณ์ของสหภาพฯ พบว่า “การประท้วงเหล่านี้เป็นการแสดงพลังในช่วงแรกเริ่ม พร้อมทั้งเราเพิ่มเริ่มต้นเท่านั้น” พร้อมเรียกร้องให้พนักงานสาขาต่าง ๆ ใน 12 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ รวมทั้งนิวยอร์ก ลอส แองเจลิส บอสตัน พร้อมทั้งซีแอตเติล ออกมาเดินขบวน เพื่อเรีกยร้องให้สตาร์บัคส์แก้ปัญหาเรื่องค่าแรง จำนวนพนักงาน พร้อมทั้งตารางงาน
ขณะที่สตาร์บัคส์ ที่มีสาขาให้บริการมากกว่า 10,000 สาขาในสหรัฐฯ ระบุในวันอังคารเช่นกันว่า 98% ของสาขาต่าง ๆ ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ พร้อมทั้งมีราว 170 สาขาที่ปิดทำการในวันเดียวกันนี้ พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกับรอยเตอร์เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจจากการประท้วงครั้งนี้ แต่ได้ระบุไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผลกระทบจากการประท้วงจะ “มีอย่างจำกัด”
เมื่อต้นเดือนธันวาคม สหภาพแรงงานของพนักงานสตาร์บัคส์ ปฏิเสธข้อเสนอการรับประกันว่าจะปรับขึ้นค่าแรง 1.5% ในอีกหลายปีข้างหน้า โดยไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงให้พนักงานโดยทันที ซึ่งทางสหภาพฯ ชี้ว่า สตาร์บัคส์ยังไม่ได้ให้ “ข้อเสนอด้านเศรษฐกิจที่จริงจัง” แก่พนักงานแต่อย่างใด
ขณะที่สตาร์บัคส์ พบว่า “พร้อมที่จะหารือเมื่อสหภาพกลับมาเจรจาต่อรองกันอีกครั้ง” พร้อมทั้งอ้างว่าตัวแทนสหภาพยุติการเจรจาต่อรองกับบริษัทเสียเอง
ที่มา: รอยเตอร์
มองย้อนสัมพันธ์จีน-อินเดีย 2024: หอกข้างแคร่ หรือมิตรแท้ทางเศรษฐกิจ
ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนของจีนพร้อมทั้งอินเดียความยาว 3,488 กม. บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ปะทุขึ้นเมื่อปี 2020 เมื่อเกิดการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ทำให้ทหารอินเดียจบชีวิต 20 คน พร้อมทั้งทหารจีนจบชีวิต 4 คน
หลังจากนั้น ทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางบรรเทาความขัดแย้งนี้ผ่านการเจรจาทางการทูต รวมทั้งการพบกับเมื่อเดือนตุลาคม ระหว่างประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี นอกรอบจากการประชุมกลุ่ม BRICS ที่รัสเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย สุพรหมณยัม ชัยศังกระ กล่าวต่อรัฐสภาในเดือนนี้ว่า การถอนทหารของสองประเทศออกจากแนวพรมแดนที่ติดกันในแถบเทือกเขาหิมาลัย ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของจีนพร้อมทั้งอินเดียกลับสู่เส้นทางที่ดีขึ้น แต่ยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนดังกล่าวเอาไว้
รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย บอกว่า “การรักษาสันติภาพพร้อมทั้งความสงบบริเวณพรมแดนถือเป็นเงื่อนไขแรกก่อนที่จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองประเทศ”
แม้ทหารจีนพร้อมทั้งอินเดียต่างยอมถอยออกมาจากการประจันหน้าตรงชายแดน แต่ยังคงมีกำลังพลหลายหมื่นคนที่ประจำการในแถบเทือกเขาหิมาลัยตลอดห้าปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับปืนใหญ่พร้อมทั้งเครื่องบินรบไอพ่นที่ยังเตรียมพร้อมไม่ไกลจากแนวชายแดน
ศาสตราจารย์สวาราน ซิงห์ แห่งภาควิชาการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยชวาหะร์ลาล เนห์รู ในกรุงนิวเดลี บอกว่า “บรรยากาศบริเวณชายแดนนั้นตึงเครียดมาตลอดสี่ปี การเปลี่ยนให้เป็นความสงบนั้นต้องใช้มาตรการเชิงโครงสร้างทั้งในการปฏิบัติ ขวัญกำลังใจพร้อมทั้งจิตวิทยา ซึ่งล้วนต้องอาศัยเวลา”
การเจรจาระดับสูงทางการทูตเพื่อหารือข้อพิพาทนี้มีขึ้นอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในการประชุมของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ พร้อมทั้งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย อาจิต โดวัล ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันร่วมหาแนวทางจัดการความขัดแย้งนี้อย่าง “ยุติธรรม สมเหตุสมผล พร้อมทั้งยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย”
นอกจากนี้ ยังตกลงกันที่จะยินยอมให้ผู้แสวงบุญจากอินเดียสามารถเดินทางไปยังทิเบตได้ รวมทั้งฟื้นฟูการค้าข้ามพรมแดนผ่านช่องเขาในแถบนั้นด้วย
ศาสตราจารย์สวาราน ซิงห์ ชี้ว่า “ประเด็นตามแนวพรมแดนเป็นสิ่งที่อินเดียต้องการแก้ไขจัดการเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มขยายการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับจีน”
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
แม้ยังคงมีการขัดแย้งด้านการทหาร แต่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของจีนพร้อมทั้งอินเดียกลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยอินเดียนั้นต้องการเพิ่มการนำเข้าจากจีนเพื่อยกระดับอินเดียให้เป็นศูนย์กลางการผลิตในเอเชีย ในขณะที่จีนก็ต้องการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในอินเดียเช่นกัน
ฮาร์ช แพนท์ รองประธานมูลนิธิ Observer Research Foundation ในกรุงนิวเดลี บอกว่า “แม้ความสัมพันธ์ทางการเมืองอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของประเทศกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งดูเหมือนอินเดียได้เปิดรับสินค้าจีนมากขึ้นในบางอุตสาหกรรม”
ถ้าหากว่า นอกจากประเด็นข้อพิพาทตามแนวพรมแดน อินเดียยังคงมีความกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของจีนในทหาสมุรอินเดีย ซึ่งรวมถึงการสร้างท่าเรือในศรีลังกา ปากีสถาน พร้อมทั้งเมียนมา
ในในเวลาเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่าอินเดียจะยังคงกระชับสัมพันธ์กับขั้วชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ต่อไปด้วยเพื่อคานอำนาจของจีน
ฮาร์ช แพนท์ มองว่า “ทั้งอินเดียพร้อมทั้งสหรัฐฯ ต่างมุ่งหวังสร้างเครือข่ายภูมิยุทธศาสตร์แบบเฉพาะในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งการมีเสรี สมดุล ครอบคลุม เปิดกว้างพร้อมทั้งยุติธรรม ซึ่งแนวคิดนี้จะยังคงทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ) เดินหน้าต่อไป”
ปัจจุบัน อินเดียกับสหรัฐฯ ร่วมมือกันในหลายด้าน ตั้งแต่การทหารไปจนถึงเทคโนโลยีระดับสูง พร้อมทั้งอเมริกายังเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอินเดียด้วย
โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ได้บอกกล่าวกับนิตยสารการต่างประเทศ ‘India’s World’ เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ความสัมพันธ์ของอินเดียพร้อมทั้งสหรัฐฯ นั้น “ยิ่งใหญ่พร้อมทั้งสำคัญ” พร้อมทั้งจะแน่นแฟ้นต่อไปแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความเห็นแตกต่างกันในบางเรื่องก็ตาม
ที่มา: วีโอเอ
เกาหลีใต้เผยเปียงยางเตรียมส่งทหาร-อาวุธ ให้รัสเซียเพิ่ม
แถลงการณ์ของประธานผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมของเกาหลีใต้ พบว่า อาวุธที่จะส่งไปเพิ่มนั้นรวมถึงโดรนพิฆาต โดยก่อนหน้านี้ทางเกาหลีเหนือได้ส่งเครื่องยิงจรวดขนาด 240 มม. พร้อมทั้งปืนใหญ่ลำกล้อง 170 มม. ให้แก่กองทัพรัสเซียไปแล้ว
นอกจากนี้ ทั้งเกาหลีใต้ สหรัฐฯ พร้อมทั้งยูเครน ต่างรายงานตรงกันว่า รัฐบาลกรุงเปียงยางได้จัดส่งทหาร 12,000 คนไปช่วยทำการสู้รบในรัสเซีย