ราคาทองวันนี้ล่าสุด 26 ธ.ค. 65 เปิดตลาดเช้าวันจันทร์ ปรับขึ้น 50 บาท

“ราคาทองวันนี้” เปิดตลาดเช้าวันจันทร์ที่ 26 ธ.ค. ราคาปรับขึ้น 50 บาท สำหรับราคา “ทองคำแท่ง” ขายออกบาทละ 29,650 บาท ส่วนราคา “ทองรูปพรรณ” ขายออกบาทละ 30,150 บาท

ตรวจสอบรถยนต์แบบง่ายๆ ขับรถทางไกลอย่างไรให้ปลอดภัยช่วงวันหยุดยาว

รวมข้อควรระวังในการขับรถทางไกล ตั้งแต่การเตรียมเครื่องยนต์ ยางรถยนต์ พร้อมทั้งสติของผู้ขับขี่

คึกคัก นิวคันทรี่ บุกเยี่ยมชมการคัดแยกไปรษณียบัตรทายผลบอลโลก 2022 (คลิป)

หลังจากที่แฟนๆ ได้รู้ผลฟุตบอลโลก 2022 กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า อาร์เจนตินา เป็นผู้ที่คว้าแชมป์ในปีนี้ไป

ชาวยูเครนบางส่วนเลี่ยงทำตามรัสเซีย เปลี่ยนวันฉลองคริสต์มาสเป็น 25 ธ.ค.

เดิมทีประชาชนส่วนใหญ่ในยูเครนต่างฉลองคริสต์มาสในวันที่ 7 มกราคม ตามธรรมเนียมของศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ซึ่งเป็นศาสนาทางการในยูเครน เช่นเดียวกับชาวรัสเซียส่วนใหญ่ แต่ในปีนี้มีชาวยูเครนจำนวนมากที่เปลี่ยนไปเฉลิมฉลองคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมแทน

ชาวยูเครนบางส่วนที่นับถือนิกายออร์ธอด็อกซ์พร้อมทั้งต่อต้านสงคราม ต่างเดินทางไปโบสถ์ในวันที่ 25 ธันวาคมนี้เพื่อร่วมทำพิธีเนื่องในวันคริสต์มาสเช่นเดียวกับชาวคริสต์ในหลายประเทศทั่วโลก แม้ก่อนหน้านี้ ชาวยูเครนต่างไม่เชื่อว่าวันที่ 25 ธ.ค.เป็นวันประสูติของพระเยซูเจ้า 

เสียงไซเรนเตือนภัยยังคงดังต่อเนื่องในหลายเมืองใหญ่ของยูเครน แต่ชาวยูเครนจำนวนมากยังคงเดินทางไปที่โบสถ์เพื่อร่วมทำพิธีในวันสำคัญทางศาสนาในเช้าวันอาทิตย์นี้เป็นครั้งแรก

ทางด้านโบสถ์ออร์ธอด็อกซ์แห่งรัสเซีย (The Russian Orthodox Church) ซึ่งอ้างสิทธิควบคุมเหนือผู้นับถือนิกายออร์ธอด็อกซ์ในยูเครนด้วยนั้น ยังคงใช้ปฏิทินจูเลียนโบราณซึ่งอ้างว่าวันประสูติของพระเยซูนั้นมีขึ้นหลังจากวันที่ 25 ธ.ค. ไปอีก 13 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป ต่างจากปฏิทินแบบเกรกอเรียนที่ผู้นำศาสนาคริสต์ในนิกายอื่นยึดถือกัน 

เมื่อเดือนตุลาคม ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ในยูเครนต่างตกลงที่จะทำพิธีวันคริสต์มาสในเดือนธันวาคม ภายใต้แรงจูงใจทางการเมืองที่ต้องการแยกเป็นอิสระจากโบสถ์ออร์ธอด็อกซ์ในรัสเซีย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ หมู่บ้านแห่งหนึ่งชานกรุงเคียฟ ลงมติให้เปลี่ยนวันฉลองคริสต์มาสเป็นวันที่ 25 ธ.ค. อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสำหรับชาวยูเครนบางคน การเปลี่ยนวันฉลองคริสต์มาสนี้คือสัญลักษณ์ของการแยกออกจากรัสเซียอย่างชัดเจนทั้งทางศาสนาพร้อมทั้งวัฒนธรรม 

ที่มา: เอพี

ปูตินยืนยัน! รัสเซียพร้อมเจรจากับยูเครนเพื่อยุติสงคราม

ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ของรัสเซียซึ่งออกอากาศในวันอาทิตย์ พบว่า รัสเซียพร้อมเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครน แต่เป็นทางยูเครนพร้อมทั้งชาติตะวันตกที่ปฏิเสธการเจรจาดังกล่าว

ปูตินได้บอกกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 1 ของทางการรัสเซียว่า “เราพร้อมที่จะเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้เงื่อนไขที่ยอมรับได้ แต่นั่นขึ้นอยู่กับพวกเขา เราไม่ใช่ฝ่ายที่ปฏิเสธการเจรจา” 

ผู้นำรัสเซียยืนยันด้วยว่า ตนทำถูกต้องแล้วในยูเครนเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของรัสเซียพร้อมทั้งประชาชนรัสเซีย เนื่องจากชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ พยายามที่จะแบ่งแยกรัสเซียเป็นหลายส่วน โดยปูตินพบว่า “ไม่มีทางเลือกอื่น” นอกจากการปกป้องประชาชน 

พร้อมทั้งเมื่อถูกถามว่า ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์กับชาติตะวันตกในขณะนี้กำลังก้าวไปสู่ระดับอันตรายแล้วหรือไม่ ปูตินตอบว่า “ไม่คิดว่าจะอันตรายมากนัก” 

ก่อนหน้านี้ วิลเลียม เบินส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ความขัดแย้งส่วนใหญ่ยุติลงได้ด้วยการเจรจา แต่ซีไอเอประเมินแล้วว่ารัสเซียมิได้จริงจังในการต่อรองเพื่อยุติสงครามครั้งนี้

ทางด้าน มีไคโล โพโดลยัก ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี บอกว่า รัสเซียเองที่เป็นฝ่ายบุกจู่โจมนพร้อมทั้งสังหารประชาชนยูเครน พร้อมทั้งว่า ปูตินจำเป็นต้องกลับสู่ความจริงที่ว่ารัสเซียเองที่เป็นฝ่ายไม่ต้องการเจรจาพร้อมทั้งพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ

ปธน.ปูติน ยังได้ตอบการสัมภาษณ์ว่า ชาติตะวันตกเริ่มสร้างความขัดแย้งในยูเครนเมื่อปี 2014 ด้วยการขับไล่ประธานาธิบดียูเครนผู้สนับสนุนรัสเซีย ลงจากตำแหน่ง หลังจากนั้นรัสเซียจึงได้เดินหน้าควบรวมแคว้นไครเมียจากยูเครน พร้อมทั้งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครนที่รัสเซียให้การสนับสนุนก็เริ่มการต่อสู้ครั้งใหญ่ทางภาคตะวันออกของยูเครน 

ปูตินบอกว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน” คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดของรัสเซียเพื่อต่อต้านชาติตะวันตกที่พยายามบ่อนทำลายรัสเซียมาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียตล่มสลาย

ผู้นำรัสเซียประกาศด้วยว่า รัสเซียคือ “ประเทศที่มีเอกลักษณ์” ที่ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่พร้อมทุ่มเททุกอย่างพร้อมทั้งร่วมมือร่วมใจกันปกป้องมาตุภูมิของพวกเขา 

ที่มา: รอยเตอร์

โป๊ปฟรานซิสส่งสารวันคริสต์มาส ภาวนาเพื่อยูเครน-ยุติความหิวโหยทั่วโลก

พระสันตะปาปาฟรานซิสเทศนาต่อคริสตศาสนิกชนในวันอาทิตย์จากวิหารเซนต์ปีเตอร์ส สำนักวาติกัน โดยตรัสถึงสงครามในยูเครนว่า “ไร้เหตุผล” พร้อมเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งในครั้งนี้

โป๊ปฟรานซิสตรัสว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราร่วมใจอย่างแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียวเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเจ็บปวด พร้อมทั้งทรงสร้างความสว่างในจิตใจของผู้มีอำนาจในการกลบเสียงดังสนั่นของอาวุธต่าง ๆ พร้อมทั้งยุติสงครามที่ไร้เหตุผลนี้ในทันที” 

ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เตือนว่า สงครามที่กินเวลานาน 10 เดือนแล้วนี้กำลังทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารทั่วโลก พร้อมทั้งทรงขอให้ยุติการใช้ “อาหารเป็นอาวุธ”

พระสันตะปาปายังทรงขอให้ทั่วโลกจดจำเด็ก ๆ ผู้หิวโหยในทุกวันนี้เพราะอาหารถูกทิ้งขว้างพร้อมทั้งทรัพยากรต่าง ๆ ถูกทุ่มไปในการทำสงคราม พร้อมชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากสงครามยูเครนที่ทำให้มีผู้อดอยากหิวโหยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอัฟกานิสถานพร้อมทั้งทางภาคตะวันออกของแอฟริกาที่กำลังเผชิญภัยแล้ง

พระองค์ทรงระบุชื่อหลายประเทศที่กำลังเผชิญความยากลำบากในเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ ทั้งจากสงครามพร้อมทั้งความขัดแย้งต่าง ๆ เช่น อัฟกานิสถาน เยเมน ซีเรีย เมียนมา เลบานอน พร้อมทั้งเฮติ นอกจากนี้ยังทรงตรัวเป็นครั้งแรกให้หาทางเข้าสู่กระบวนการ “ปรองดอง” ในอิหร่าน ที่ซึ่งกำลังเกิดการประท้วงใหญ่เพื่อเรียกร้องสิทธิสตรีตลอดสามเดือนที่ผ่านมา

ข้อมูลบางส่วนจากเอพีพร้อมทั้งรอยเตอร์

 

จบชีวิตแล้ว 18 คนจาก ‘พายุเยือกแข็ง’ ปกคลุมทั่วสหรัฐฯ

ชาวอเมริกันหลายล้านคนต่างซุกตัวอยู่ภายในบ้านท่ามกลางอากาศหนาวเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งหลายองศาตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากพายุเยือกแข็งที่พัดผ่านทั่วสหรัฐฯ ซึ่งทำให้มีผู้จบชีวิตแล้วอย่างน้อย 18 คน พร้อมทั้งมีไฟฟ้าดับหลายพื้นที่

สำนักข่าวนานาชาติเอพีรายงานว่า อาณาเขตของพายุเยือกแข็งครั้งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสหรัฐฯ กินพื้นที่ตั้งแต่รัฐภาคเหนือติดกับแคนาดาไปจนถึงชายแดนภาคใต้ติดกับเม็กซิโก โดยมีประชากรอเมริกันราว 60% ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ ในขณะที่อุณหภูมิตั้งแต่ภาคตะวันออกไปจนถึงแถบกลางประเทศลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

สำนักงาน National Weather Service ซึ่งเป็นสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่า ประชาชนมากกว่า 200 ล้านคนในอเมริกา อยู่ในพื้นที่ที่มีคำเตือนเรื่องสภาวะอากาศจากภาวะอากาศหนาวเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากปรากฏการณ์บอมบ์ ไซโคลน (bomb cyclone) ซึ่งเป็นภาวะความกดอากาศลดต่ำอย่างรวดเร็วในพายุที่รุนแรง

เว็บไซต์ FlightAware พบว่า ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ มีเที่ยวบินในประเทศพร้อมทั้งต่างประเทศถูกยกเลิก 1,346 เที่ยว เพิ่มเติมจากวันศุกร์พร้อมทั้งวันเสาร์ที่มีเที่ยวบินถูกยกเลิกไปแล้วหลายพันเที่ยว

ที่นิวยอร์ก ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แคธี โฮคูล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อเช้าวันศุกร์ จากภาวะน้ำแข็ง น้ำท่วม หิมะ พร้อมทั้งอากาศหนาวเย็นเยือกแข็งพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะที่เมืองบัฟฟาโล พายุหิมะผสมลมเฮอริเคนได้ทำให้เกิดหิมะรุนแรงปกคลุมทั่วเมือง รถดับเพลิงไม่สามารถวิ่งได้พร้อมทั้งสนามบินต้องปิดลงชั่วคราว โดยสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติสหรัฐฯ ประเมินว่า มีหิมะหนาราว 109 ซม. ที่สนามบินบัฟฟาโล ไนอะการา อินเทอร์เนชันแนล ในวันอาทิตย์

 

จีนพบผู้ติดไวรัสโคโรน่าวันละ 1 ล้านคนในเจ้อเจียง คาดอีกไม่กี่วันพุ่งเป็น 2 ล้าน

มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใกล้กับนครเซี่ยงไฮ้ กำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 วันละประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จากการเปิดเผยของรัฐบาลส่วนท้องถิ่นเมื่อวันอาทิตย์

ถ้าหากว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ศูนย์ควบคุมพร้อมทั้งป้องกันโรคของจีนพบว่าไม่มีผู้จบชีวิตจากไวรัสโคโรน่า-19 เป็นวันที่ 5 ติดต่อกันจนถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา 

ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดภายใต้นโยบาย “ไวรัสโคโรน่าเป็นศูนย์” เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ทำให้มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำกว่าเดิม

ทั้งนี้ จีนใช้วิธีรายงานตัวเลขผู้จบชีวิตจากไวรัสโคโรน่าเฉพาะผู้ที่มีอาการปอดบวมหรือทางเดินหายใจล้มเหลวเท่านั้น ซึ่งขัดกับการรายงานตัวเลขของประเทศอื่นพร้อมทั้งของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก 

มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งมีประชากรราว 65.4 ล้านคน คือหนึ่งในเขตปกครองที่ใช้วิธีประมาณตัวเลขผู้ติดเชื้อซึ่งรวมถึงผู้ติดเชื้อซึ่งไม่แสดงอาการ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจีนมิได้เปิดเผยข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการแต่อย่างใด 

แถลงการณ์ของรัฐบาลส่วนท้องถิ่นเจ้อเจียงพบว่า “คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในเจ้อเจียงจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดเร็ว ๆ นี้ พร้อมทั้งประเมินว่าในช่วงวันปีใหม่อาจจะมีผู้ติดเชื้อถึงวันละ 2 ล้านคน” โดยขณะนี้มีผู้ติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลราว 13,500 คน พร้อมทั้งมี 1 คนที่มีอาการป่วยหนักจากไวรัสโคโรน่า ส่วนอีก 242 คนมีอาการป่วยสืบเนื่องจากโรคประจำตัวหลังจากติดไวรัสโคโรน่า

เจ้าหน้าที่เผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีประชาชนไปใช้บริการคลินิกวัดไข้ทั่วเจ้อเจียงวันละมากกว่า 400,000 คน มากกว่าระดับปกติ 14 เท่า ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขในมณฑลนี้พร้อมทั้งอีกหลายพื้นที่ทั่วประเทศกำลังต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลจากผู้ที่มาขอใช้บริการ

สื่อของทางการจีนรายงานว่า บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ พร้อมทั้งมีการเรียกตัวผู้ที่เกษียณไปแล้วให้ช่วยกลับมาทำงานในช่วงนี้จนถึงช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง

ในเวลาเดียวกัน รายงานวิจัยของ Capital Economics ชี้ว่า “จีนกำลังเข้าสู่ช่วงสัปดาห์อันตรายที่สุดของการระบาดใหญ่” “ทางการจีนแทบมิได้ใช้ความพยายามในการชะลอการระบาด ในขณะที่การแห่เดินทางกลับบ้านทั่วประเทศในช่วงเทศกาลตรุษจีนกำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าพื้นที่ที่ยังไม่มีการระบาดใหญ่อาจจะเริ่มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้”

ที่มา: รอยเตอร์

 

กระเทาะใจ วิถีเจน Z: ‘เที่ยวตอนนี้-ทำงานทีหลัง’ จริงหรือ?

เจเนอเรชัน Z หรือคนเจน Z ซึ่งเกิดในช่วงระหว่างปี 1997-2012 ได้รับการจับตามองอย่างมากจากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า โดยเจน Z ที่อายุมากที่สุดตอนนี้กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่พร้อมทั้งกำลังแรงงานสำคัญในอนาคต แต่หลายคนในรุ่นนี้มองว่า การเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบเดิม ๆ อย่างการมีงานทำที่มั่นคงพร้อมทั้งมีบ้านเป็นของตนเองนั้นอาจไม่ใช่แนวทางของพวกเขาเลย

อิสซาเบลล์ ลิบลีน วัย 23 ปี ซึ่งเป็นคนเจน Z หรือ Zoomer รุ่นแรก เปิดเผยเรื่องราวของเธอบน TikTok เกี่ยวกับการตัดสินใจระหว่างที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2021 เทเงินเก็บที่มีทั้งหมดพร้อมทั้งออกไปใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปใน 19 ประเทศยุโรป ซึ่งมีผู้ติดตามเธอบนแพลตฟอร์มดังกล่าวหลายพันคน พร้อมทั้งเธอสนับสนุนให้ทุกคนทำตามเส้นทางนี้เหมือนกัน โดยเธอบอกว่า “เดี๋ยวก็หาเงินใหม่ได้ แต่เราไม่อาจกลับมาเที่ยวตอนอายุ 20 ได้อีกแล้ว”

ลิบลีน ที่จบปริญญามาหมาด ๆ พร้อมทั้งทำงานเป็นวิศวกรไอที บอกกับวีโอเอว่า เธอให้ความสำคัญหลักไปกับการท่องเที่ยวไม่ใช่การเติบโตในอาชีพ

ลิบลีน บอกว่า “การท่องเที่ยว ได้สัมผัส 19 ประเทศที่แตกต่างในยุโรป เปลี่ยนมุมมองของฉันไป ฉันตั้งใจว่าจะเลือกทำงานที่ได้ออกไปทำงานทุกวัน วันละหลายชั่วโมง แต่ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนความคิดนั้น พร้อมทั้งลาออกไปทำงานที่มีสมดุลระหว่างที่ทำงานพร้อมทั้งการใช้ชีวิต พร้อมทั้งหวังว่าจะเป็นงานทำทางไกลได้ด้วย”

ส่วนรุ่นเจน Z อีกคน คาเมรอน เวด นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัย Michigan University วัย 21 ปี หวังว่าจะรวมการท่องเที่ยวพร้อมทั้งทำงานไปด้วยกัน พร้อมทั้งเชื่อว่าอินเตอร์เน็ตจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานพร้อมทั้งทำธุรกิจในอนาคต

เวด บอกว่า “อินเตอร์เน็ตมีบทบาทใหญ่ต่อคนรุ่นเราอย่างมาก เหมือนว่าเรามีทางในการเข้าถึงผู้คนกว้างขวางขึ้นได้จากที่บ้านของเราเอง”

เหล่า Zoomer ต่างแสดงมุมมองถึงการใส่ใจดูแลตัวเองพร้อมทั้งสิ่งที่สำคัญกับชีวิตของพวกเขาเป็นสำคัญ ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ

ลิบลีน บอกว่า “พ่อแม่ของฉันให้ความเห็นกับงานแรกที่ฉันทำพร้อมทั้งเกลียดมันเอามาก ๆ ว่าให้ทนทำไปก่อน พร้อมทั้งไต่เต้าขึ้นไป บางทีอีกสามปีลูกจะได้สิ่งที่ต้องการนะ! แต่คนรุ่นเราไม่ต้องการมาเสียเวลา เราไม่รู้สึกภักดีกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ไม่รองรับความต้องการของเรา”

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยพิว พบว่า เหล่า Zoomer เป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษามากที่สุด โดยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยราว 57% เมื่อเทียบกับคนมิลเลเนียล 52% พร้อมทั้งคนเจน X 43% ที่เลือกจะร่ำเรียนระดับอุดมศึกษา

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายปรากฎการณ์ดังบอกว่า คนรุ่นใหม่ต้องการประสบการณ์การทำงานที่ไม่เหมือนแบบดั้งเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมทั้งว่าประสบการณ์ในช่วงวัยหนุ่มสาวจะช่วยเติมเต็มชีวิตของพวกเขาในระยะยาวได้

แคสซี โฮล์มส นักสังคมวิทยา จาก UCLA Anderson School of Management เปิดเผยกับวีโอเอว่า “การวิจัยพบว่าคนกลุ่มนี้ลงทุนไปกับประสบการณ์ที่มอบความสุขให้มากกว่าทุ่มเงินไปกับสิ่งของราคาแพง พร้อมทั้งยังพบว่าสิ่งนี้ไม่ได้แค่ให้ผลในระยะสั้น แต่การซื้อประสบการณ์จะให้ผลด้านความสุขที่มากกว่าพร้อมทั้งยังให้ผลดียาวนานกว่า

ทั้งนี้ กลุ่มเจน Z จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังแรงงานมากกว่า 25% ในตลาดแรงงานอเมริกัน ภายในปี 2025

ที่มา: วีโอเอ

การศึกษาชี้ มนุษย์ยุคหินคบเพื่อนบ้านใกล้กัน-ผู้หญิงเป็นฝ่ายออกเรือน

การศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ยุคหินนีแอนเดอร์ทาลได้ก่อตั้งชุมชนเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน ในขณะที่ผู้หญิงอาจจะเป็นฝ่ายย้ายไปอยู่กับคู่ของตนมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว

การวิจัยดังกล่าวใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรมเพื่อเสนอแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของมนุษย์ยุคหินนีแอนเดอร์ทาล ซึ่งรวมถึงดีเอ็นเอของมนุษย์ผู้เป็นพ่อพร้อมทั้งลูกสาวที่อาศัยอยู่ในไซบีเรียเมื่อกว่า 50,000 ปีก่อน

นักวิจัยสามารถดึง DNA ออกจากชิ้นส่วนกระดูกเล็ก ๆ ที่พบในถ้ำสองแห่งของรัสเซียได้ ในการศึกษาของพวกเขาที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Nature ได้มีการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อสร้างแผนผังความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นีแอนเดอร์ทาล 13 คน พร้อมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของพวกเขา

เบนเซ วิโอลา (Bence Viola) จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนการศึกษานี้บอกว่า “ในขณะที่กำลังศึกษากระดูกหนึ่งหรือสองชิ้น จะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะลืมว่ากระดูกนั้น ๆ เป็นของคนที่มีชีวิตพร้อมทั้งมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง” พร้อมทั้งว่า “การพยายามศึกษาว่ากระดูกเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ทำให้รู้สึกว่ากระดูกมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น”

นีแอนเดอร์ทาลซึ่งเป็นวงศาคณาญาติของมนุษย์เราในสมัยโบราณ อาศัยอยู่ทั่วทวีปยุโรปพร้อมทั้งเอเชียเป็นเวลาหลายแสนปี จากนั้นก็สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 40,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาไม่นานหลังจากที่เผ่าพันธุ์ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) ของมนุษย์เรา เดินทางจากแอฟริกามาถึงยุโรป

นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะสามารถศึกษา DNA ของมนุษย์ในยุคแรก ๆ เหล่านี้ได้เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้ชนะรางวัลโนเบลคนใหม่ สวอนเต พาเอโบ (Svante Paabo) ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนของการศึกษาฉบับล่าสุดนี้ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาครั้งแรกของจีโนมมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว

ลอริทส์ สกอฟ (Laurits Skov) จากสถาบัน Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology ซึ่งเป็นหัวหน้าในการเขียนรายงานบอกว่า ตั้งแต่เป็นต้นนั้นมา นักวิทยาศาสตร์ก็ได้จัดลำดับจีโนมของมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลทั้ง 18 คน

ถ้าหากว่า เป็นเรื่องยากที่จะพบกระดูกจากมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลหลาย ๆ คนจากช่วงเวลาพร้อมทั้งสถานที่เดียวกัน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้การค้นพบถ้ำเหล่านี้มีความพิเศษมาก ซึ่งสกอฟบอกว่าอาจจะเป็นชุมชนของมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลก็เป็นได้

วิโอลา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต บอกว่า ถ้ำเหล่านี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือแม่น้ำในหุบเขา เป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ตั้งแต่เครื่องมือหินไปจนถึงชิ้นส่วนฟอสซิล ซึ่งมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลอาจใช้ถ้ำเป็นจุดล่าสัตว์ พร้อมทั้งว่า นักวิจัยที่เข้าไปขุดในถ้ำพบซากมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลอย่างน้อย 12 คน ซากเหล่านี้มักจะถูกพบแบบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เช่นกระดูกนิ้วมือ หรือกระดูกฟัน แต่ก็เพียงพอสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถเก็บข้อมูลดีเอ็นเอที่จำเป็นต่อการศึกษาได้

ทั้งนี้ นักวิจัยสามารถระบุเครือญาติในกลุ่มของกระดูกที่ทำการศึกษาได้ รวมถึงพ่อพร้อมทั้งลูกสาวพร้อมทั้งญาติอีกสองคนด้วย

โดยรวมแล้ว จากการศึกษาพบว่ากระดูกของมนุษย์ยุคหินทุกคนในกลุ่มมี DNA ที่เหมือนกันจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยในบริเวณนี้ มนุษย์นีแอนเดอร์ทาลเคยอาศัยอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ ที่มีคน อยู่ 10 ถึง 20 คน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนในกลุ่มเหล่านี้จะอยู่ด้วยกันเสมอไป

นอกจากนี้แล้ว นักวิจัยยังศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมอื่น ๆ จาก DNA ไมโตคอนเดรียซึ่งส่งต่อไปยังฝ่ายมารดา พร้อมทั้งโครโมโซม Y ซึ่งส่งต่อไปยังฝ่ายบิดา

สกอฟบอกว่า ฝ่ายหญิงมีความแตกต่างทางพันธุกรรมมากกว่าฝ่ายชาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงอาจย้ายถิ่นฐานไปมามากกว่าผู้ชาย เป็นไปได้ว่าเมื่อมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลเพศหญิงพบคู่ครอง เธอจะออกจากบ้านเพื่อไปอยู่กับครอบครัวของเขา

จอห์น ฮ็อคส์ (John Hawks) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษานี้บอกว่า การวิจัยนี้เป็นการใช้หลักฐานดีเอ็นเอโบราณได้อย่างน่าตื่นเต้น แม้ว่าจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมพร้อมทั้งวิถีชีวิตของมนุษย์ยุคหินนีแอนเดอร์ทาลก็ตาม

ถ้าหากว่า การศึกษาว่ามนุษย์ในยุคแรก ๆ มีชีวิตอยู่อย่างไรนั้น เปรียบเสมือนกับ “การไขปริศนาที่นำเอาชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นปะติดปะต่อกัน” แต่การศึกษานี้หมายความว่าจำเป็นต้องมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมมากขึ้น

ที่มา: เอพี