“ตรีนุช” จี้สรรหา อ.ก.ค.ศ.ห้ามเล่นพวก

ในส่วนของการสรรหาอนุกรรมการข้าราชการครูพร้อมทั้งบุคลากรทางการศึกษานั้น เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้มีการปิดรับการเสนอชื่อพร้อมประวัติครู ผู้บริหารสถานศึกษา พร้อมทั้งบุคลากรทางการศึกษาอื่นไปแล้ว

สั่นสู้คริสต์มาส! พายุฤดูหนาวถล่มสหรัฐฯ กระทบ 200 ล้านชีวิต

ชาวอเมริกันนับล้านชีวิตต้องเผชิญกับอากาศหนาวเข้ากระดูก พายุหิมะถล่ม ไฟฟ้าดับ พร้อมทั้งต้องยกเลิกการรวมตัวเลี้ยงฉลองในวันศุกร์ เนื่องจากพายุฤดูหนาวที่คาดการณ์ว่าจะกระทบกับชีวิตประชาชน 60% ของประเทศช่วงสุดสัปดาห์คริสต์มาสนี้ ตามรายงานของรอยเตอร์

 

ทาง National Weather Service ซึ่งเป็นสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่า ประชาชนมากกว่า 200 ล้านคนในอเมริกา อยู่ในพื้นที่ที่มีคำเตือนเรื่องสภาวะอากาศจากภาวะอากาศหนาวเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากปรากฏการณ์บอมบ์ ไซโคลน (bomb cyclone) ซึ่งเป็นภาวะความกดอากาศลดต่ำอย่างรวดเร็วในพายุที่รุนแรง

มีรายงานเหตุไฟฟ้าดับ กระทบกับบ้านเรือนพร้อมทั้งอาคารสำนักงาน 1.4 ล้านแห่ง อ้างอิงจากข้อมูลของเว็บไซต์ PowerOutage ที่ติดตามรายงานปัญหาด้านระบบสาธารณูปโภค ที่รัฐเทนเนสซี ประกาศมาตรการประหยัดพลังงานในแนชวิลล์ พร้อมทั้งเมมฟิส เมื่อวันศุกร์ เพื่อรับมือกับอากาศที่หนาวเย็นจัดในสุดสัปดาห์

เที่ยวบินมากกว่า 4,500 เที่ยวทั้งในพร้อมทั้งออกนอกสหรัฐฯ ยกเลิกเมื่อวันศุกร์ อ้างอิงจากเว็บไซต์ FlightAware ซ้ำเติมนักเดินทางที่จะกลับบ้านไปฉลองเทศกาลวันหยุดกับครอบครัว

ไม่เพียงแค่ในสหรัฐฯ เพราะพายุใหญ่ทำให้สายการบิน WestJet ยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดที่สนามบิน Toronto Pearson International Airport ของแคนาดา เมื่อวันศุกร์ พร้อมทั้งที่เม็กซิโก ผู้อพยพยังปักหลักรอคอยที่พรมแดนสหรัฐฯ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด เพื่อรอคำตัดสินจากศาลสูงสหรัฐฯ ว่าจะยกเลิกมาตรการจำกัดการเข้าเมืองของผู้ลี้ภัยหรือไม่

นอกจากนี้ มีรายงานอุบัติเหตุบนท้องถนนที่แคนซัส ซิตี้ รัฐมิสซูรี มีผู้จบชีวิต 1 คนเมื่อวันพฤหัสบดีจากถนนลื่นหิมะ ที่ชิคาโกมีคนขับรถบาดเจ็บ 1 คนจากเหตุถนนลื่นจนรถพุ่งลงไปในบ่อน้ำ มีรายงานอุบัติเหตุรถพุ่งชนกันหลายคันในรัฐมิชิแกนในวันศุกร์ มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 2 คน

ภายใต้อากาศที่หนาวเย็น ยังมีความอบอุ่นจากผู้คนที่ช่วยเหลือกัน เมื่อนักรณรงค์จำนวนหนึ่งเข้าช่วยเหลือคนไร้บ้าน 170 คนในวันศุกร์ ที่ดีทรอยต์ ให้ได้พักในศูนย์พักพิงในพื้นที่ เช่นเดียวกับที่ชิคาโกที่หน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร สร้างเต็นท์ให้กับคนไร้บ้านในช่วงหน้าหนาวปีนี้ พร้อมทั้งที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ทางการได้เปิดศูนย์พักพิงฉุกเฉิน 5 แห่งรองรับผู้ประสบภัย

สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติสหรัฐฯ คาดการณ์ว่านี่จะเป็นคริสต์มาสที่หนาวเย็นที่สุดในรอบกว่า 20 ปี สำหรับฟิลาเดเฟีย ซึ่งต้องย้ายมาจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในวันศุกร์ทั้งหมด

พายุฤดูหนาวกระทบทั่วทุกหัวระแหง ไม่เว้นแต่ชนเผ่าพื้นเมือง Oglala Sioux Tribe ที่ทางการท้องถิ่นต้องพึ่งพาการขี่ม้าเพื่อลำเลียงสิ่งของจำเป็นไปตามบ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล

ส่วนที่นิวยอร์ก ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แคธี โฮคูล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเช้าวันศุกร์ จากาวะน้ำแข็ง น้ำท่วม หิมะ พร้อมทั้งอากาศหนาวเย็นเยือกแข็งพร้อม ๆ กัน

ที่มา: เอพี

คลอดแล้ว! รายงานสืบสวนเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯ ชี้ ‘ทรัมป์’ เป็นตัวจุดชนวน 

เมื่อวันพฤหัสบดี คณะกรรมการสืบสวนเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เผยแพร่รายงานการสืบสวนฉบับสมบูรณ์ โดยยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีส่วนร่วมใน “การสมคบคิดหลายขั้นตอน” ต่อความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2020  พร้อมทั้งอดีตผู้นำสหรัฐฯ ยังไม่ดำเนินการเพื่อหยุดผู้สนับสนุนของเขาจากการจู่โจมอาคารรัฐสภา ตามรายงานของเอพี  

 

รายงานฉบับนี้เป็นบทสรุปของการสืบสวนนาน 18 เดือน ต่อทรัมป์พร้อมทั้งเหตุจู่โจมดังกล่าว โดยเบนนี ธอมป์สัน ส.ส. สหรัฐฯ จากรัฐมิสซิสซิปปี พร้อมทั้งประธานคณะกรรมการสืบสวน ระบุในรายงานฉบับนี้ว่า ทรัมป์เป็น “ตัวจุดชนวน” เหตุครั้งนี้ 

 

รายงานยาว 814 หน้านี้ ถูกจัดทำหลังคณะกรรมการเก็บข้อมูลจากพยานกว่า 1,000 คน จัดการไต่สวน 10 ครั้ง พร้อมทั้งได้เอกสารมากว่า 1 ล้านหน้า โดยพยานต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งผู้ใกล้ชิดของทรัมป์ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย พร้อมทั้งผู้ก่อเหตุจลาจลบางส่วน บอกว่า ทรัมป์กระทำการโดย “ไตร่ตรองล่วงหน้า” หลายสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุ พร้อมทั้งความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งของทรัมป์มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้สนับสนุนของเขาที่กระทำเหตุรุนแรง 

รายงานฉบับนี้พบว่า ทรัมป์เพียงผู้เดียวเป็นต้นเหตุหลักของเหตุบุกอาคารรัฐสภาดังกล่าว 

 

คณะกรรมการสืบสวนที่ประกอบด้วย ส.ส. สหรัฐฯ จากทั้งพรรคเดโมแครตพร้อมทั้งพรรครีพับลิกัน จำนวนเก้าคนนี้ สรุปว่า เหตุบุกอาคารรัฐสภาเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง พร้อมทั้ง ”ทำให้ชีวิตของสมาชิกสภาตกอยู่ในความเสี่ยง”  

 

ในบทคำแนะนำของรายงานดังกล่าว คณะกรรมการทั้งเก้าคนบอกว่า รัฐสภาสหรัฐฯ ควรพิจารณาห้ามทรัมป์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอนาคต โดยแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวในบทนำของรายงานว่า รายงานฉบับนี้ควรเป็น “กระบอกเสียงถึงชาวอเมริกันทุกคน ให้ปกป้องประชาธิปไตยของเรา พร้อมทั้งลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญเท่านั้น” 

 

รายงานฉบับนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการไต่สวนของคณะกรรมการเป็นส่วนใหญ่ โดยบรรยายถึงแผนการที่ทรัมป์พร้อมทั้งที่ปรึกษาของเขาใช้เพื่อพยายามแก้ผลการเลือกตั้งที่โจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะ โดยทรัมป์กดดันไปยังเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เจ้าหน้าที่ระดับรัฐ รวมไปถึงอดีตรอง ปธน. ไมค์ เพนซ์ เพื่อให้เดินตามแผนดังกล่าว หรือให้ละเมิดกฎหมายไปเลย 

รายงานดังกล่าวเผยว่า ในช่วงสองเดือนระหว่างหลังการเลือกตั้งพร้อมทั้งเหตุบุกอาคารัฐสภาสหรัฐฯ  “ปธน. ทรัมป์ หรือบุคคลที่ใกล้ชิดของเขา มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างน้อย 200 ครั้ง ทั้งในที่สาธารณะพร้อมทั้งเป็นการส่วนตัว  เพื่อเข้าถึง กดดัน หรือประณามสมาชิกสภาระดับรัฐ หรือเจ้าหน้าที่เลือกตั้งระดับรัฐหรือระดับท้องถิ่นให้พลิกผลการเลือกตั้งระดับรัฐ” 

 

คณะกรรมการสืบสวนพบว่า ข้ออ้างของทรัมป์ว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งนั้นตรงกับสิ่งที่ผู้สนับสนุนของเขาคิด พร้อมทั้งมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่แนวคิดดังกล่าว เป็นการโหมกระแสความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลมากขึ้น   

 

รายงานกล่าวต่อว่า ทรัมป์เองยังแทบไม่หยุดผู้สนับสนุนของเขา เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนใช้ความรุนแรงบุกเข้าอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะเลือกตั้งของไบเดน 

รายงานฉบับยาวนี้ถูกเผยแพร่ขณะที่ทรัมป์ตั้งเป้าลงชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง พร้อมทั้งเขากำลังเผชิญการสืบสวนหลายคดีจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ รวมถึงเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ พร้อมทั้งเหตุพบเอกสารชั้นความลับในบ้านพักตากอากาศของเขาที่รัฐฟลอริดา 

 

ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กำลังตกในที่นั่งลำบากทางการเมืองที่สุดนับตั้งแต่เขาชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2016 เนื่องจากคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงคะแนนให้เผยแพร่เอกสารการเสียภาษีของทรัมป์ ซึ่งเขาพยายามเก็บเป็นความลับมาตลอดหลายปี พร้อมทั้งสมาชิกพรรครีพับลิกันยังโทษทรัมป์ว่าเป็นต้นเหตุให้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของพรรคต่ำกว่าที่ควรจะเป็นด้วย 

 

ทางด้านอดีตผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ของเขาว่า รายงานฉบับนี้ “เลือกข้างเป็นอย่างมาก” พร้อมทั้งอ้างว่า รายงานดังกล่าวไม่ได้ระบุคำพูดของเขาในวันเกิดเหตุ ที่เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของเขาประท้วง “รักชาติอย่างสันติ” 

ถ้าหากว่า รายงานฉบับนี้กล่าวถึงคำพูดดังกล่าวของทรัมป์ พร้อมทั้งยังระบุเพิ่มด้วยว่า หลังจากนั้น ทรัมป์ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เท็จของการเลือกตั้ง พร้อมทั้งใช้คำพูดยั่วยุให้ฝูงชน “สู้เต็มพิกัด” 

ที่มา: เอพี 

ระทึก! เกิดเหตุยิงศูนย์ชาวเคิร์ดในปารีส ตาย 3 เจ็บ 3  

ทางการฝรั่งเศสเผยเมื่อวันศุกร์ว่า เกิดเหตุยิงที่ศูนย์วัฒนธรรมชาวเคิร์ดในกรุงปารีสทำ ให้มีผู้จบชีวิตสามคนพร้อมทั้งบาดเจ็บอีกสามคน ขณะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยวัย 69 ปีที่ได้รับบาดเจ็บได้แล้ว ตามรายงานของเอพี 

 

อัยการกรุงปารีสบอกว่า ผู้ต้องสงสัยเพิ่งถูกปล่อยตัวจากเรือนจำหลังเคยก่อเหตุจู่โจมผู้อพยพที่อาศัยในเต็นท์ โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนคาดว่า การก่อเหตุยิงครั้งนี้อาจมีประเด็นการเหยียดเชื้อชาติเป็นแรงจูงใจ 

 

เกิดเหตุชุลมุนในย่านดังกล่าวขึ้นหลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยชาวเคิร์ดตะโกนข้อความต่อต้านรัฐบาลตุรกี จนตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายฝูงชนที่วุ่นวายพร้อมทั้งจุดไฟเผาถังขยะ  

 

ทั้งนี้ กองทัพบกตุรกีได้ต่อสู้กับกลุ่มชาวเคิร์ดติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับองค์กร Kurdistan Workers’ Party ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายในตุรกี ยุโรป พร้อมทั้งสหรัฐฯ พร้อมทั้งก่อเหตุรุนแรงในตุรกีมาแล้วตั้งแต่ 1984 

 

เจอราลด์ ดาร์มานิน รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในของฝรั่งเศส พบว่า มือปืนพุ่งเป้าไปที่ชาวต่างชาติอย่างชัดเจน แต่ขณะนี้ตำรวจยังไม่มีหลักฐานว่า ผู้ต้องสงสัยตั้งใจจู่โจมชาวเคิร์ดโดยเฉพาะหรือไม่ โดยในคืนวันศุกร์นี้ ดาร์มานินจะจัดประชุมพิเศษเพื่อประเมินภัยคุกคามต่อชุมชนชาวเคิร์ดในฝรั่งเศส 

 

ชุมชนชาวเคิร์ดในกรุงปารีสตกใจกับเหตุดังกล่าวมาก พร้อมทั้งบอกว่า ตำรวจเตือนพวกเขามาก่อนหน้านี้แล้วถึงภัยคุกคามต่อชุมชนของตน  ขณะที่ประชาชนพร้อมทั้งร้านค้าในบริเวณดังกล่าวก็อกสั่นขวัญแขวนต่อเหตุครั้งนี้เช่นกัน ซึ่งเกิดชึ้นในช่วงที่ชาวกรุงปารีสอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส 

อเล็กซานดรา คอร์เดบาร์ด นายกเทศมนตรีเขต 10 ของกรุงปารีส บอกว่า เหตุยิงนี้เกิดขึ้นในช่วงกลางวันที่ศูนย์วัฒนธรรมชาวเคิร์ด ร้านอาหาร พร้อมทั้งร้านทำผมที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว 

ทางด้านพนักงานก่อสร้างที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวเผยกับทางเอพีว่า เขาเห็นผู้ก่อเหตุพกปืนสั้นขนาดเล็ก มุ่งหน้าไปที่ศูนย์วัฒนธรรม ก่อนจะไปยังร้านอาหารพร้อมทั้งร้านทำผม ทำร้ายบุคคลสามคน ก่อนที่ผู้ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวสองคนจะเข้ามาขัดขวางพร้อมทั้งหยุดเขา 

 

ลอว์เร เบคคัว อัยการกรุงปารีส พบว่า เหยื่อที่ถูกยิงนั้นจบชีวิตแล้วสามคน บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน พร้อมทั้งบาดเจ็บปานกลางอีกสองคน ขณะที่ผู้ต้องสงสัยได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า 

 

เบคคัวกล่าวต่อว่า ยังไม่มีการพบว่าแรงจูงใจครั้งนี้เกี่ยวกับการก่อการร้ายหรือไม่ ก่อนหน้านี้ ผู้ต้องสงสัยรายนี้เคยเผชิญหน้ากับตำรวจแล้วอย่างน้อยสองครั้ง โดยเคยจู่โจมผู้อพยพในเตนท์ทางตะวันออกของกรุงปารีสเมื่อปีที่แล้ว พร้อมทั้งเคยถูกจับในอีกคดีหนึ่งที่ชานเมืองกรุงปารีสไม่นานมานี้ ถ้าหากว่า อัยการกรุงปารีสไม่ได้ลงข้อมูลของทั้งสองคดี 

 

ในเวลาเดียวกัน รัฐมนตรีกิจการภายในของฝรั่งเศสเผยว่า ผู้ก่อเหตุเคยฝึกยืงปืนมาก่อน พร้อมทั้งมีอาวุธที่ลงทะเบียนจำนวนหนึ่ง เขาเป็นชาวฝรั่งเศส พร้อมทั้งไม่ได้อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของผู้ที่มีความคิดสุดโต่ง พร้อมทั้งยังไม่พบว่าเขามีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวแนวขวาจัด หรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่น ๆ  

ที่มา: เอพี 

‘เมตา’ ควัก $725 ล้าน ยอมความคดีฉาว ‘เคมบริดจ์ อนาลิติกา’

เมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก จ่าย 725 ล้านดอลลาร์ หรือราว 25,000 ล้านบาท เพื่อยอมความในคดีที่สื่อสังคมออนไลน์รายใหญ่นี้ ปล่อยให้บริษัทภายนอกอย่างเคมบริดจ์ อนาลิติกา (Cambridge Analytica) เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ ตามรายงานของรอยเตอร์

ในเงื่อนไขการยอมความที่ได้รับการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี ถือเป็นการยุติคดีความที่ดำเนินมายาวนานตั้งแต่ปี 2018 จากกรณีเฟซบุ๊กอนุญาตให้บริษัทที่ปรึกษาด้านการเมือง เคมบริดจ์ อนาลิติกา ของอังกฤษ แอบเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เฟสบุ๊กราว 87 ล้านคนอย่างไม่เหมาะสม พร้อมทั้งถือว่าเป็นคดีความที่เมตาจ่ายเงินยอมความสูงสุดเท่าที่เคยมีมา

แต่ในแถลงการณ์ของเมตา พบว่าทางบริษัทไม่ได้กระทำความผิดใด ๆ การยอมความครั้งนี้ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของชุมชนพร้อมทั้งผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งตลอด 3 ปีที่ผ่านมาทางบริษัทได้ปรับปรุงการจัดการด้านความเป็นส่วนตัวพร้อมทั้งปรับใช้โปรแกรมความเป็นส่วนตัวที่ครอบคลุม

ทั้งนี้ Cambridge Analytica นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ในการออกแบบการรณรงค์ทางการเมืองที่หวังผลให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2016 ประเด็นนี้ได้นำไปสู่การสอบสวนพร้อมทั้งการดำเนินคดีเรื่องประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์

ที่มา: รอยเตอร์

จีนคาดยอดติดเชื้ออาจทะยานแตะ 37 ล้านคนต่อวัน

ในสัปดาห์นี้ ทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขของจีน ประเมินว่าชาวจีนเกือบ 37 ล้านคนอาจพบติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 ภายในวันเดียว นับเป็นสถิติการติดเชื้อมากที่สุดในโลก ตามรายงานของบลูมเบิร์ก

คณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติจีน (National Health Commission-NHC) ระบุในการประชุมเมื่อวันพุธว่า ในช่วง 20 วันแรกของเดือนธันวาคม ชาวจีน 248 ล้านคน หรือราว 18% ของประชากรจีนทั้งประเทศ มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 อ้างอิงจากผู้ที่เกี่ยวข้องในประเด็นดังกล่าวที่เปิดเผยกับบลูมเบิร์ก ซึ่งหากได้รับการยืนยันว่าเป็นจำนวนที่ถูกต้องแม่นยำ อัตราการติดเชื้อระดับนี้จะแซงหน้ายอดติดเชื้อรายวันสูงสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ที่ราว 4 ล้านคน

การปรับเปลี่ยนมาตรการควบคุมไวรัสโคโรน่าอย่างรวดเร็ว ได้นำไปสู่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่ากลายพันธุ์โอมิครอน ในกลุ่มประชากรที่มีระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่ต่ำ ประชาชนในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พร้อมทั้งกรุงปักกิ่งเมืองหลวง พบผู้ติดเชื้อเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ตามข้อมูลของ NHC

ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า NHC นั้นมีเกณฑ์การประเมินตัวเลขผู้ติดเชื้ออย่างไร ในช่วงที่จีนสั่งจุดตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าแบบพีซีอาร์ที่กระจายไปทั่วประเทศในเดือนนี้ อัตราการติดเชื้อที่แท้จริงดูเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดในประเทศอื่นๆ ช่วงการระบาดใหญ่เช่นกัน เพราะการหาชุดตรวจเชื้อเป็นของหายากพร้อมทั้งถูกแทนที่ด้วยชุดตรวจหาเชื้อได้เองที่บ้าน ซึ่งมักไม่ได้รับการส่งต่อข้อมูลดังกล่าวมายังรัฐบาลหรือหน่วยงานส่วนกลาง

ทาง NHC ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อบลูมเบิร์กสอบถามเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในช่วงเวลาที่รายงานข่าวนี้

ตอนนี้ชาวจีนพึ่งพาชุดตรวจแบบรู้ผลได้เองที่บ้าน พร้อมทั้งไม่รายงานผลว่าติดเชื้อให้กับทางการ ขณะที่รัฐบาลจีนยุติการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการไปแล้วเมื่อกลางสัปดาห์

เฉิน ชิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากบริษัทที่ปรึกษาด้านข้อมูล MetroDataTech วิเคราะห์ข้อมูลการค้นหาข้อมูลออนไลน์ คาดว่าคลื่นการระบาดระลอกล่าสุดของจีน จะพุ่งสูงช่วงกลางเดือนธันวาคมปีนี้ไปจนถึงปลายเดือนมกราคมปีหน้าในหลายเมืองทั่วประเทศ พร้อมทั้งว่าการเปิดประเทศพร้อมทั้งผ่อนคลายมาตรการคุมไวรัสโคโรน่าเป็นสาเหตุให้มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นหลายสิบล้านคนในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ พร้อมทั้งฉงชิ่ง

ยอดจบชีวิตที่หายไป

ถ้าหากว่า ในการประชุมของคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติจีน ไม่ได้ระบุถึงยอดผู้จบชีวิตจากไวรัสโคโรน่า แต่ได้กล่าวถึงการจำกัดความของการจบชีวิตจากไวรัสโคโรน่า-19 ขึ้นมาใหม่ แม้จะยอมรับว่าการจบชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อการระบาดพุ่งสูง แต่ได้เน้นย้ำเพียงว่าผู้จบชีวิตจากโรคปอดบวมเพราะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจึงจะนับว่าเป็นยอดจบชีวิตจากโรคนี้

ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่ 37 ล้านคน เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ เป็นตัวเลขที่แตกต่างจากตัวเลขทางการที่ 3,049 คนที่ทางการจีนรายงานในวันเดียวกันนี้ พร้อมทั้งยังสูงกว่าสถิติโลกที่เคยมีมาในช่วงการระบาดใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 19 มกราคมปีนี้ ยอดติดเชื้อรายวันทั่วโลกแตะระดับ 4 ล้านคนในวันดังกล่าว พร้อมทั้งเป็นสถิติสูงสุดของโลก โดยเป็นผลมาจากไวรัสโคโรน่ากลายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดในแอฟริกาใต้

ระดับการติดเชื้อที่ทางการจีนประเมิน ยังเน้นย้ำถึงความท้าทายที่จีนกำลังเผชิญหลังจากยุตินโยบายไวรัสโคโรน่าเป็นศูนย์ที่กีดกันไวรัสไม่ให้แพร่ระบาดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้โรงพยายามในเมืองใหญ่ของจีน รวมทั้งกรุงปักกิ่งพร้อมทั้งนครเซี่ยงไฮ้ เต็มไปด้วยผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล พร้อมทั้งสถานที่เผาศพต้องรับมือกับผู้จบชีวิตที่รอประกอบพิธีที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่มา: บลูมเบิร์ก

ซานต้าเป็นงง! ช้างไทยร่วมแจกของขวัญช่วงคริสต์มาส

ช้างไทยร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ด้วยการแปลงร่างเป็นรูดอล์ฟไทยสไตล์ แม้จะไม่มีจมูกแดงตามแบบฉบับ แต่ก็มีงวงให้น่าจับเป็นครั้งคราว พร้อมกับร่วมกันมอบของขวัญให้กับเด็ก ๆ ที่จังหวัดอยุธยา

 

รอยเตอร์รายงานบรรยากาศควาญช้างในชุดซานตาคลอสนำทีมช้างไปเยี่ยมเยือนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดอยุธยา ในการส่งมอบลูกโป่งเป็นของขวัญให้กับเด็ก ๆ นักเรียนราว 2,000 คนที่แต่งตัวชุดคริสต์มาสเข้ากับเทศกาล พร้อมทั้งเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นทุกปีที่โรงเรียนแห่งนี้

เด็ก ๆ มาต่อแถวรอคิวพี่ช้างเรนเดียร์จำแลง ที่โถงของโรงเรียน เพื่อรอชมขบวนพาเหรดช่วงคริสต์มาส พร้อมทั้งช้างที่รับบทรูดอล์ฟไทยสไตล์ ค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามาหาเด็ก ๆ พร้อมทั้งใช้งวงหยิบก้านลูกโป่ง ตุ๊กตา พร้อมทั้งของเล่นหลากหลาย มามอบให้เด็กน้อยอย่างบรรจง เรียกร้อยยิ้มพร้อมทั้งเสียงหัวเราะในเทศกาลแห่งความสุขปีนี้

ที่มา: รอยเตอร์

‘เมสซี’ ตี ‘ไข่’ แตก สร้างสถิติยอดไลค์มากที่สุดบน อินสตาแกรม

‘ลิโอเนล เมสซี’ สร้างสถิติใหม่อีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังจากที่รูปภาพการฉลองถ้วยรางวัลฟุตบอลโลกของทีมอาร์เจนตินา ที่นักเตะชื่อดังได้โพสท์ลงบนอินสตาแกรมของเขา ได้กลายเป็นรูปที่ได้รับการคลิก ‘ไลค์’ มากที่สุด ทำลายสถิติที่รูปไข่ใบหนึ่งได้เคยทำเอาไว้เมื่อสี่ปีก่อน  

เมสซีได้นำทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี โดยการเอาชนะทีมชาติฝรั่งเศสในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้แกลเลอรีภาพ หรือภาพชุดการเฉลิมฉลองแชมป์ฟุตบอลโลกที่เมสซีได้นำไปโพสท์นั้น มีผู้ใช้งานเข้ามาคลิกไลค์มากกว่า 72 ล้านคน ณ ตอนบ่ายของวันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ ภาพที่ได้รับการคลิกไลค์มากที่สุดบนอินสตาแกรม คือภาพสต็อกของไข่ฟองหนึ่ง บนพื้นหลังสีขาว โดยผู้ใช้ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า @world_record_egg เป็นผู้โพสท์เอาไว้ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2019 ซึ่งได้รับการคลิกไลค์ไปมากที่สุด 55.7 ล้านครั้ง 

เมสซีโพสท์ข้อความไว้ใต้ชุดภาพทั้ง 10 ภาพว่า “แชมเปียนของโลก! ผมได้แต่ฝันถึงวันนี้ ผมอยากได้มาก ผมไม่อยากเชื่อเลย” หนึ่งในภาพเหล่านั้น คือภาพของเมสซีชูถ้วยรางวัลทองคำฟีฟ่าเวิร์ลด์คัพ พร้อมทั้งภาพการเฉลิมฉลองกับเพื่อนร่วมทีม 

“ผมขอขอบคุณครอบครัวของผม พร้อมทั้งทุก ๆ คนที่สนับสนุนผมพร้อมทั้งคนที่เชื่อมั่นในพวกเรา เราได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งแล้วว่าชาวอาร์เจนตินา เมื่อเราสู้ด้วยกัน พร้อมทั้งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราสามารถไปให้ถึงเป้าหมายได้”  

กินเนส เวิร์ลด์ เรคคอร์ดส์ (Guinness World Records) ได้รวบรวมสถิติที่เมสซีได้ทำเอาไว้หลังจากรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก โดยพบว่า นักเตะชาวอาร์เจนตินาวัย 35 ปี เป็นนักเตะที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากที่สุดในโลก ทั้งหมด 26 ครั้ง เอาชนะสถิติที่เคยทำไว้โดย โลธาร์ มัทเธอุส (Lothar Matthaus) นักเตะทีมชาติเยอรมนี 

เมสซีเป็นนักฟุตบอลที่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง พร้อมทั้งได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ถึง 7 ครั้ง เขาคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา (Copa America) พร้อมทั้งแชมป์การแข่งฟุตบอลลีคต่าง ๆ 11 ครั้ง อีกทั้งยังคว้าชัยแชมเปียนส์ลีค (Champions League) ได้อีก 4 ครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยได้มาก่อนคือ ถ้วยทองคำฟุตบอลโลก จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่เขาทำประตูให้อาร์เจนตินาได้ 2 ประตู ก่อนที่อาร์เจนตินาจะชนะฝรั่งเศสในการยิงลูกโทษ ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเกมการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศที่น่าตื่นเต้นพร้อมทั้งเมามันที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

สหรัฐฯ เผย บ.เอกชนรัสเซีย ซื้ออาวุธจากเกาหลีเหนือเพื่อรบในยูเครน 

ทำเนียบขาวเปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า แวกเนอร์ กรุ๊ป (Wagner Group) บริษัทเอกชนรัสเซียที่ประกอบกิจการด้านการทหาร เป็นผู้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จากเกาหลีเหนือเพื่อช่วยกองกำลังรัสเซียในการสู้รบในยูเครน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าบริษัทเอกชนดังกล่าว ได้เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียพร้อมทั้งยูเครน 

เยฟกินี พริโกชิน (Yevgeny Prigozhin) เจ้าของบริษัทแวกเนอร์ กรุ๊ป ได้ออกมาปฏิเสธ พร้อมทั้งบอกว่าข้อมูลของทำเนียบขาวนั้นเป็นเพียง “การซุบซิบนินทาพร้อมทั้งการคาดเดา” ตามรายงานของสำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์  

จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว บอกว่า แวกเนอร์ กรุ๊ป ได้เสาะหาผู้ค้าอาวุธในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของบริษัทในยูเครน  

“เราสามารถยืนยันได้ว่าเกาหลีเหนือได้จัดส่งอาวุธในเบื้องต้นให้กับแวกเนอร์ พร้อมรับชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ในเดือนที่ผ่านมาเกาหลีเหนือยังได้ส่งจรวดพร้อมทั้งขีปนาวุธสำหรับเหล่าทหารราบไปยังรัสเซียเพื่อให้แวกเนอร์เป็นผู้ใช้” นายเคอร์บีได้บอกกล่าวกับผู้สื่อข่าว  

บริษัท แวกเนอร์ กรุ๊ป ได้รับการก่อตั้งในปี ค.ศ.2014 หลังจากที่รัสเซียยึดครองพร้อมทั้งผนวกคราบสมุทรไครเมียมาจากยูเครน พร้อมทั้งทำให้เกิดกบฏแบ่งแยกดินแดนในแคว้นดอนบาสด้านตะวันออกของยูเครน  

นายเคอร์บีบอกว่า สหรัฐฯ ประเมินว่า แวกเนอร์ มีบุคลากรประมาณ 50,000 คนอยู่ในยูเครน แบ่งเป็นทหารรับจ้างประมาณ 10,000 คน พร้อมทั้งนักโทษจากเรือนจำรัสเซียอีก 40,000 คน  

พริโกชิน ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสนิทของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์​ ปูติน บอกว่านายเคอร์บี มีนิสัยชอบพูดอะไรจากการคาดเดา โดยเขาบอกว่า ทุกคนรู้ว่าเกาหลีเหนือไม่ได้เป็นผู้จัดส่งอาวุธให้รัสเซียมาเป็นเวลานานแล้ว พร้อมทั้งก็ไม่มีความพยายามใด ๆ ที่จะนำอาวุธมาจากเกาหลีเหนือ 

“เพราะฉะนั้น เรื่องอาวุธจากเกาหลีเหนือไม่มีมูล เป็นเพียงแค่การซุบซิบนินทาพร้อมทั้งการคาดเดาเท่านั้นน” พริโกชินกล่าว  

สหรัฐฯ ประเมินว่า จำนวนอาวุธที่เกาหลีเหนือจัดส่งให้รัสเซียนั้นจะไม่มีผลต่อการสู้รบในยูเครนแต่อย่างใด แต่คาดว่ากรุงเปียงยางจะจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้รัสเซียมากขึ้น  

ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ทำเนียบขาวบอกว่ารัฐบาลกรุงเปียงยางได้ลักลอบจัดส่งกระสุนปืนใหญ่ “จำนวนมาก” ให้รัสเซียนั้น เกาหลีเหนือได้บอกว่าตนไม่เคยมีการตกลงซื้อขายอาวุธกับรัสเซียมาก่อน พร้อมทั้งไม่มีแผนที่จะทำเช่นนั้น 

ผู้แทนรัสเซียพร้อมทั้งผู้แทนเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติไม่ได้ให้คำตอบเรื่องดังกล่าวในทันที หลังจากที่รอยเตอร์สอบถามไป 

ลินดา โธมัส-กรีนฟีลด์ ทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น กล่าวในแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ ได้กล่าวหาว่ากรุงเปียงยางพร้อมทั้งกรุงมอสโกละเมิดบทลงโทษทางเศรษฐกิจของสหประชาชาติต่อเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งจะเสนอข้อมูลดังกล่าวต่อคณะกรรการผู้ดูแลเรื่องบทลงโทษทางเศรษฐกิจต่อเกาหลีเหนือประจำคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธบอกว่า เกาหลีเหนือได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลที่สามารถจู่โจมที่ใดก็ได้บนโลก เช่นเดียวกับอาวุธที่ใช้จู่โจมในระยะใกล้  

นายเคอร์บีบอกว่าผู้นำรัสเซียได้หันไปพึ่ง แวกเนอร์ กรุ๊ป มากขึ้นในการทำสงครามกับยูเครน หลังจากที่กองทัพรัสเซียต้องเพลี่ยงพล้ำ  

สหภาพยุโรปได้ใช้บทลงโทษทางเศรษฐกิจกับ แวกเนอร์ กรุ๊ป โดยอ้างว่าแวกนอร์เป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างลับ ๆ เพื่อรัฐบาลเครมลินในยูเครน ถ้าหากว่า ปูติน ปฏิเสธว่า แวกเนอร์ กรุ๊ป ไม่ได้ทำงานแทนรัสเซีย แต่บอกว่าทหารรับจ้างของบริษัทเอกชนมีสิทธิที่จะทำงานที่ใดก็ได้ในโลกนี้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำผิดกฎหมายของรัสเซีย 

บทลงโทษทางเศรษฐกิจต่อ ‘แวกเนอร์ กรุ๊ป’  

ในวันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เผยมาตรการล่าสุดที่ใช้จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีให้กับ แวกเนอร์ กรุ๊ป พร้อมทั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ จะประกาศใช้บทลงโทษทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ต่อ แวกเนอร์ พร้อมทั้งบริษัทลูกในอีกหลายประเทศ  

จอห์น เคอร์บีบอกว่า พริโกชิน ทุ่มเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของแวกเนอร์ในยูเครน แตประสบปัญหาในการจัดหาชาวรัสเซียที่จะไปรบที่นั่น  

ที่ผ่านมาแวกเนอร์ กรุ๊ป ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่คืออดีตทหารผ่านศึกของรัสเซีย ได้ไปร่วมรบในประเทศต่าง ๆ เช่น ลิเบีย ซีเรีย สาธารณรัฐแอฟริกากลาง พร้อมทั้งมาลี เป็นต้น  

หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ยังได้ระบุด้วยว่า แวกเนอร์ มีบทบาทสำคัญในการสู้รบในเมืองบาคห์มุทในยูเครน พร้อมทั้งสูญเสียนักรบไปประมาณ​ 1,000 คนในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา  

นายเคอร์บียังบอกว่า อิทธิพลของพริโกชินในรัสเซียนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก การเป็นอิสระของ แวกเนอร์ จากกระทรวงกลาโหมของรัสเซียนั้น “เพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาที่เกิดสงคราม” แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานยืนยันในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด  

นายเคอร์บีกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารของรัสเซียในยูเครนต้องรับคำสั่งจากกองกำลังทหารเอกชนของแวกเนอร์ นอกจากนั้น พริโกชินยังได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายพลรัสเซียพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม ตั้งแต่รัสเซียบุกจู่โจมยูเครนอีกด้วย 

อีกแล้ว! นักศึกษาไทยในซานฟรานฯ ถูกทำร้ายบนรถเมล์

ผู้สื่อข่าววีโอเอไทย รายงานจากรัฐแคลิฟอร์เนีย กรณีที่ นางสาว รุจิรา อ่ำบุญ นักศึกษาไทย วัย 31 ปี ถูกทำร้ายบนรถโดยสารสาธารณะ ในนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย จนได้รับบาดเจ็บเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

นางสาว รุจิรา ได้บอกกล่าวกับ วีโอเอ ไทย ว่า เธอถูกทำร้ายขณะโดยสารรถประจำทางสาย 14 ขณะเดินทางกลับที่พัก ในช่วงเย็นของวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา ขณะเดินทางกลับที่พัก โดยผู้ก่อเหตุ เป็นชายรูปร่างสูง ลักษณะเชื้อสายเป็นชาวละตินอเมริกา เดินเข้ามานั่งติดกับที่นั่งของเธอ ทั้งๆ ที่ไม่มีผู้โดยสารมากนัก พร้อมทั้งมีที่นั่งว่าง ก่อนจะใช้โอกาสช่วงที่รถกำลังจะจอดที่ป้ายรถประจำทาง หันมาชกที่ข้างหูซ้ายของเธอ 2 ครั้งอย่างแรง ก่อนหลบหนีไป ซึ่งหลังเกิดเหตุเคนขับรถประจำทางเมล์ได้เข้ามาช่วยเหลือเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมทั้งแจ้งตำรวจ ทันที

รุจิรา บอกว่า เธออยู่ในอาการตกใจพร้อมทั้งถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที โดยแพทย์พบว่ามีการกระทบกระเทือนชั้นหูภายใน มีรอยฉีกขาดบริเวณใบหู โดยอาจจะส่งผลถึงการฟังในอนาคต ส่วนสาเหตุนั้น รุจิรา เชื่อว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมความเกลียดชังชาวเอเชีย เพราะเธอคือคนเชื้อสายเอเชียเพียงคนเดียวในรถคันดังกล่าว

“ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นกับเราเพียงเพราะว่า เราเป็นแค่เอเชียเท่านั้นหรือคะ เลยต้องเกิดขึ้นแบบนี้กับเรา คิดว่ามันไม่โอเค มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องรถสาธารณะ ก็พยายามอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุด เช่น นั่งใกล้คนขับมากที่สุดหลังจากนี้” รุจิรา ได้บอกกล่าวกับ ‘วีโอเอ’

หลังเกิดเหตุนางสาวรุจิรา ได้ติดต่อนายเอริค พาร์เนส (Eric Parnes) ทนายความชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ทำคดีเหตุทำร้ายนักศึกษาไทยในสถานีรถไฟใต้ดินของนครนิวยอร์กเมื่อปี ค.ศ.2021 ที่ผ่านมา

นายเอริค บอกว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนการรอภาพกล้องตรวจการณ์จากตำรวจเมืองซานฟรานซิสโก หลังมีการยื่นขอไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยได้เรียกร้องให้ตำรวจจับผู้ก่อเหตุโดยเร็ว เพราะ จะมีภาพวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน นอกจากนี้ยังเชื่อว่าหากมีการเผยแพร่เหตุการณ์นี้ผ่านสื่อท้องถิ่นหรือสื่อไทยต่างๆ จะทำให้การดำเนินคดีของทุกส่วนเร็วขึ้น พร้อมทั้งหากมีการดำเนินคดีก็มีหลักฐานชัดเจนที่สามารถเอาผิดได้แน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจากสื่อท้องถิ่นในนครซานฟรานฯพบว่า เหตุทำร้ายร่างกายในรถเมล์โดยสาร Muni Busของซานฟรานซิสโกเพิ่มขึ้นนร้อยละ 43 ตั้งแต่ปีค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา ขณะที่ รายงานของตำรวจซานฟรานซิสโก พบว่า สถิติอาชญากรรมที่เกิดขึ้นต่อชาวเอเชียในนครซานฟรานซิสโกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 567 เปอร์เซ็นต์ ในปี ค.ศ. 2021 โดยหนึ่งในเหตุสะเทือนขวัญมากที่สุดคือกรณีทำร้ายนายวิชา รัตนภักดี ชายไทยวัน 84 ปีจนจบชีวิตเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2021.