ชาวยูเครนบางส่วนเลี่ยงทำตามรัสเซีย เปลี่ยนวันฉลองคริสต์มาสเป็น 25 ธ.ค.

เดิมทีประชาชนส่วนใหญ่ในยูเครนต่างฉลองคริสต์มาสในวันที่ 7 มกราคม ตามธรรมเนียมของศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ซึ่งเป็นศาสนาทางการในยูเครน เช่นเดียวกับชาวรัสเซียส่วนใหญ่ แต่ในปีนี้มีชาวยูเครนจำนวนมากที่เปลี่ยนไปเฉลิมฉลองคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมแทน

ชาวยูเครนบางส่วนที่นับถือนิกายออร์ธอด็อกซ์พร้อมทั้งต่อต้านสงคราม ต่างเดินทางไปโบสถ์ในวันที่ 25 ธันวาคมนี้เพื่อร่วมทำพิธีเนื่องในวันคริสต์มาสเช่นเดียวกับชาวคริสต์ในหลายประเทศทั่วโลก แม้ก่อนหน้านี้ ชาวยูเครนต่างไม่เชื่อว่าวันที่ 25 ธ.ค.เป็นวันประสูติของพระเยซูเจ้า 

เสียงไซเรนเตือนภัยยังคงดังต่อเนื่องในหลายเมืองใหญ่ของยูเครน แต่ชาวยูเครนจำนวนมากยังคงเดินทางไปที่โบสถ์เพื่อร่วมทำพิธีในวันสำคัญทางศาสนาในเช้าวันอาทิตย์นี้เป็นครั้งแรก

ทางด้านโบสถ์ออร์ธอด็อกซ์แห่งรัสเซีย (The Russian Orthodox Church) ซึ่งอ้างสิทธิควบคุมเหนือผู้นับถือนิกายออร์ธอด็อกซ์ในยูเครนด้วยนั้น ยังคงใช้ปฏิทินจูเลียนโบราณซึ่งอ้างว่าวันประสูติของพระเยซูนั้นมีขึ้นหลังจากวันที่ 25 ธ.ค. ไปอีก 13 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป ต่างจากปฏิทินแบบเกรกอเรียนที่ผู้นำศาสนาคริสต์ในนิกายอื่นยึดถือกัน 

เมื่อเดือนตุลาคม ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ในยูเครนต่างตกลงที่จะทำพิธีวันคริสต์มาสในเดือนธันวาคม ภายใต้แรงจูงใจทางการเมืองที่ต้องการแยกเป็นอิสระจากโบสถ์ออร์ธอด็อกซ์ในรัสเซีย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ หมู่บ้านแห่งหนึ่งชานกรุงเคียฟ ลงมติให้เปลี่ยนวันฉลองคริสต์มาสเป็นวันที่ 25 ธ.ค. อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสำหรับชาวยูเครนบางคน การเปลี่ยนวันฉลองคริสต์มาสนี้คือสัญลักษณ์ของการแยกออกจากรัสเซียอย่างชัดเจนทั้งทางศาสนาพร้อมทั้งวัฒนธรรม 

ที่มา: เอพี

ปูตินยืนยัน! รัสเซียพร้อมเจรจากับยูเครนเพื่อยุติสงคราม

ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ของรัสเซียซึ่งออกอากาศในวันอาทิตย์ พบว่า รัสเซียพร้อมเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครน แต่เป็นทางยูเครนพร้อมทั้งชาติตะวันตกที่ปฏิเสธการเจรจาดังกล่าว

ปูตินได้บอกกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 1 ของทางการรัสเซียว่า “เราพร้อมที่จะเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้เงื่อนไขที่ยอมรับได้ แต่นั่นขึ้นอยู่กับพวกเขา เราไม่ใช่ฝ่ายที่ปฏิเสธการเจรจา” 

ผู้นำรัสเซียยืนยันด้วยว่า ตนทำถูกต้องแล้วในยูเครนเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของรัสเซียพร้อมทั้งประชาชนรัสเซีย เนื่องจากชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ พยายามที่จะแบ่งแยกรัสเซียเป็นหลายส่วน โดยปูตินพบว่า “ไม่มีทางเลือกอื่น” นอกจากการปกป้องประชาชน 

พร้อมทั้งเมื่อถูกถามว่า ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์กับชาติตะวันตกในขณะนี้กำลังก้าวไปสู่ระดับอันตรายแล้วหรือไม่ ปูตินตอบว่า “ไม่คิดว่าจะอันตรายมากนัก” 

ก่อนหน้านี้ วิลเลียม เบินส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ความขัดแย้งส่วนใหญ่ยุติลงได้ด้วยการเจรจา แต่ซีไอเอประเมินแล้วว่ารัสเซียมิได้จริงจังในการต่อรองเพื่อยุติสงครามครั้งนี้

ทางด้าน มีไคโล โพโดลยัก ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี บอกว่า รัสเซียเองที่เป็นฝ่ายบุกจู่โจมนพร้อมทั้งสังหารประชาชนยูเครน พร้อมทั้งว่า ปูตินจำเป็นต้องกลับสู่ความจริงที่ว่ารัสเซียเองที่เป็นฝ่ายไม่ต้องการเจรจาพร้อมทั้งพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ

ปธน.ปูติน ยังได้ตอบการสัมภาษณ์ว่า ชาติตะวันตกเริ่มสร้างความขัดแย้งในยูเครนเมื่อปี 2014 ด้วยการขับไล่ประธานาธิบดียูเครนผู้สนับสนุนรัสเซีย ลงจากตำแหน่ง หลังจากนั้นรัสเซียจึงได้เดินหน้าควบรวมแคว้นไครเมียจากยูเครน พร้อมทั้งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครนที่รัสเซียให้การสนับสนุนก็เริ่มการต่อสู้ครั้งใหญ่ทางภาคตะวันออกของยูเครน 

ปูตินบอกว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน” คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดของรัสเซียเพื่อต่อต้านชาติตะวันตกที่พยายามบ่อนทำลายรัสเซียมาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียตล่มสลาย

ผู้นำรัสเซียประกาศด้วยว่า รัสเซียคือ “ประเทศที่มีเอกลักษณ์” ที่ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่พร้อมทุ่มเททุกอย่างพร้อมทั้งร่วมมือร่วมใจกันปกป้องมาตุภูมิของพวกเขา 

ที่มา: รอยเตอร์

โป๊ปฟรานซิสส่งสารวันคริสต์มาส ภาวนาเพื่อยูเครน-ยุติความหิวโหยทั่วโลก

พระสันตะปาปาฟรานซิสเทศนาต่อคริสตศาสนิกชนในวันอาทิตย์จากวิหารเซนต์ปีเตอร์ส สำนักวาติกัน โดยตรัสถึงสงครามในยูเครนว่า “ไร้เหตุผล” พร้อมเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งในครั้งนี้

โป๊ปฟรานซิสตรัสว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราร่วมใจอย่างแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียวเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเจ็บปวด พร้อมทั้งทรงสร้างความสว่างในจิตใจของผู้มีอำนาจในการกลบเสียงดังสนั่นของอาวุธต่าง ๆ พร้อมทั้งยุติสงครามที่ไร้เหตุผลนี้ในทันที” 

ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เตือนว่า สงครามที่กินเวลานาน 10 เดือนแล้วนี้กำลังทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารทั่วโลก พร้อมทั้งทรงขอให้ยุติการใช้ “อาหารเป็นอาวุธ”

พระสันตะปาปายังทรงขอให้ทั่วโลกจดจำเด็ก ๆ ผู้หิวโหยในทุกวันนี้เพราะอาหารถูกทิ้งขว้างพร้อมทั้งทรัพยากรต่าง ๆ ถูกทุ่มไปในการทำสงคราม พร้อมชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากสงครามยูเครนที่ทำให้มีผู้อดอยากหิวโหยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอัฟกานิสถานพร้อมทั้งทางภาคตะวันออกของแอฟริกาที่กำลังเผชิญภัยแล้ง

พระองค์ทรงระบุชื่อหลายประเทศที่กำลังเผชิญความยากลำบากในเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ ทั้งจากสงครามพร้อมทั้งความขัดแย้งต่าง ๆ เช่น อัฟกานิสถาน เยเมน ซีเรีย เมียนมา เลบานอน พร้อมทั้งเฮติ นอกจากนี้ยังทรงตรัวเป็นครั้งแรกให้หาทางเข้าสู่กระบวนการ “ปรองดอง” ในอิหร่าน ที่ซึ่งกำลังเกิดการประท้วงใหญ่เพื่อเรียกร้องสิทธิสตรีตลอดสามเดือนที่ผ่านมา

ข้อมูลบางส่วนจากเอพีพร้อมทั้งรอยเตอร์

 

จบชีวิตแล้ว 18 คนจาก ‘พายุเยือกแข็ง’ ปกคลุมทั่วสหรัฐฯ

ชาวอเมริกันหลายล้านคนต่างซุกตัวอยู่ภายในบ้านท่ามกลางอากาศหนาวเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งหลายองศาตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากพายุเยือกแข็งที่พัดผ่านทั่วสหรัฐฯ ซึ่งทำให้มีผู้จบชีวิตแล้วอย่างน้อย 18 คน พร้อมทั้งมีไฟฟ้าดับหลายพื้นที่

สำนักข่าวนานาชาติเอพีรายงานว่า อาณาเขตของพายุเยือกแข็งครั้งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสหรัฐฯ กินพื้นที่ตั้งแต่รัฐภาคเหนือติดกับแคนาดาไปจนถึงชายแดนภาคใต้ติดกับเม็กซิโก โดยมีประชากรอเมริกันราว 60% ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ ในขณะที่อุณหภูมิตั้งแต่ภาคตะวันออกไปจนถึงแถบกลางประเทศลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

สำนักงาน National Weather Service ซึ่งเป็นสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่า ประชาชนมากกว่า 200 ล้านคนในอเมริกา อยู่ในพื้นที่ที่มีคำเตือนเรื่องสภาวะอากาศจากภาวะอากาศหนาวเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากปรากฏการณ์บอมบ์ ไซโคลน (bomb cyclone) ซึ่งเป็นภาวะความกดอากาศลดต่ำอย่างรวดเร็วในพายุที่รุนแรง

เว็บไซต์ FlightAware พบว่า ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ มีเที่ยวบินในประเทศพร้อมทั้งต่างประเทศถูกยกเลิก 1,346 เที่ยว เพิ่มเติมจากวันศุกร์พร้อมทั้งวันเสาร์ที่มีเที่ยวบินถูกยกเลิกไปแล้วหลายพันเที่ยว

ที่นิวยอร์ก ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แคธี โฮคูล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อเช้าวันศุกร์ จากภาวะน้ำแข็ง น้ำท่วม หิมะ พร้อมทั้งอากาศหนาวเย็นเยือกแข็งพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะที่เมืองบัฟฟาโล พายุหิมะผสมลมเฮอริเคนได้ทำให้เกิดหิมะรุนแรงปกคลุมทั่วเมือง รถดับเพลิงไม่สามารถวิ่งได้พร้อมทั้งสนามบินต้องปิดลงชั่วคราว โดยสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติสหรัฐฯ ประเมินว่า มีหิมะหนาราว 109 ซม. ที่สนามบินบัฟฟาโล ไนอะการา อินเทอร์เนชันแนล ในวันอาทิตย์

 

จีนพบผู้ติดไวรัสโคโรน่าวันละ 1 ล้านคนในเจ้อเจียง คาดอีกไม่กี่วันพุ่งเป็น 2 ล้าน

มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใกล้กับนครเซี่ยงไฮ้ กำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 วันละประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จากการเปิดเผยของรัฐบาลส่วนท้องถิ่นเมื่อวันอาทิตย์

ถ้าหากว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ศูนย์ควบคุมพร้อมทั้งป้องกันโรคของจีนพบว่าไม่มีผู้จบชีวิตจากไวรัสโคโรน่า-19 เป็นวันที่ 5 ติดต่อกันจนถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา 

ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดภายใต้นโยบาย “ไวรัสโคโรน่าเป็นศูนย์” เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ทำให้มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำกว่าเดิม

ทั้งนี้ จีนใช้วิธีรายงานตัวเลขผู้จบชีวิตจากไวรัสโคโรน่าเฉพาะผู้ที่มีอาการปอดบวมหรือทางเดินหายใจล้มเหลวเท่านั้น ซึ่งขัดกับการรายงานตัวเลขของประเทศอื่นพร้อมทั้งของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก 

มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งมีประชากรราว 65.4 ล้านคน คือหนึ่งในเขตปกครองที่ใช้วิธีประมาณตัวเลขผู้ติดเชื้อซึ่งรวมถึงผู้ติดเชื้อซึ่งไม่แสดงอาการ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจีนมิได้เปิดเผยข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการแต่อย่างใด 

แถลงการณ์ของรัฐบาลส่วนท้องถิ่นเจ้อเจียงพบว่า “คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในเจ้อเจียงจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดเร็ว ๆ นี้ พร้อมทั้งประเมินว่าในช่วงวันปีใหม่อาจจะมีผู้ติดเชื้อถึงวันละ 2 ล้านคน” โดยขณะนี้มีผู้ติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลราว 13,500 คน พร้อมทั้งมี 1 คนที่มีอาการป่วยหนักจากไวรัสโคโรน่า ส่วนอีก 242 คนมีอาการป่วยสืบเนื่องจากโรคประจำตัวหลังจากติดไวรัสโคโรน่า

เจ้าหน้าที่เผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีประชาชนไปใช้บริการคลินิกวัดไข้ทั่วเจ้อเจียงวันละมากกว่า 400,000 คน มากกว่าระดับปกติ 14 เท่า ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขในมณฑลนี้พร้อมทั้งอีกหลายพื้นที่ทั่วประเทศกำลังต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลจากผู้ที่มาขอใช้บริการ

สื่อของทางการจีนรายงานว่า บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ พร้อมทั้งมีการเรียกตัวผู้ที่เกษียณไปแล้วให้ช่วยกลับมาทำงานในช่วงนี้จนถึงช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง

ในเวลาเดียวกัน รายงานวิจัยของ Capital Economics ชี้ว่า “จีนกำลังเข้าสู่ช่วงสัปดาห์อันตรายที่สุดของการระบาดใหญ่” “ทางการจีนแทบมิได้ใช้ความพยายามในการชะลอการระบาด ในขณะที่การแห่เดินทางกลับบ้านทั่วประเทศในช่วงเทศกาลตรุษจีนกำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าพื้นที่ที่ยังไม่มีการระบาดใหญ่อาจจะเริ่มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้”

ที่มา: รอยเตอร์

 

กระเทาะใจ วิถีเจน Z: ‘เที่ยวตอนนี้-ทำงานทีหลัง’ จริงหรือ?

เจเนอเรชัน Z หรือคนเจน Z ซึ่งเกิดในช่วงระหว่างปี 1997-2012 ได้รับการจับตามองอย่างมากจากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า โดยเจน Z ที่อายุมากที่สุดตอนนี้กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่พร้อมทั้งกำลังแรงงานสำคัญในอนาคต แต่หลายคนในรุ่นนี้มองว่า การเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบเดิม ๆ อย่างการมีงานทำที่มั่นคงพร้อมทั้งมีบ้านเป็นของตนเองนั้นอาจไม่ใช่แนวทางของพวกเขาเลย

อิสซาเบลล์ ลิบลีน วัย 23 ปี ซึ่งเป็นคนเจน Z หรือ Zoomer รุ่นแรก เปิดเผยเรื่องราวของเธอบน TikTok เกี่ยวกับการตัดสินใจระหว่างที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2021 เทเงินเก็บที่มีทั้งหมดพร้อมทั้งออกไปใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปใน 19 ประเทศยุโรป ซึ่งมีผู้ติดตามเธอบนแพลตฟอร์มดังกล่าวหลายพันคน พร้อมทั้งเธอสนับสนุนให้ทุกคนทำตามเส้นทางนี้เหมือนกัน โดยเธอบอกว่า “เดี๋ยวก็หาเงินใหม่ได้ แต่เราไม่อาจกลับมาเที่ยวตอนอายุ 20 ได้อีกแล้ว”

ลิบลีน ที่จบปริญญามาหมาด ๆ พร้อมทั้งทำงานเป็นวิศวกรไอที บอกกับวีโอเอว่า เธอให้ความสำคัญหลักไปกับการท่องเที่ยวไม่ใช่การเติบโตในอาชีพ

ลิบลีน บอกว่า “การท่องเที่ยว ได้สัมผัส 19 ประเทศที่แตกต่างในยุโรป เปลี่ยนมุมมองของฉันไป ฉันตั้งใจว่าจะเลือกทำงานที่ได้ออกไปทำงานทุกวัน วันละหลายชั่วโมง แต่ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนความคิดนั้น พร้อมทั้งลาออกไปทำงานที่มีสมดุลระหว่างที่ทำงานพร้อมทั้งการใช้ชีวิต พร้อมทั้งหวังว่าจะเป็นงานทำทางไกลได้ด้วย”

ส่วนรุ่นเจน Z อีกคน คาเมรอน เวด นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัย Michigan University วัย 21 ปี หวังว่าจะรวมการท่องเที่ยวพร้อมทั้งทำงานไปด้วยกัน พร้อมทั้งเชื่อว่าอินเตอร์เน็ตจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานพร้อมทั้งทำธุรกิจในอนาคต

เวด บอกว่า “อินเตอร์เน็ตมีบทบาทใหญ่ต่อคนรุ่นเราอย่างมาก เหมือนว่าเรามีทางในการเข้าถึงผู้คนกว้างขวางขึ้นได้จากที่บ้านของเราเอง”

เหล่า Zoomer ต่างแสดงมุมมองถึงการใส่ใจดูแลตัวเองพร้อมทั้งสิ่งที่สำคัญกับชีวิตของพวกเขาเป็นสำคัญ ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ

ลิบลีน บอกว่า “พ่อแม่ของฉันให้ความเห็นกับงานแรกที่ฉันทำพร้อมทั้งเกลียดมันเอามาก ๆ ว่าให้ทนทำไปก่อน พร้อมทั้งไต่เต้าขึ้นไป บางทีอีกสามปีลูกจะได้สิ่งที่ต้องการนะ! แต่คนรุ่นเราไม่ต้องการมาเสียเวลา เราไม่รู้สึกภักดีกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ไม่รองรับความต้องการของเรา”

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยพิว พบว่า เหล่า Zoomer เป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษามากที่สุด โดยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยราว 57% เมื่อเทียบกับคนมิลเลเนียล 52% พร้อมทั้งคนเจน X 43% ที่เลือกจะร่ำเรียนระดับอุดมศึกษา

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายปรากฎการณ์ดังบอกว่า คนรุ่นใหม่ต้องการประสบการณ์การทำงานที่ไม่เหมือนแบบดั้งเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมทั้งว่าประสบการณ์ในช่วงวัยหนุ่มสาวจะช่วยเติมเต็มชีวิตของพวกเขาในระยะยาวได้

แคสซี โฮล์มส นักสังคมวิทยา จาก UCLA Anderson School of Management เปิดเผยกับวีโอเอว่า “การวิจัยพบว่าคนกลุ่มนี้ลงทุนไปกับประสบการณ์ที่มอบความสุขให้มากกว่าทุ่มเงินไปกับสิ่งของราคาแพง พร้อมทั้งยังพบว่าสิ่งนี้ไม่ได้แค่ให้ผลในระยะสั้น แต่การซื้อประสบการณ์จะให้ผลด้านความสุขที่มากกว่าพร้อมทั้งยังให้ผลดียาวนานกว่า

ทั้งนี้ กลุ่มเจน Z จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังแรงงานมากกว่า 25% ในตลาดแรงงานอเมริกัน ภายในปี 2025

ที่มา: วีโอเอ

การศึกษาชี้ มนุษย์ยุคหินคบเพื่อนบ้านใกล้กัน-ผู้หญิงเป็นฝ่ายออกเรือน

การศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ยุคหินนีแอนเดอร์ทาลได้ก่อตั้งชุมชนเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน ในขณะที่ผู้หญิงอาจจะเป็นฝ่ายย้ายไปอยู่กับคู่ของตนมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว

การวิจัยดังกล่าวใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรมเพื่อเสนอแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของมนุษย์ยุคหินนีแอนเดอร์ทาล ซึ่งรวมถึงดีเอ็นเอของมนุษย์ผู้เป็นพ่อพร้อมทั้งลูกสาวที่อาศัยอยู่ในไซบีเรียเมื่อกว่า 50,000 ปีก่อน

นักวิจัยสามารถดึง DNA ออกจากชิ้นส่วนกระดูกเล็ก ๆ ที่พบในถ้ำสองแห่งของรัสเซียได้ ในการศึกษาของพวกเขาที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Nature ได้มีการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อสร้างแผนผังความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นีแอนเดอร์ทาล 13 คน พร้อมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของพวกเขา

เบนเซ วิโอลา (Bence Viola) จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนการศึกษานี้บอกว่า “ในขณะที่กำลังศึกษากระดูกหนึ่งหรือสองชิ้น จะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะลืมว่ากระดูกนั้น ๆ เป็นของคนที่มีชีวิตพร้อมทั้งมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง” พร้อมทั้งว่า “การพยายามศึกษาว่ากระดูกเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ทำให้รู้สึกว่ากระดูกมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น”

นีแอนเดอร์ทาลซึ่งเป็นวงศาคณาญาติของมนุษย์เราในสมัยโบราณ อาศัยอยู่ทั่วทวีปยุโรปพร้อมทั้งเอเชียเป็นเวลาหลายแสนปี จากนั้นก็สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 40,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาไม่นานหลังจากที่เผ่าพันธุ์ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) ของมนุษย์เรา เดินทางจากแอฟริกามาถึงยุโรป

นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะสามารถศึกษา DNA ของมนุษย์ในยุคแรก ๆ เหล่านี้ได้เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้ชนะรางวัลโนเบลคนใหม่ สวอนเต พาเอโบ (Svante Paabo) ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนของการศึกษาฉบับล่าสุดนี้ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาครั้งแรกของจีโนมมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว

ลอริทส์ สกอฟ (Laurits Skov) จากสถาบัน Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology ซึ่งเป็นหัวหน้าในการเขียนรายงานบอกว่า ตั้งแต่เป็นต้นนั้นมา นักวิทยาศาสตร์ก็ได้จัดลำดับจีโนมของมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลทั้ง 18 คน

ถ้าหากว่า เป็นเรื่องยากที่จะพบกระดูกจากมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลหลาย ๆ คนจากช่วงเวลาพร้อมทั้งสถานที่เดียวกัน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้การค้นพบถ้ำเหล่านี้มีความพิเศษมาก ซึ่งสกอฟบอกว่าอาจจะเป็นชุมชนของมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลก็เป็นได้

วิโอลา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต บอกว่า ถ้ำเหล่านี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือแม่น้ำในหุบเขา เป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ตั้งแต่เครื่องมือหินไปจนถึงชิ้นส่วนฟอสซิล ซึ่งมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลอาจใช้ถ้ำเป็นจุดล่าสัตว์ พร้อมทั้งว่า นักวิจัยที่เข้าไปขุดในถ้ำพบซากมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลอย่างน้อย 12 คน ซากเหล่านี้มักจะถูกพบแบบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เช่นกระดูกนิ้วมือ หรือกระดูกฟัน แต่ก็เพียงพอสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถเก็บข้อมูลดีเอ็นเอที่จำเป็นต่อการศึกษาได้

ทั้งนี้ นักวิจัยสามารถระบุเครือญาติในกลุ่มของกระดูกที่ทำการศึกษาได้ รวมถึงพ่อพร้อมทั้งลูกสาวพร้อมทั้งญาติอีกสองคนด้วย

โดยรวมแล้ว จากการศึกษาพบว่ากระดูกของมนุษย์ยุคหินทุกคนในกลุ่มมี DNA ที่เหมือนกันจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยในบริเวณนี้ มนุษย์นีแอนเดอร์ทาลเคยอาศัยอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ ที่มีคน อยู่ 10 ถึง 20 คน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนในกลุ่มเหล่านี้จะอยู่ด้วยกันเสมอไป

นอกจากนี้แล้ว นักวิจัยยังศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมอื่น ๆ จาก DNA ไมโตคอนเดรียซึ่งส่งต่อไปยังฝ่ายมารดา พร้อมทั้งโครโมโซม Y ซึ่งส่งต่อไปยังฝ่ายบิดา

สกอฟบอกว่า ฝ่ายหญิงมีความแตกต่างทางพันธุกรรมมากกว่าฝ่ายชาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงอาจย้ายถิ่นฐานไปมามากกว่าผู้ชาย เป็นไปได้ว่าเมื่อมนุษย์นีแอนเดอร์ทาลเพศหญิงพบคู่ครอง เธอจะออกจากบ้านเพื่อไปอยู่กับครอบครัวของเขา

จอห์น ฮ็อคส์ (John Hawks) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษานี้บอกว่า การวิจัยนี้เป็นการใช้หลักฐานดีเอ็นเอโบราณได้อย่างน่าตื่นเต้น แม้ว่าจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมพร้อมทั้งวิถีชีวิตของมนุษย์ยุคหินนีแอนเดอร์ทาลก็ตาม

ถ้าหากว่า การศึกษาว่ามนุษย์ในยุคแรก ๆ มีชีวิตอยู่อย่างไรนั้น เปรียบเสมือนกับ “การไขปริศนาที่นำเอาชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นปะติดปะต่อกัน” แต่การศึกษานี้หมายความว่าจำเป็นต้องมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมมากขึ้น

ที่มา: เอพี

“ซาลาห์” โดนวิจารณ์ยับ หลังโพสต์รูปครอบครัวกับต้นคริสต์มาส บอกถ้าไม่ลบจะเลิกติดตาม

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงลิเวอร์พูล เจอดราม่าโดนชาวมุสลิมวิจารณ์ หลังโพสต์รูปครอบครัวกับต้นคริสต์มาส บอกถ้าไม่ลบจะเลิกติดตาม

ไวรัสโคโรน่าจีนพุ่งหนัก ทางการหยุดรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันแล้ว

หน่วยงานสาธารณสุขจีนประกาศหยุดเผยแพร่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19 รายวันแล้ว ท่ามกลางข้อครหาว่า ตัวเลขที่ทางการเผยแพร่ออกมาต่ำกว่าความเป็นจริงมาก

กุนซือฟิลิปปินส์ เตือนลูกทีมระวัง 2 แข้งไทย ก่อนดวลเดือด “อาเซียน คัพ” 2022

โจเซป เฟร์เร กุนซือทีมชาติฟิลิปปินส์ ออกมาเปิดใจก่อนบุกเยือน ทีมชาติไทย ในศึกอาเซียน คัพ 2022