“นายกฯ อิ๊งค์” ยกย่องเชิดชูเกียรติสตรี เชื่อมั่นก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ทุกเวที

นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันสตรีสากล ยกย่องเชิดชูเกียรติสตรี นำไปสู่ความเสมอภาค เชื่อมั่นก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ทุกเวที ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ

จับแล้ว “ชายเสื้อแดง” จุดไฟเผาป่า อ.ลี้ จ.ลำพูน อ้างมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้ทำ

จับแล้ว “ชายเสื้อแดง” มือจุดไฟเผาวัชพืชในสวนลำไยป่า ใกล้ป่าสงวนแม่ลี้ จ.ลำพูน อ้างมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้ทำ

สามห่วงทะลวงไฟฟ้า TOYOTA bZ3X EV SUV

Toyota bZ3X เป็นการร่วมทุนระหว่าง Toyota พร้อมทั้ง GAC ของจีน เปิดตัวครั้งแรกในเดือนธันวาคม แต่เพิ่งจะเริ่มขายได้ไม่นาน bZ4X พิสูจน์แล้วว่าได้รับความนิยมอย่างมากในจีน โดยมียอดสั่งจองมากกว่า 10,000 ราย ภายในหนึ่งชั่วโมง ซึ่งการเห่จองออนไลน์ทำให้ระบบขัดข้อง เมื่อมองจากประสิทธิภาพ ขนาดพร้อมทั้งการทำระยะทาง ก็เข้าใจได้ว่าทำไม bZ3X ถึงได้รับความนิยมในจีน

ผลชันสูตรชี้ ยีน แฮ็กแมน ตายด้วยโรคหัวใจ ตามหลังภรรยาที่ตายฉับพลันจากการติดเชื้อฮันตาไวรัส

สำนักงานนายอำเภอของเขตซานตาเฟ เผยผลชันสูตรการจบชีวิตของยีน แฮ็กแมน พบนักแสดงออสการ์จบชีวิตด้วยโรคหัวใจ หลังจากภรรยาจบชีวิตฉับพลันจากการติดเชื้อฮันตาไวรัสไปแล้วหลายวัน โดยแฮ็กแมนไม่ทราบว่าภรรยาจบชีวิตเนื่องจากอาการอัลไซเมอร์

ผับบาร์โล่งใจ สภาอังกฤษโหวตไม่ยกเลิกแก้ว ‘ไพน์ท’

ในยุคที่หน่วยชั่งตวงวัดแบบเมตริกครองโลก หนึ่งในมรดกหน่วยวัดแบบอิมพีเรียลของอังกฤษที่หลงเหลืออยู่ นอกจากจะเห็นได้ในสหรัฐฯ แล้ว อีกที่หนึ่งที่ยังเห็นได้ก็คือตามผับบาร์ในอังกฤษเองในรูปแบบแก้ว ‘ไพน์ท’ 

หน่วยไพน์ท (Pint) เทียบเท่ากับ 16 ออนซ์ หรือ 473 มิลลิลิตรกว่า ๆ คือหน่วยวัดแบบอังกฤษที่ยังคงใช้งานกันอยู่ หลังอังกฤษเปลี่ยนระบบมาตรวัดให้เป็นแบบเมตริกตั้งแต่ปี 1965 ส่งผลให้ ‘เมตร’ เข้ามาแทนที่ ‘ฟุต’ พร้อมทั้ง ‘กรัม’ เข้ามาแทนที่ ‘ปอนด์’

หลังอังกฤษมีมติออกจากสหภาพยุโรปในปี 2020 หรือที่เรียกกันในชื่อ ‘เบรกซิท (Brexit)’ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า อังกฤษจะหวนกลับมาใช้ระบบตวงวัดแบบอังกฤษหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลอนุรักษ์นิยมก็ตัดสินใจไม่หวนกลับเส้นทางเดิม แต่ยกเว้นสินค้าบางประเภทเช่นผัก ผลไม้ตามตลาด รวมถึงเบียร์ที่ยังให้ใช้มาตรวัดอังกฤษ

หนึ่งในควันหลงหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่ถกเถียงนี้ก็คือข้อกล่าวหาจากพรรคอนุรักษ์นิยม ที่บอกว่า ข้อเสนอเรื่องหน่วยชั่งตวงจากรัฐบาลพรรคแรงงานมีวัตถุประสงค์ให้ผับบาร์เลิกขายเบียร์เป็นไพน์ท

การถกเถียงดำเนินไปจนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สภาขุนนาง (House of Lord) ซึ่งเป็นสภาสูงในระบบรัฐสภาอังกฤษ มีมติรับรองกฎหมายคุ้มครองการใช้หน่วยไพน์ทในผลิตภัณฑ์นม เบียร์ หรือไซเดอร์ ตามรายงานในเอเอฟพี

นั่นหมายความว่า ผับยังคงสามารถเสิร์ฟเบียร์ให้ลูกค้าในหน่วยไพน์ทได้ 

หากมองด้วยสายตาของคนภายนอก อาจจะมีคำถามว่า สภาสถานในกรุงลอนดอนยิ่งใหญ่เกินไปที่จะเถียงกันในเรื่องยิบย่อยแบบนี้หรือไม่

คำตอบสั้น ๆ อาจจะอยู่ในคำว่า ‘วัฒนธรรม’ 

ส่วนคำตอบที่ยาวกว่านี้คืออรรถาธิบายจากผู้แทนในสภา เช่น ลอร์ดแอนดรูว ชาร์พ จากพรรคอนุรักษ์นิยม ที่บอกว่าไพน์ทไม่ใช่แค่มาตรวัด แต่ผูกพันกับประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งเป็น “ส่วนหนึ่งของมรดกของพวกเรา”

ชาร์พยกตัวอย่างคำพูดสุดฮิตในสังคมเมืองผู้ดี คือ “Fancy a pint?” หรือแปลได้ว่า “สนใจสักไพน์ทมั้ย” ซึ่งอาจเทียบได้กับคำว่า “สักกรึ๊บมั้ย” ในบริบทสยามประเทศ

ท้ายที่สุด แม้กระทั่งรัฐบาลเองก็ยังสนับสนุนการคงไว้ซึ่งหน่วยไพน์ท 

ลอร์ดซันนี เลียง จากพรรคแรงงานซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่ พบว่า “ด้วยสภาวะอากาศที่ดีขึ้นสักที กระผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผับทั้งประเทศจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่มาหาความสุขกับเบียร์หรือไซเดอร์” พร้อมทั้งทิ้งท้ายด้วยว่า ‘ไพน์ท’ ยังคงปลอดภัยพร้อมทั้งอยู่คู่อังกฤษต่อไป

ที่มา: เอเอฟพี

ทรัมป์เปิดทำเนียบขาว ตั้งวงหารือ ‘เงินคริปโต’

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดทำเนียบขาวในวันศุกร์ เพื่อเป็นสถานที่พูดคุยของบุคคลชั้นนำด้านสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี) หนึ่งวันหลังประกาศตั้งกองทุนสำรองเงินดิจิทัล

เอเอฟพีรายงานว่า เดวิด แซคส์ นักลงทุนจากซิลิคอนวัลเลย์ ที่ทรัมป์แต่งตั้งเป็นผู้รับผิดชอบด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ได้เชิญชวนนักลงทุน ซีอีโอพร้อมทั้งตัวแทนเอกชนชั้นนำเข้ามาเป็นสมาชิกคณะทำงานของทรัมป์เพื่อจัดทำนโยบาย เร่งการเติบโตพร้อมทั้งทำให้อุตสาหกรรมคริปโตมีความชอบธรรม

ในการหารือดังกล่าว ทรัมป์พบว่า มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกด้านสกุลเงินคริปโต ตามการรายงานของเอพี

ตัวอย่างบุคคลในรายชื่อดังกล่าวได้แก่ไทเลอร์ วิงเคิลวอส ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มคริปโต Gemini ไบรอัน อาร์มสตรองจาก Coinbase พร้อมทั้งไมเคิล เซย์เลอร์ หัวหน้าบริษัทลงทุนในสกุลเงินบิตคอยน์ MicroStrategy

ผู้รับผิดชอบด้านคริปโตของรัฐบาลทรัมป์โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ว่าการหารือจะมีลักษณะเป็นวงพูดคุยกัน พร้อมทั้งทำเนียบขาวจะ “คงขนาดให้เล็กเข้าไว้”

เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ก่อตั้ง “กองทุนสำรองคริปโตทางยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve)” ซึ่งเป็นสิ่งที่แซ็คส์มองว่าสำคัญมากกับร่วมมือกันทำงานสกุลเงินคริปโต

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอเรนซี ที่มีทั้งผู้มองว่าจะเข้ามาปฏิวัติโลกการเงินในฐานะทางเลือกนอกเหนือจากระบบเงินตราดั้งเดิม แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนที่วิจารณ์ว่าเป็นเพียงสิ่งของที่ใช้เก็งกำไร พร้อมทั้งยังมีคำถามต่อการใช้งานในโลกความเป็นจริง รวมถึงภาระของผู้เสียภาษีที่ต้องเข้ามาอุ้มตลาดหากเกิดภาวะฟองสบู่แตก

บิตคอยน์คือสกุลเงินคริปโตที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก ซึ่งที่ผ่านมาผู้สนับสนุนมองว่าจะเข้ามาแทนที่บทบาทของทองคำ พร้อมทั้งเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในช่วงภาวะค่าเงินตกต่ำพร้อมทั้งความไร้เสถียรภาพทางการเมือง

ด้านหนึ่ง นักลงทุนคริปโตถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้สนับสนุนรายใหญ่ของทรัมป์ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยหวังว่าชัยชนะทางการเมืองจะทำให้เกิดจุดจบของท่าทีไม่ไว้วางใจในสกุลเงินคริปโตของรัฐบาลโจ ไบเดน

อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์เองก็มีสายสัมพันธ์กับภาคส่วนนี้ จากการร่วมมือกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต World Liberty Financial เมื่อเดือนมกราคม เปิดตัวเหรียญมีมของตนเองพร้อมทั้งเมลาเนีย ทรัมป์ ผู้เป็นภรรยา

หนึ่งในผลคำสั่งก่อตั้งกองทุนคริปโตล่าสุดนี้ จะถ่ายโอนเงินดิจิทัลที่สหรัฐฯ ยึดมาได้จากกระบวนการทางคดีอาญาเข้าไปในกองทุนดังกล่าว ซึ่งแซ็คส์ระบุในโพสต์บน X ว่า หากรัฐบาลก่อน ๆ ตัดสินใจทำเช่นนี้ มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีจะอยู่ที่ 17,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 573,000 ล้านบาท)

ก่อนหน้านี้ทรัมป์แต่งตั้ง พอล แอทคินส์ ผู้สนับสนุนเงินสกุลคริปโตรายใหญ่ให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการกำกับตลาดซื้อขายหุ้นของสหรัฐฯ (SEC) ทำให้เกิดการถอนการดำเนินการทางกฎหมายต่อแพลตฟอร์ม Coinbase พร้อมทั้ง Kraken ที่เริ่มต้นในสมัยรัฐบาลไบเดน รวมถึงปลดข้อจำกัดที่ห้ามไม่ให้ธนาคารครอบครองสกุลเงินคริปโต

ถ้าหากว่า การเปลี่ยนแปลงทิศทางของประเทศที่มีต่อเงินดิจิทัลที่มีนัยสำคัญ น่าจะต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส ซึ่งปัจจุบัน กฎหมายเกี่ยวกับเงินคริปโตยังคงค้างอยู่ระหว่างที่ล็อบบี้อย่างเข้มข้น

ที่มา: เอเอฟพี เอพี

‘ทรัมป์’ ขู่ลงโทษรัสเซีย เร่งให้ปิดดีลสันติภาพยูเครน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุในวันศุกร์ว่าจะลงโทษรัสเซียขนานใหญ่ด้วยกำแพงภาษีพร้อมทั้งมาตรการการเงิน พร้อมเรียกร้องให้ยูเครน-รัสเซีย เข้ามาเริ่มเจรจาสันติภาพ ตามการรายงานของรอยเตอร์

ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังรอยเตอร์รายงานในวันจันทร์ว่าทำเนียบขาวอาจเตรียมผ่อนปรนการคว่ำบาตรรัสเซีย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตพร้อมทั้งเศรษฐกิจ รวมถึงผลักดันให้ยุติสงครามในยูเครน

ในวันศุกร์ ทรัมป์ได้บอกกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “หากพวกเขา (รัสเซียพร้อมทั้งยูเครน) ไม่ต้องการจะจบ เราจะออกมาจากที่นั่น เพราะเราต้องการให้พวกเขาจบ”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลว่า “จากข้อเท็จจริงที่รัสเซีย “กำลังกระหน่ำ” ยูเครนเต็มที่ในสนามรบตอนนี้ ผมกำลังพิจารณาอย่างหนักเรื่องการลงโทษด้านการธนาคาร การคว่ำบาตร พร้อมทั้งกำแพงภาษีขนานใหญ่กับรัสเซียจนกว่า (จะมี) การหยุดยิง พร้อมทั้งบรรลุข้อสรุปข้อตกลงสันติภาพ”

ขณะนี้กองกำลังรัฐบาลมอสโกแทบจะสามารถปิดล้อมทหารยูเครนหลายพันคนที่บุกเข้าไปในแคว้นเคิรสก์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธการที่กรุงเคียฟหวังจะใช้เป็นหนึ่งในแต้มต่อบนเวทีเจรจาสันติภาพใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่ายรัสเซียยังสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างด้านพลังงานในยูเครนเพิ่มอีกในการจู่โจมด้วยจรวดครั้งใหญ่ หลังสหรัฐฯ ระงับการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองให้กับยูเครน

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่กำลังมองหาแรงสนับสนุนจากชาติตะวันตกอื่น ๆ จากการที่สหรัฐฯ ปรับท่าทีเข้าหารัสเซียมากขึ้น เรียกร้องให้รัสเซียหยุดการจู่โจมที่ดำเนินอยู่

ผู้นำยูเครนระบุในแอปพลิเคชั่นเทเลแกรมว่า “ขั้นตอนแรกในการสร้างสันติภาพที่แท้จริงควรเป็นการบีบให้ต้นตอหนึ่งเดียวของสงครามนี้ ก็คือรัสเซีย ให้หยุดการจู่โจม”

รัสเซียเผชิญกับมาตรการลงโทษจากนานาประเทศนับตั้งแต่รุกรานยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 รวมถึงจากสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดรายได้จากน้ำมันพร้อมทั้งก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย

เซเลนสกีกล่าวในวันพฤหัสบดีนี้ว่า จะเดินทางไปพบกับมกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบียในวันจันทร์หน้า ซึ่งจะตามมาด้วยการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ของยูเครนพร้อมทั้งสหรัฐฯ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทรัมป์พร้อมทั้งเซเลนสกี

สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ยืนยันว่าจะมีการพูดคุยกับยูเครนที่ซาอุดีอาระเบีย 

ก่อนหน้านี้ วิตคอฟฟ์ได้พูดคุยกับทางการรัสเซียแล้ว พร้อมทั้งกำลังหารือกับยูเครนเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงยุติสงครามที่กินเวลามาแล้วสามปี พร้อมทั้งรัสเซียกำลังยึดพื้นที่ของยูเครนอยู่ราวหนึ่งในห้า

ที่ผ่านมา รัฐบาลกรุงเคียฟกดดันให้สหรัฐฯ ให้การรับรองด้านความปลอดภัยในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงเข้าถึงแร่หายาก ซึ่งอาจปูทางไปสู่การยุติสงคราม แต่ถูกสหรัฐฯ ปัดตกไป โดยทรัมป์เชื่อว่าการให้สหรัฐฯ เข้าถึงสินแร่หายากในยูเครนนั้นถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการประกันความปลอดภัย

ที่มา: รอยเตอร์

ทรัมป์เผยส่งจดหมายถึงอิหร่านเพื่อเจรจานิวเคลียร์

Washington — ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่าเขาต้องการเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน พร้อมทั้งได้ส่งจดหมายไปยังผู้นำกรุงเตหะรานในวันพฤหัสบดี โดยพบว่าเขาหวังว่าประเทศที่เป็นคู่อริกับสหรัฐฯ มายาวนานเเห่งนี้จะยอมร่วมวงหารือ

“ผมหวังว่าคุณจะมาเจรจา เพราะมันจะดีกว่ามากสำหรับอิหร่าน” ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ Fox Business Network ในวันศุกร์

“ผมคิดว่าพวกเขาอยากจะได้รับจดหมาย อีกทางเลือกหนึ่งคือเราต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะคุณไม่สามารถปล่อยให้มีอาวุธนิวเคลียร์อื่น ๆ อีก”

รอยเตอร์รายงานว่ายังไม่มีปฏิกิริยาออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลเตหะราน ในช่วงสุดสัปดาห์เมื่อนักข่าวถามความเห็นไปที่อิหร่านเกี่ยวกับถ้อยเเถลงของผู้นำสหรัฐฯ  

จดหมายที่ทรัมป์ระบุน่าจะถูกส่งถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน

ถ้าหากว่าทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ไม่ได้ตอบกลับการขอความเห็นจากนักข่าวโดยทันที

ทรัมป์บอกว่าวิธีที่จะดำเนินการกับอิหร่านมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง วิธีทางทหารพร้อมทั้งการเจรจาเพื่อให้เกิดความตกลง

“เพราะผมไม่ต้องการทำร้ายอิหร่าน” ทรัมป์กล่าว พร้อมทั้งยังได้ชื่มชมชาวอิหร่านด้วยว่า “ยอดเยี่ยม”

ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ รื้อเเนวทางด้านต่างประเทศของสหรัฐฯ 

เขามีนโยบายประสานประโยชน์มากขึ้นกับรัสเซีย ซึ่งสร้างความกังลต่อชาติตะวันตก โดยทรัมป์พยายามเป็นตัวกลางเพื่อให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กินเวลามานาน 3 ปี จบลง

ในปี 2018 ภายใต้การบริหารประเทศสมัยเเรกของเขา ทรัมป์ได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากความตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซึ่งเป็นความพยายามของหลายฝ่ายที่ต้องการให้รัฐบาลเตหะรานเลิกพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์บอกว่าตนต้องการมีข้อตกลงกับอิหร่าน เพื่อให้รัฐบาลเตหะรานล้มเแผนการผลิตอาวุธดังกล่าว

รัสเซียเคยเสนอเป็นตัวกลาง หากเกิดการเจรจาขึ้นตามรายงานของรอยเตอร์ที่อ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อในวันอังคาร

ที่มา: รอยเตอร์

 

รบ.ทรัมป์เตรียมตัดเงิน ‘ม.โคลัมเบีย’ ประเด็นกระเเสต้านชาวยิว

รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าววันศุกร์ว่าจะถอนการสนับสนุนทางการเงินพร้อมทั้งสัญญาจ้าง ต่อมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนครนิวยอร์ก รวมมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ โดยพบว่าสถาบันแห่งนี้ล้มเหลวในการปราบปรามการต่อต้านชาวยิวภายในสถานศึกษา

ก่อนหน้านี้ 5 วัน หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ประกาศว่ากำลังพิจารณาคำสั่งยุติงานสัญญาจ้างมูลค่า 51 ล้านดอลลาร์ ต่อมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University) ซึ่งอยู่ที่เกาะเเมนฮัตตันเช่นเดียวกับโคลัมเบีย

มหาวิทยาลัยนิวยอร์กถูกรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กำลังพิจารณาด้วยว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ที่จะได้รับเงินสนับสนุนมูลค่ากว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต

มหาวิยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาอันเก่าแก่ในกลุ่มไอวีลีคของสหรัฐฯ ได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อตรวจสอบวินัย พร้อมทั้งยกระดับการสืบสวนนักศึกษาที่วิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้สนับสนุนเสรีภาพในการเเสดงความคิดเห็น

ดูเหมือนว่าการทำงานหนักขึ้นของโคลัมเบียยังไม่สามารถคลายความกังวลของรัฐบาลกลาง

รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการลินดา เเมคมาฮอน กล่าวในเเถลงการณ์วันศุกร์ว่า “มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต้องทำตามกฎหมายรัฐบาลกลางทั้งหมดที่เกี่ยวกับการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ ถ้ายังต้องการรับเงินจากรัฐบาลกลาง …เป็นเวลานานเกินไปเเล้วที่โคลัมเบียละทิ้งหน้าที่ต่อนักศึกษาชาวยิวที่เรียนอยู่ในรั้วของสถาบัน”

มหาวิทยาลัยโคลัมเบียออกเเถลงการณ์ ว่าต้องการทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อให้ได้เงินสนับสนุน

“เราให้ความสำคัญอย่างจริงจังต่อพันธะทางกฎหมาย พร้อมทั้งเข้าใจถึงความรุนเเรงของเเถลงการณ์นี้ พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับการต่อต้านชาวยิว รวมทั้งทำให้เกิดความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยเเละสวัสดิภาพของนักศึกษา คณาจารย์พร้อมทั้งพนักงาน” มหาวิทยาลัยแห่งนี้กล่าวในเเถลงการณ์

ไม่เป็นที่ทราบเเน่ชัดว่า โครงการ หรือกิจกรรมใดของมหาวิยาลัยแห่งนี้จะได้รับผลกระทบ โดยโคลัมเบียมีศูนย์การแพทย์พร้อมทั้งทำงานด้านอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

สถาบันแห่งนี้ เป็นเป้าหมายเเรกที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะใช้นโยบายตัดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางไปยังสถาบันอุดมศึกษา

โคลัมเบียถูกกล่าหาว่ายอมทนต่อกระเเสเหยียดชาวยิวท่ามกลางสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่เริ่มขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2023

กิจกรรมแสดงพลังสนับสนุนปาเลสไตน์เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นที่เเรก ๆ โดยผู้ประท้วงเข้ายึดอาคารของสถาบันพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจับกุมตัวผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวจำนวนมาก

ผู้ประท้วงจำนวนมากบอกว่าการวิจารณ์อิสราเอลไม่ได้หมายถึงการเกลียดชังชาวยิว

นอกจากโคลัมเบียเเล้วยังมีมหาวิทยาลัยอีก 4 แห่งในสหรัฐฯ ที่ ถูกตรวจสอบเรื่องการต่อต้านชาวยิวโดยรัฐบาลกลาง ซึ่งประกอบด้วยมหาวิทยาลัยเเคลิฟอร์เนียวิทยาเขตเบิร์คลีย์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น พร้อมทั้งพอร์ตเเลนด์สเตทยูนิเวอร์ซิตี้

ที่มา: เอพี

รัฐมนตรีความมั่นคง ฮ่องกง ขอบคุณ ไทย ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์กลับบ้าน

“รมว.มั่นคงฯ เกาะฮ่องกง” ขอบคุณ “ทวี-รัฐบาล” ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ชาวฮ่องกงกลับบ้าน ด้าน “ทวี” เสนอตั้งคณะทำงานถอดบทเรียน 2 ประเทศ พัฒนาการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ