รัฐบาล เผยต่างชาติเชื่อมั่นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ยักษ์ใหญ่จีนเจรจาแล้ว 74 บริษัท

รองโฆษกรัฐบาล “ศศิกานต์” เผย บริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จีนเชื่อมั่นศักยภาพไทย เจรจาธุรกิจ 74 บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในไทย คาดมูลค่า 2.25 พันล้านบาท ด้าน BOI เร่งดึงผู้ผลิตสู่ซัพพลายเชน EV ยกระดับไทยศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วน

ครั้งแรกของโลก! ภาพวาดจากจิตรกรเอไอ สร้างสถิติทำเงินได้ 1.3 ล้านดอลลาร์

ภาพวาดฝีมือจิตรกรฮิวแมนนอยด์ Ai-Da สร้างประวัติศาสตร์ในการทำรายได้ 1.32 ล้านดอลลาร์ หรือราว 44 ล้านบาท ในการประมูลผลงานจากปัญญาประดิษฐ์ครั้งแรกของโลกโดยบริษัท Sotheby’s

ผลงานในชื่อ A.I. God เป็นภาพเหมือนสูง 7 ฟุตของ Alan Turing นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งวงการคอมพิวเตอร์สมัยใหม่พร้อมทั้งปัญญาประดิษฐ์ ปิดการประมูลด้วยการสร้างประวัติศาสตร์เป็นผลงานจากเอไอชิ้นแรกที่ได้เข้าประมูลที่ Sotheby’s พร้อมทั้งทำเงินได้เกินกว่าเป้าหมายที่ 1.32 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดว่าจะทำเงินได้ราว 120,000-180,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 4-6 ล้านบาทเท่านั้น

กระบวนการสร้างผลงานนี้ มีการใช้ภาพวาดเหมือนเล็ก ๆ หลายรูปมาใช้ในการประมวลผลลงมาเป็นผลงานภาพขนาดใหญ่ พร้อมทั้งหุ่นฮิวแมนนอยด์ตัวนี้จะวาดส่วนด้านบนของภาพเพื่อเพิ่มข้อมูลเฉพาะตัวในตอนท้าย

Ai-Da ได้บอกกล่าวกับรอยเตอร์เมื่อเดือนตุลาคมว่า ผลงานภาพวาดของเธอมีลักษณะที่แตกร้าวพร้อมทั้งแยกเป็นชั้น ๆ สะท้อนถึงโลกปัจจุบันที่มีการแบ่งแยกพร้อมทั้งหลากหลาย

ด้าน Aidan Meller เจ้าของสตูดิโอสร้างงานศิลป์โดย Ai-Da ที่ร่วมงานกับทีมนักวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พร้อมทั้งมหาวิทยาลัยในเบอร์มิงแฮม ในอังกฤษ กล่าวถึงผลงานนี้ว่า “มันคืองานศิลปะหรือไม่? นั่นขึ้นอยู่กับผู้ชมผลงานที่จะตัดสินใจ”

ที่มา: รอยเตอร์

ผู้นำจีน-ไต้หวันเคลื่อนไหว รับ ‘ทรัมป์’ ชนะเลือกตั้ง 

ผู้นำจีนพร้อมทั้งไต้หวันแสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่ามกลางความคลุมเครือว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะมีทิศทางอย่างไรกับความขัดแย้งในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนเผยแพร่คำแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ขอให้จีนพร้อมทั้งสหรัฐฯ หาแนวทางที่เหมาะสมในการสานสัมพันธ์กันในยุคใหม่ เพื่อประโยชน์ของ ‘ทั้งสองประเทศในโลก’

ปธน. สี หวังว่ากรุงปักกิ่งพร้อมทั้งกรุงวอชิงตันจะ “ยึดถือในหลักความเคารพซึ่งกันพร้อมทั้งกัน การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ พร้อมทั้งการร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายชนะร่วมกัน เสริมสร้างการหารือพร้อมทั้งสื่อสาร จัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งขยายความร่วมมือ

อีกด้านหนึ่ง ไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำรัฐบาลไต้หวัน ระบุในแพลตฟอร์ม X โดยพบว่า มีความมั่นใจ ว่า “ความเป็นหุ้นส่วนยาวนานของสหรัฐฯ-ไต้หวัน ซึ่งสร้างขึ้นบนค่านิยมพร้อมทั้งผลประโยชน์ร่วมกัน จะยังเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับสเถียรภาพของภูมิภาค พร้อมทั้งนำไปสู่ความรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้น”

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ของจีนคาดการณ์กันว่าทรัมป์จะใช้นโยบายกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนมากขึ้น แต่ก็มีความเห็นที่ต่างกันไปว่าสงครามการค้าจะมีผลต่อเศรษฐกิจจีนอย่างไร 

ในขณะที่ชาวไต้หวันจำนวนหนึ่งกังวลว่าสหรัฐฯ จะลดการสนับสนุนไต้หวันในรัฐบาลชุดหน้า สืบเนื่องจากความเห็นที่ทรัมป์ให้ไว้กับสื่อบลูมเบิร์กนิวส์วีคเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่พูดว่ารัฐบาลไทเปควรจ่ายเงินให้กับการคุ้มครองจากสหรัฐฯ โดยเปรียบเปรยเรื่องนี้กับบริการประกันภัย 

ลิเดีย หยาง อาชีพนักการตลาดวัย 35 ปีจากไทเป ได้บอกกล่าวกับวีโอเอว่า “ดูจากความเห็นของเขา (ทรัมป์) ฉันกังวลว่าสหรัฐฯ จะไม่สนับสนุนไต้หวันมากนักถ้าเราต้องการสร้างเสถียรภาพในความสัมพันธ์กับจีน”

นอกจากพูดถึงการคุ้มครองไต้หวันแล้ว ทรัมป์ยังกล่าวหาไต้หวันว่าขโมยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ พร้อมทั้งขู่ว่าจะบังคับใช้กำแพงภาษีกับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันด้วย

ในการสัมภาษณ์กับโจ โรแกน นักจัดพอดแคสต์ชื่อดังเมื่อ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ทรัมป์พบว่า “เราเสนอเป็นพันล้านดอลลาร์ให้บริษัทรวย ๆ ให้เข้ามาพร้อมทั้งยืมเงิน พร้อมทั้งสร้างบริษัทชิปที่นี่ พวกเขาจะไม่ส่งบริษัทดี ๆ มาให้อยู่แล้วอยู่ดี”

ไล่ หมิงเว่ย วิศวกรชาวไต้หวันอายุ 44 ปี กล่าวถึงจุดยืนของทรัมป์ด้วยความกังวลว่า “หากว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ โดยตรง ผมก็กังวลเกี่ยวกับท่าทีของเขา”

ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังไม่ตอบคำขอความเห็นของวีโอเอในประเด็นนโยบายเกี่ยวกับไต้หวันของทรัมป์

 

ทางการไต้หวันพยายามสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าความสัมพันธ์ระหว่างกรุงไทเปพร้อมทั้งกรุงวอชิงตันจะไม่เปลี่ยนไปในรัฐบาลทรัมป์ 2.0

ไซ่ หมิงเยน อธิบดีสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไต้หวัน เชื่อว่า “สหรัฐฯ จะยังดำรงแนวทางปัจจุบันในการควบคุมจีนพร้อมทั้งเป็นมิตรกับไต้หวัน”

เลฟ แนชแมน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน บอกว่า “เราไม่รู้ว่าจะเห็นทรัมป์ในเวอร์ชั่นไหน พร้อมทั้งความไม่แน่นอนนี้ไม่ได้ทำให้เกิดเสถียรภาพพร้อมทั้งการคาดการณ์สถานการณ์ได้ในช่องแคบไต้หวัน”

เฉิน ฟางหยู นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซู่โจวในไต้หวัน ได้บอกกล่าวกับวีโอเอว่า “ไต้หวันต้องมีอะไรที่ชัดเจน เช่นเพิ่มงบประมาณกลาโหม เพราะหากไต้หวันไม่ทำเช่นนั้น ทรัมป์อาจคิดว่าไต้หวันไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวดีกับไต้หวันมากนัก”

เมื่อวันอังคาร เวลลิงตัน คู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไต้หวัน บอกว่ารัฐบาลไทเปต้องแสดงความมุ่งมั่นในการป้องกันตนเอง ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็ตาม

เขาบอกว่า “เราต้องทำให้พวกเขาเข้าใจว่าไต้หวันมีความมุ่งมั่นในการป้องกันตัวเอง พร้อมทั้งความสำคัญในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจพร้อมทั้งการวางตัวทางยุทธศาสตร์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของไต้หวัน”

ถ้าหากว่า นักวิเคราะห์จากจีน เชื่อว่าการที่ไต้หวันจะร่วมมือทางทหาร พร้อมทั้งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มากขึ้น จะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน 

โจว โบ นักวิชาการจากศูนย์ความมั่นคงระหว่างประเทศพร้อมทั้งยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยซินหัว ได้บอกกล่าวกับวีโอเอว่า การซื้ออาวุธอเมริกันมากขึ้น ไม่ใช่การทำให้จีนเชื่อว่าการรวมชาติอย่างสันติจะยังเป็นไปได้

จา เอียน ชอง นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์มองว่า ในขั้วค่ายของทรัมป์ไม่ได้มีทิศทางนโยบายเกี่ยวกับไต้หวันไปในทางเดียวกัน แต่ไต้หวันควรเตรียมตัวรับมือความไม่เสมอต้นเสมอปลายของทรัมป์ ที่เขามีแนวโน้ม “วนไปวนมาผ่านเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็วมาก” ในวาระแรก ซึ่งความไม่แน่ไม่นอนนี้อาจเป็นจุดที่รัฐบาลปักกิ่งสามารถฉวยใช้ประโยชน์ได้

ที่มา: วีโอเอ

เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% – ‘พาวเวลล์’ ระบุจะไม่ลาออกถ้าทรัมป์ขอให้ลงจากตำแหน่ง

ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดลดอันตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ช่วง 4.5% ถึง 4.75% ในวันพฤหัสบดี

ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ บอกว่า “รู้สึกดี” กับเศรษฐกิจ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้กำหนดทิศทางเรื่องดอกเบี้ย บนปัจจัยจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสัปดาห์นี้

ในระหว่างตอบคำถามนักข่าว เขาบอกด้วยว่าหากว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป โดนัลด์ ทรัมป์ ขอให้เขาลงจากตำแหน่ง เขาจะไม่ลาออก

พาวเวลล์ เสริมว่า “ในระยะสั้น การเลือกตั้งไม่มีผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของเรา”

ทั้งนี้การลดดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด

“เราไม่เดา ไม่คาดเดา พร้อมทั้งเราไม่สมมุติ” ในเรื่องที่ว่าอนาคตนโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งของทรัมป์ อาจจะทำให้เกิดการขาดดุลที่สูงขึ้น พร้อมทั้งแรงกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วย

ที่มา: บลูมเบิร์ก, ซีเอ็นบีซี, รอยเตอร์

ไบเดนชี้ ชัยชนะของทรัมป์ “ยุติธรรม – โปร่งใส”

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองมายาวนานกับ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในวันพฤหัสบดีว่า ชัยชนะของทรัมป์ในสัปดาห์นี้ มีความ “ยุติธรรม” พร้อมทั้ง “โปร่งใส”

ไบเดนเเสดงความเห็นดังกล่าวที่ทำเนียบขาว เรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส แพ้ต่อทรัมป์ โดยทรัมป์จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่สองหลังจากเว้นช่วงไป 4 ปี จากการที่ปราชัยต่อไบเดนในปี 2020

“เจตจำนงของประชาชนได้รับชัยชนะเสมอ” ไบเดนกล่าว ที่สวน Rose Garden ในทำเนียบขาวท่ามกลางเจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายสิบคน

“ผมบอกเเล้วหลายครั้งว่า คุณไม่สามารถรักประเทศของคุณได้เฉพาะเวลาที่คุณชนะ พร้อมทั้งคุณไม่สามารถรักเพื่อนบ้านของคุณได้เฉพาะตอนที่คุณเห็นด้วยกับเขา” ไบเดนระบุ

ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ชื่นชมคามาลา แฮร์ริส ว่าการหาเสียงของเธอสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมทั้งว่าแฮร์ริสทุ่มเท “ทั้งใจพร้อมทั้งความพยายาม” ในการเลือกตั้งครั้งนี้

“เราเเพ้ในการต่อสู้นี้” ไบเดนกล่าว “อุปสรรคเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่การยอมเเพ้เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้”

ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์ ก็กำลังพิจารณาว่าจะเเต่งตั้งบุคคลใดมาร่วมรัฐบาลในตำแหน่งหลัก ๆ พร้อมทั้งน่าจะเริ่มเปิดเผยชื่อในอีกไม่กี่วันจากนี้ โดยได้ปรึกษากับคณะทำงานที่บ้านพักตากอากาศ มาร์-อะ-ลาโก้ ในรัฐฟลอริดา

ตั้งเเต่ก่อทราบผลการเลือกตั้ง ฮาวเวิร์ด ลุคนิคพร้อมทั้งลินดา เเม็คมาฮอนผู้รับผิดชอบหลักเรื่องการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐบาลของฝั่งทรัมป์ ได้พบกับเเคนดิเดทที่อาจมาร่วมทำงานกับรัฐบาลใหม่บางรายเเล้ว

ตำแหน่งเหล่านี้มีทั้ง ผู้ที่ทำงานภายในฐานะคณะทำงานของทำเนียบขาว พร้อมทั้งผู้ที่มาร่วมคณะรัฐมนตรีในกระทรวงต่าง ๆ 

ทรัมป์ อาจจะให้ อิลอน มัสก์ ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกพร้อมทั้งซีอีโอบริษัทเทสลา มารับตำแหน่งในรัฐบาลเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพพร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยที่ผ่านมามัสก์ เป็นผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างเหนียวเเน่นพร้อมทั้งบริจาคเงินให้กับทีมหาเสียงอดีตประธานาธิบดีผู้นี้

คนที่สนับสนุนทรัมป์อีกคนหนึ่งที่อาจมีบทบาทในรัฐบาลใหม่คือ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี แห่งตระกูลการเมืองของพรรคเดโมเเครต  เขาอาจได้รับหน้าที่เกี่ยวกับประเด็นสาธารณสุข แม้ว่าเขาไม่คิดว่าวัคซีนต้านไวรัสโคโรน่า-19 เป็นสิ่งจำเป็น

ตัวเเทนคณะทำงานของทรัมป์บอกว่าคนจากวงการการเงินสหรัฐฯ อาจมานั่งบริหารงานด้านเศรษฐกิจพร้อมทั้งวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันหลายคนได้รับพิจารณาในงานของกระทรวงต่าง ๆ เช่นกัน 

แหล่งข่าวเหล่านี้กล่าวด้วยว่า ทรัมป์เตรียมที่จะลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากในวันเเรกที่เข้าบริหารประเทศ เพื่อลบล้างนโยบายของไบเดน

ทั้งนี้ ในตอนเเรกไบเดนเเข่งกับทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งปีนี้ แต่เขาถอนตัวหลังจากเเสดงผลงานย่ำเเย่เมื่อเดือนมิถุนายน พร้อมทั้งได้รับความนิยมน้อยในการสำรวจความเห็นประชาชน โดยไบเดนประกาศสนับสนุนเเฮร์ริสโดยทันทีในการมาลงเเข่งแทนเขาในนามพรรคเดโมเเครต

ที่มา: วีโอเอ

แพทองธาร พบมิน อ่อง หล่าย – หารือเป็นการส่วนตัว ที่การประชุมในคุนหมิง

นายกรัฐมนตรีไทย เเพทองธาร ชินวัตร ได้พบกับผู้นำรัฐบาลทหารเมีนมา พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ในการหารือนอกรอบระหว่างร่วมประชุมที่ประเทศจีนในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นการเดินทางต่างประเทศซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักของผู้นำเมียนมาท่ามกลางสงครามในประเทศ

การพบกันครั้งนี้เกิดขึ้นที่ การประชุม Greater Mekong Subregion and the Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Co-operation Strategy หรือ ACMECS ที่เมืองคุนหมิงประเทศจีน

ในเวลานี้กองทัพของรัฐบาลเมียนมา ต่อสู้กับกลุ่มกบฏ ซึ่งเป็นความรุนเเรงที่ปะทุขึ้นหลังจากกองทัพยึดอำนาจในการทำรัฐประหารเมื่อ 3 ปีก่อน โดยไม่ค่อยได้สนใจเสียงเรียกร้องจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้เกิดการเจรจากับฝ่ายตรงข้ามพร้อมทั้งยุติความรุนเเรง

นายกฯ แพทองธารได้บอกกล่าวกับนักข่าวไทยว่าเธอพร้อมทั้งมิน อ่อง หล่ายมีโอกาสหารือกันเป็นการส่วนตัว พร้อมทั้งไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย ตามรายงานของรอยเตอร์

ผู้นำไทยยังได้เเสดงความตั้งใจที่จะทำให้เกิดสันติภาพ

ไทยเเละเมียนมามีพรมเเดนติดกันยาวราว ๆ 2,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งการต่อสู้ในเมียนมากระจายข้ามฝั่งมายังไทยพร้อมทั้งกระทบการค้าตามเเนวพรมเเดนด้วย

เเพทองธารยำ้ระหว่างที่ประชุมสุดยอดการประชุมอาเซียนของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประเทศลาวเมื่อเดือนที่เเล้ว ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเจรจากัน

เธอยังได้ส่งสัญญาณถึงการสนับสนุนองไทยต่อตารางการเลือกตั้งของเมียนมาในปีหน้า

ทั้งนี้ เท่าที่ผ่านมา อาเซียนลังเลที่จะยอมรับเเผนเลือกตั้งของมิน อ่อง หล่าย 

การเลือกตั้งซึ่งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกห้ามลงแข่ง หรือไม่ร่วมลงเลือกตั้ง ถูกมองว่าไม่มีความชอบธรรม พร้อมทั้งไม่น่าได้รับการยอมรับจากโลกตะวันตก

ในวันพฤหัสบดี นายกฯ แพทองธารบอกว่าบอกว่าความัดเเย้งของเมียนมาเป็นเรื่องภายในประเทศ ที่รัฐบาลเมียนมาต้องบริหารจัดการ ตามรายงานของสื่อไทย

มิน อ่อง หล่ายถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ด้วยเหตุผลว่าเขาไม่ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเเผนสันติภาพในเมียนมาที่อาเซียนเป็นเเกนนำ

พลเอกอาวุโสผู้นี้ของเมียนมา เดินทางไปต่างประเทศเพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งหลัก ๆ คือการเดินทางไปรัสเซีย ซึ่งสนับสนุนอาวุธต่อกองทัพรัฐบาลเมียนมา

การเดินทางของมิน อ่อง หล่ายไปยังจีนครั้งนี้ ถือเป็นครั้งเเรกของเขาตั้งเเต่เหตุรัฐประหารเมื่อปี 2021

มิน อ่อง หล่ายพบกับนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงเมื่อวันพุธ พร้อมทั้งยังได้หารือกับฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

ฮุน มาเนตกล่าวผ่านเฟซบุ๊กว่า มิน อ่อง หล่าย  ได้เเสดงความหวังว่าวิกฤตในเมียนมา จะสามารถหาทางออกได้อย่างสันติในอนาคตอันใกล้

ที่มา: รอยเตอร์

ยอดส่งออกจีนพุ่งเกินคาด ก่อนสงครามการค้า-ภาษีสหรัฐฯ ปะทุ

ตัวเลขการส่งออกของจีนในเดือนตุลาคมพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่ โรงงานต่าง ๆ เร่งขายสินค้าไปยังตลาดหลัก เนื่องจากกังวลผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ พร้อมทั้งสหภาพยุโรป ตามรายงานของรอยเตอร์

พร้อมทั้งเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมคำสัญญาในการหาเสียงว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนในอัตราที่สูงกว่า 60% บรรดาผู้ผลิตพร้อมทั้งผู้จำหน่ายทั้งหลายในจีนจึงเร่งนำส่งของไปยังสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดอันดับหนึ่งของตนอย่างรีบด่วน

คำขู่ที่จะตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ทำให้เจ้าของโรงงานพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของจีนตื่นตระหนกไม่น้อย เมื่อพิจารณาว่า จีนส่งสินค้ามูลค่าราว 500,000 ล้านดอลลาร์ไปสหรัฐฯ ในแต่ละปี ขณะที่ จีนก็กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดเพิ่มขึ้นกับสหภาพยุโรปที่นำเข้าสินค้ามูลค่า 466,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว

ในภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีปัญหาอยู่ดังเช่นในปัจจุบัน ภาคส่งออกคือแสงสว่างเดียวในการพยุงสถานการณ์ของประเทศ เมื่อความมั่นใจครัวเรือนพร้อมทั้งภาคธุรกิจย่ำแย่เพราะพิษของวิกฤตหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ ตัวเลขล่าสุดจากศุลกากรจีนแสดงให้เห็นว่า การส่งออกของประเทศในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นถึง 12.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์อัตราการขยายตัวที่ 5.2% ในการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์ พร้อมทั้งเป็นการพุ่งขึ้นอย่างมากจากอัตราการเติบโต 2.4% ในเดือนกันยายนด้วย

การนำเข้าของจีนในเดือนที่แล้วหดตัว 2.3% ซึ่งก็สูงกว่าการคาดการณ์การลดลงที่ 1.5% พร้อมทั้งทำให้ตัวเลขการนำเข้าของประเทศเข้าสู่แดนลบเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน

ซุ่ เทียนเจิน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Economist Intelligence Unit ให้ความเห็นว่า สถานการณ์การเร่งส่งออกของจีนน่าจะดำเนินต่อไปตลอดไตรมาสที่ 4 ของปี พร้อมทั้งบอกว่า สาเหตุหลัก ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ คำขู่ของทรัมป์ที่จะกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้นี้

ส่วน ซื่อชุน ฮวง นักเศรษฐศาสตร์ด้านจีนจาก Capital Economics ระบุในบันทึกความเห็นว่า ผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์น่าจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในครึ่งหลังของปีหน้า

 

ที่มา: รอยเตอร์

ชาวอเมริกันมุสลิม-อาหรับ เมินเดโมแครต-ส่งทรัมป์เข้าทำเนียบขาว

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีนี้แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับฐานเสียงพรรคเดโมแครตที่เป็นชาวมุสลิมพร้อมทั้งมีเชื้อสายอาหรับซึ่งเหนียวแน่นกับพรรคนี้มาถึง 2 ทศวรรษ หลังผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มนี้หันไปสนับสนุนว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนเป็นฝ่ายมีชัยพร้อมทั้งเตรียมกลับคืนสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่ 2

รายงานข่าวพบว่า ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิที่นับถือศาสนาอิสลามพร้อมทั้งมีเชื้อสายอาหรับส่วนใหญ่ตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้กับทรัมป์พร้อมทั้งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เนื่องจากความขุ่นเคืองต่อวิธีการของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการรับมือสงครามในกาซ่า

โรเบิร์ต แมคคอว์ ผู้อำนวยการด้านกิจการรัฐบาลของ Council on American Islamic Relations เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเอ็กซิตโพลล์ที่สอบถามผู้มีสิทธิกว่า 1,000 คนแสดงให้เห็นว่า ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มนี้ลงคะแนนให้กับแฮร์ริส  โดยส่วนใหญ่หันไปเลือกผู้สมัครทางเลือกอื่นหรือทรัมป์แทน

แมคคอว์บอกกับ วีโอเอ ว่า นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปีที่ชุมชนชาวมุสลิมเสียงแตกพร้อมทั้งแบ่งคะแนนให้ผู้ท้าชิง 3 คน

การเปลี่ยนแปลงภายในฐานเสียงกลุ่มคนอเมริกันที่เป็นชาวมุสลิมนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับที่เคยเทคะแนน 2 ต่อ 1 ให้กับพรรคเดโมแครตในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ตามการเปิดเผยของ เจมส์ ซอกบี ประธานของ Arab American Institute

ซอกบีบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีปีนี้กลายมาเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงความไม่พอใจต่อกรณีสงครามในกาซ่า โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีเชื้อสายอาหรับ ในระดับที่หลายคนไม่คาดคิดมาก่อน

มีการประเมินว่า จำนวนประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับนั้นอยู่ที่ราว 3.7 ล้านคน โดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ขณะที่ ตัวเลขประชากรนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับของคนอเมริกันที่นับถือศาสนาอิสลาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์พลิกเสียงที่เกิดขึ้นนี้ชัดเจนที่สุดในชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับในเมืองเดียร์บอร์น เมืองเดียร์บอร์นไฮท์ พร้อมทั้งเมืองแฮมแทรมิค ของรัฐมิชิแกน

ในเมืองเดียร์บอนร์น ที่ประชากรกว่า 55% สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพจากตะวันออกกลาง ทรัมป์ได้รับคะแนนเสียงไปกว่า 42% เทียบกับสถิติ 30% เมื่อ 4 ปีก่อน ขณะที่ แฮร์ริสได้รับคะแนนเสียงไปเพียง 36% จากชุมชนที่เคยเทคะแนนให้กับไบเดนถึงเกือบ 70%

ส่วนที่เมืองแฮมแทรมิค ซึ่งเป็นเมืองที่มีคนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมแห่งแรกในสหรัฐฯ ทรัมป์กวาดคะแนนสนับสนุนไป 43% ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากระดับ 13% ในปี 2020 อย่างมาก โดยแฮร์ริสได้คะแนนเสียงไป 46% ลดลงจากระดับ 85% ที่ไบเดนเคยได้เมื่อ 4 ปีก่อนอย่างฮวบฮาบ

ในเวลาเดียวกัน จิลล์ สไตน์ ผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรค Green Party ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านการทำสงครามของอิสราเอลในกาซ่า ได้คะแนนเสียงไปไม่ถึง 20% จากทั้งสองเมืองที่ว่า

แซมรา ลุคแมน นักเคลื่อนไหวด้านการเมืองในเดียร์บอร์น ซึ่งช่วยไบเดนหาเสียงเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนจะเปลี่ยนใจมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในกาซ่า บอกว่า การเปลี่ยนแปลงในฐานเสียงพรรคเดโมแครตนี้ “น่างงงวยอย่างที่สุด”

ครั้งสุดท้ายที่คนอเมริกันซึ่งเป็นชาวมุสลิมลงคะแนนเสียงให้พรรครีพับลิกันคือ เมื่อปี 2000 ที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช คว้าชัยในการเลือกตั้งไปได้ ก่อนที่สถานการณ์จะพลิกกลับ หลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 11 กันยายน ปี 2001 หรือ 9/11

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวมุสลิมหัวอนุรักษ์นิยมเริ่มขยับกลับมาสนับสนุนพรรครีพับลิกันอีกครั้ง ด้วยเหตุผลเรื่องมุมมองด้านวัฒนธรรม ก่อนที่สถานการณ์ความโกรธแค้นต่อสงครามในกาซ่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ดึงคนกลุ่มนี้ออกจากการสนับสนุนพรรคเดโมแครต ตามความเห็นของลุคแมน

ถ้าหากว่า ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนให้มีการใช้ความระมัดระวังในการแปลความหมายของการเปลี่ยนแปลงของฐานเสียงกลุ่มมุสลิมของแฮร์ริส

ยูสเซฟ ชูฮูด ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยคริสโตเฟอร์นิวพอร์ท (Christopher Newport University) บอกว่า ข้อมูลของ APVoteCast แสดงให้เห็นว่า แฮร์ริสได้รับคะแนนเสียงถึง 63% ของคนอเมริกันที่เป็นชาวมุสลิมในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าของไบเดนในปี 2020 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ทรัมป์สามารถดึงแรงสนับสนุนจากชาวอเมริกันกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นได้จริง ๆ หลังได้รับคะแนนเสียงจากประชากรกลุ่มนี้ไปเพียง 35% ในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน โดยลุคแมนให้ความเห็นว่า คำกล่าวของทรัมป์เกี่ยวกับการยุติสงครามพร้อมทั้งการสร้างสันติภาพคือสิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการจริง ๆ

 

 

 

ที่มา: วีโอเอ

อิสราเอลถล่มเบรุตต่อเนื่อง-หลังสังหารกว่า 40 ชีวิต

กองกำลังอิสราเอลเดินหน้าทำการจู่โจมทางอากาศเข้าใส่พื้นที่ทางใต้ของชานกรุงเบรุตในวันพฤหัสบดี หลังเพิ่งดำเนินปฏิบัติการถล่มภาคตะวันออกพร้อมทั้งภาคใต้ของเลบานอนจนมีผู้จบชีวิตไปกว่า 40 คน

การจู่โจมในวันพฤหัสบดีเกิดขึ้นใกล้กับสนามบินนานาชาติเลบานอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพอิสราเอลประกาศเมื่อวันพุธให้ประชาชนทำการอพยพออกไป

กองทัพอิสราเอลบอกว่า ปฏิบัติการในวันพฤหัสบดีนั้นพุ่งเป้าไปยังที่ทำการใหญ่ของกลุ่มเฮซบอลลาห์พร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางทหารในกรุงเบรุต

ในวันพฤหัสบดี นาอิม คาสเซม ผู้นำคนใหม่ของเฮซบอลลาห์ ออกมาเตือนผ่านคลิปวิดีโอที่บันทึกจากพื้นที่ที่ไม่มีการเปิดเผยว่าอยู่ที่ใด ว่า นักรบของกลุ่มจะทำศึกกับอิสราเอลจนกว่าอีกฝ่ายจะร้องขอให้เกิดสันติ โดยพบว่า “เราจะทำให้ศัตรูต้องร้องหาการยุติการรุกราน” ด้วย

คาสเซมยังกล่าวด้วยว่า หนทางสู่การเจรจาทางอ้อม ผ่านรัฐบาลพร้อมทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรเลบานอนนั้นยังมีอยู่ หากอิสราเอลหยุดการจู่โจมเสีย

ในช่วง 13 เดือนที่ผ่านมา มีผู้คนกว่า 3,000 คนจบชีวิตในเลบานอนจากภาวะความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลพร้อมทั้งเฮซบอลลาห์ โดยส่วนใหญ่ถูกสังหารตั้งแต่มีการยกระดับการสู้รบอย่างรุนแรงเมื่อกลางเดือนกันยายน ก่อนกองทัพอิสราเอลรุกเข้ามาทางใต้ของเลบานอนในวันที่ 1 ตุลาคม

จนถึงบัดนี้ ประชาชนกว่า 1 ล้านคนในเลบานอนต้องกลายมาเป็นผู้พลัดถิ่นแล้ว

 

กาซ่า

ในพื้นที่ตอนเหนือของกาซ่าที่กองทัพอิสราเอลยกระดับความรุนแรงของการจู่โจมเข้าใส่นักรบกลุ่มฮามาสในช่วงเดือนที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติประเมินว่า มีผู้คนราว 100,000 คนที่กลายมาเป็นผู้พลัดถิ่นเพิ่ม

สเตฟาน ดูจาร์ริค โฆษกของยูเอ็น บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธว่า มีการประเมินว่า ประชาชนราว 75,000 ถึง 95,000 คนยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนเหนือของกาซ่า ขณะที่ ยอดผู้จบชีวิตในช่วงเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่หลายร้อยคน

ในเวลาเดียวกัน ดูจาร์ริค เปิดเผยด้วยว่า โครงการแจกจ่ายวัคซีนโปลิโอโดยองค์การอนามัยโลก องค์การ UNICEF พร้อมทั้งหน่วยงานผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ของยูเอ็น (UNRWA) ในกาซ่านั้นได้เสร็จสิ้นลงแล้วตั้งแต่เมื่อวันอังคาร โดยสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก ๆ ในพื้นที่ภาคกลางของกาซ่าได้ถึง 103% ซึ่งหมายความว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบที่ได้รับวัคซีนมากกว่าเป้าหมาย ขณะที่ 91% ของเด็ก ๆ ในภาคใต้ของกาซ่าก็ได้รับวัคซีนทั้ง 2 โดสตามที่ควรเช่นกัน

แต่ในส่วนของพื้นที่ภาคเหนือนั้น โฆษกยูเอ็นพบว่า สามารถบรรลุเป้าหมายได้เพียง 88% เนื่องจากภาวะการสู้รบทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้สะดวก

 

UNRWA พร้อมทั้งอิสราเอล

เมื่อวันพุธ ฟิลิปเป ลาซซารินี หัวหน้าสำนักงานบรรเทาทุกข์พร้อมทั้งจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) ร้องขอให้นานาชาติช่วยสนับสนุนการทำหน้าที่ของหน่วยงานนี้ หลังอิสราเอลประกาศผ่านกฎหมายใหม่ 2 ฉบับที่มีเนื้อหาสั่งห้ามไม่ให้หน่วยงานเข้าไปปฏิบัติงานในอิสราเอล ซึ่จะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า

ลาซซารินี กล่าวด้วยว่า UNRWA ทำหน้าที่เป็นเหมือนสายชูชีพให้กับชาวปาเลสไตน์ในกาซ่ามาตลอดปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งหากอิสราเอลประสบความสำเร็จในการจัดการกับหน่วยงานนี้ นั่นก็จะเท่ากับเป็นการล่มสลายของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของยูเอ็นให้กับชาวปาเลสไตน์ทันที

หลายปีที่ผ่านมา อิสราเอลวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ UNRWA มาโดยตลอด พร้อมกับกล่าวหาฮามาสว่าใช้โรงเรียนในกาซ่าเป็นฐานปฏิบัติการก่อการร้ายพร้อมทั้งส่งเสริมบทเรียนต่อต้านอิสราเอล

พร้อมทั้งหลังสงครามครั้งใหม่นี้ปะทุขึ้นมาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม อิสราเอลยิ่งจู่โจมหน่วยงานยูเอ็นนี้หนักขึ้น ก่อนจะออกมากล่าวหาว่า มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนี้จำนวน 12 คนเข้าร่วมการจู่โจมอิสราเอลด้วย แม้ UNRWA จะยืนยันว่า ไม่เคยได้รับหลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของเทลอาวีฟที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม

หน่วยงาน UNRWA นั้นถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้มติของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อปี 1949 เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์

นับตั้งแต่ฮามาสจู่โจมอิสราเอลเมื่อ 13 เดือนก่อน พร้อมทั้งทำให้มีผู้จบชีวิตราว 1,200 คน รวมทั้งมีการจับตัวประกันไปกาซ่ากว่า 250 คน อิสราเอลได้ทำการจู่โจมโต้กลับเข้าไปในเขตปกครองของชาวปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีผู้จบชีวิตกว่า 43,300 คนแล้ว อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซ่า

 

 

 

ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพีพร้อมทั้งรอยเตอร์

“อิ๊งค์” พบ “มิน อ่อง หล่าย” ย้ำไร้ปัญหากับเพื่อนบ้าน- “ทรัมป์” เป็น ปธน.สหรัฐฯ เป็นผลดีส่งอออก

นายกฯ เผยคุย “มิน อ่อง หล่าย” ส่วนตัว เสนอช่วยแก้ปัญหาในเมียนมาสร้างสันติภาพ แต่ไม่ขอยุ่งการเมือง ย้ำจุดยืนชัดทุกรัฐบาลไทยไม่เคยมีปัญหาบาดหมางประเทศเพื่อนบ้าน ด้านนายกฯ เมียนมา ห่วงแรงงานในไทย ขอข้อมูลตัวเลข มอง “ทรัมป์” นั่งประธานาธิบดี เป็นผลดีส่งออก