ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
ชาวเอเชียนอเมริกันตื่นตัวมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งปธน.
บรรยากาศการเลือกตั้งที่เขตปกครองแฟร์แฟกซ์ เคาน์ตี้ รัฐเวอร์จิเนีย มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กันอย่างต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งวัน นับตั้งแต่เปิดคูหา เมื่อ 6 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น แม้ว่าจะไม่ได้เห็นบรรยากาศของการต่อแถวรอคิวเลือกตั้งที่เนืองแน่นเหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ก็ตาม
ถ้าหากว่า บรรยากาศโดยรวมทั่วอเมริกานั้นถือว่ายังคงคึกคัก เพราะข้อมูลล่าสุดเมื่อ 4 พฤศจิกายน พบว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีชาวอเมริกันกว่า 80 ล้านคน ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 155 ล้านคน
สำหรับประเด็นที่ชาวอเมริกันให้ความใส่ใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ โพลล์ต่างชี้ว่าชาวอเมริกันต่างให้น้ำหนักการตัดสินใจเลือกประธานาธิบดี จากประเด็นเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจกับนโยบายคนเข้าเมืองพร้อมทั้งความมั่นคงบริเวณชายแดน ปัญหาอาชญากรรม พร้อมทั้งสิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์
นางทิพพะพรรณ ฉัตต์ชัยนนท์ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายไทย บอกกับวีโอเอไทยว่า อยากเห็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่รุกแก้ปัญหาภายในอเมริกามากกว่าเข้าไปคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศ
ด้านนายสากล สุวรรณคำ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายไทย บอกกับวีโอเอไทยถึงความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ต่อชุมชนไทยว่า “อยากจะเรียนคนไทยนะครับที่มีสิทธิ์ที่จะเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์นะครับ เพราะว่าเลือกตั้งครั้งนี้มันชี้ชะตาของทั้งเศรษฐกิจ ทั้งความเป็นผู้นำของโลกอันดับว่าเป็นยังไง สงครามภายใน ภายนอกไม่เท่าไหร่หรอก แต่ภายในนั้นก็ คิดว่าจะกู้ศักดิ์ศรีพร้อมทั้งเกียรติยศของอเมริกากลับมาอีกครั้งหนึ่ง”
ส่วนวี ชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม ที่ออกมาใช้สิทธิ์ของเธอเป็นครั้งแรก เผยกับวีโอเอไทยว่า คนรุ่นใหม่ชาวเอเชียนอเมริกันควรใส่ใจการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเป็นโอกาสในการกำหนดอนาคตของพวกเขาด้วยเช่นกัน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ฉันคิดว่าเป็นสิทธิ รู้ไหม ทุกคนควรจะออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกัน เพราะมันเป็นสิทธิ์ พร้อมทั้งยังเป็นการช่วยกำหนดอนาคตของคุณด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นคนอายุน้อย พร้อมทั้งนี่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของพวกคุณ ดังนั้นคุณควรออกมาโหวตค่ะ”
ทั้งนี้ ผลโพลล์ของ New York Times/Siena College เมื่อต้นสัปดาห์ชี้ให้เห็นว่าทรัมป์พร้อมทั้งแฮร์ริสมีคะเเนนนิยมเท่ากันที่ 48%
ศึกเลือกตั้งที่มีการขับเคี่ยวสูสีในปีนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายเป็นเรื่องคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในรัฐสมรภูมิในทัศนะของนักวิเคราะห์ พร้อมทั้งอาจทำให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าช้าออกไปได้ แต่หากค่ำคืนวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนมีผลที่ชี้ชัดว่าผู้สมัครคนใดคนหนึ่งได้คะแนนเหนือคู่แข่งไปอย่างมาก นักวิเคราะห์ต่างมองว่าสิ่งนี้จะทำให้ยากที่พรรคคู่แข่งจะพยายามคัดค้านผลการเลือกตั้งได้
ที่มา: วีโอเอ
ชาวเอเชียนอเมริกันตื่นตัวมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งปธน.
บรรยากาศการเลือกตั้งที่เขตปกครองแฟร์แฟกซ์ เคาน์ตี้ รัฐเวอร์จิเนีย มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กันอย่างต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งวัน นับตั้งแต่เปิดคูหา เมื่อ 6 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น แม้ว่าจะไม่ได้เห็นบรรยากาศของการต่อแถวรอคิวเลือกตั้งที่เนืองแน่นเหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ก็ตาม
ถ้าหากว่า บรรยากาศโดยรวมทั่วอเมริกานั้นถือว่ายังคงคึกคัก เพราะข้อมูลล่าสุดเมื่อ 4 พฤศจิกายน พบว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีชาวอเมริกันกว่า 80 ล้านคน ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 155 ล้านคน
สำหรับประเด็นที่ชาวอเมริกันให้ความใส่ใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ โพลล์ต่างชี้ว่าชาวอเมริกันต่างให้น้ำหนักการตัดสินใจเลือกประธานาธิบดี จากประเด็นเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจกับนโยบายคนเข้าเมืองพร้อมทั้งความมั่นคงบริเวณชายแดน ปัญหาอาชญากรรม พร้อมทั้งสิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์
นางทิพพะพรรณ ฉัตต์ชัยนนท์ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายไทย บอกกับวีโอเอไทยว่า อยากเห็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่รุกแก้ปัญหาภายในอเมริกามากกว่าเข้าไปคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศ
ด้านนายสากล สุวรรณคำ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายไทย บอกกับวีโอเอไทยถึงความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ต่อชุมชนไทยว่า “อยากจะเรียนคนไทยนะครับที่มีสิทธิ์ที่จะเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์นะครับ เพราะว่าเลือกตั้งครั้งนี้มันชี้ชะตาของทั้งเศรษฐกิจ ทั้งความเป็นผู้นำของโลกอันดับว่าเป็นยังไง สงครามภายใน ภายนอกไม่เท่าไหร่หรอก แต่ภายในนั้นก็ คิดว่าจะกู้ศักดิ์ศรีพร้อมทั้งเกียรติยศของอเมริกากลับมาอีกครั้งหนึ่ง”
ส่วนวี ชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม ที่ออกมาใช้สิทธิ์ของเธอเป็นครั้งแรก เผยกับวีโอเอไทยว่า คนรุ่นใหม่ชาวเอเชียนอเมริกันควรใส่ใจการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเป็นโอกาสในการกำหนดอนาคตของพวกเขาด้วยเช่นกัน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ฉันคิดว่าเป็นสิทธิ รู้ไหม ทุกคนควรจะออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกัน เพราะมันเป็นสิทธิ์ พร้อมทั้งยังเป็นการช่วยกำหนดอนาคตของคุณด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นคนอายุน้อย พร้อมทั้งนี่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของพวกคุณ ดังนั้นคุณควรออกมาโหวตค่ะ”
ทั้งนี้ ผลโพลล์ของ New York Times/Siena College เมื่อต้นสัปดาห์ชี้ให้เห็นว่าทรัมป์พร้อมทั้งแฮร์ริสมีคะเเนนนิยมเท่ากันที่ 48%
ศึกเลือกตั้งที่มีการขับเคี่ยวสูสีในปีนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายเป็นเรื่องคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในรัฐสมรภูมิในทัศนะของนักวิเคราะห์ พร้อมทั้งอาจทำให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าช้าออกไปได้ แต่หากค่ำคืนวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนมีผลที่ชี้ชัดว่าผู้สมัครคนใดคนหนึ่งได้คะแนนเหนือคู่แข่งไปอย่างมาก นักวิเคราะห์ต่างมองว่าสิ่งนี้จะทำให้ยากที่พรรคคู่แข่งจะพยายามคัดค้านผลการเลือกตั้งได้
ที่มา: วีโอเอ
เกาหลีเหนือระดมทดสอบขีปนาวุธรับเลือกตั้งสหรัฐฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น เก็น นาคาทานิ บอกว่ามีจรวดจากเกาหลีเหนือย่างน้อยเจ็ดลูก บินเป็นระยะทางไกลสุด 400 กม. ไต่ระดับความสูงที่ 100 กม. ก่อนที่จะตกลงในทะเลระหว่างคาบสมุทรเกาหลีพร้อมทั้งญี่ปุ่น
นาคาทานิบอกว่า “การกระทำของเกาหลีเหนือหลายเรื่องรวมทั้งการยิงขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง คุกคามสันติสุขพร้อมทั้งความปลอดภัยของญี่ปุ่น ของภูมิภาค พร้อมทั้งของประชาคมนานาชาติ”
กองทัพเกาหลีใต้ก็ตรวจจับขีปนาวุธจากเพื่อนบ้านทางเหนือได้หลายลูกเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งได้เพิ่มความเข้มงวดในการสอดส่องดูแลให้มากขึ้น เนื่องจากจรวดเหล่านี้อาจถูกใช้สำหรับเป้าหมายจริง เช่นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเกาหลีเหนือ รวมถึงฐานทัพอเมริกันในพื้นที่
การทดสอบครั้งนี้มีขึ้นไม่กี่วันหลังผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ประกาศทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นใหม่ ที่ออกแบบให้ยิงถึงแผ่นดินของสหรัฐฯ ซึ่งทาง
กรุงวอชิงตันตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าวด้วยการบินเครื่องบินทิ้งระเบิด B-1B ระหว่างร่วมซ้อมรบกับญี่ปุ่นพร้อมทั้งเกาหลีใต้เมื่อวันอาทิตย์เพื่อแสดงแสนยานุภาพ
ในวันอังคาร คิม โย จอง น้องสาวของคิม จอง อึน ออกแถลงการณ์ประณามการซ้อมรบของทั้งสามชาติ ว่าเป็นการยกระดับความตึงเครียดด้วยภัยคุกคามทางทหาร
ทางการเกาหลีใต้คาดว่ากรุงเปียงยางจะมีความเคลื่อนไหวทางการทหารในช่วงเวลาเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากกรุงวอชิงตัน
เจ้าหน้าที่พร้อมทั้งนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่าเกาหลีเหนือน่าจะหวังผลในการใช้คลังอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นแต้มต่อกับผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ ในการเจรจาลดหย่อนมาตรการคว่ำบาตรที่ดำเนินอยู่
หลายความเห็นเชื่อว่าคิม จอง อึน อยากให้โดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เพราะคาดว่าน่าพูดคุยต่อรองได้ง่ายกว่าคามาลา แฮร์ริส ผู้เป็นคู่แข่ง
เมื่อปี 2018-2019 ทรัมป์เคยพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบันมาแล้ว
ความตึงเครียดระหว่างสองเกาหลีอยู่ในจุดที่สูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลังจากคิมขยายโครงการขีปนาวุธพร้อมทั้งคลังแสงนิวเคลียร์ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีรายงานว่ากรุงเปียงยางส่งทหารไปช่วยรัสเซียในสงครามกับยูเครน
หลังการพบกันในกรุงโซลเมื่อวันจันทร์ เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหภาพยุโรปพร้อมทั้งเกาหลีใต้กังวลว่ารัสเซียจะตอบแทนเกาหลีเหนือด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของโครงการนิวเคลียร์ที่มีอยู่ ที่อาจบ่อนทำลายความพยายามลดการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งคุกคามสันติภาพของคาบสมุทรเกาหลีพร้อมทั้งพื้นที่อื่นของโลก
คิม ซอง เอกอัคราชทูตเกาหลีเหนือกล่าวในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่ากรุงเปียงยางจำเป็นต้องทำโครงการนิวเคลียร์พร้อมทั้งขีปนาวุธข้ามทวีป เพื่อรับมือกับภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ
โรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เตือนว่าสหรัฐฯ ไม่สามารถนิ่งเฉยต่อการขยายโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น “โดยไม่มีการตอบสนองใด ๆ”
ที่มา: เอพี
‘เนทันยาฮู’ ปลด รมว.กลาโหม ปม ‘วิกฤติความเชื่อใจ’
เนทันยาฮูกล่าวถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “วิกฤติความเชื่อใจ” เกี่ยวข้องกับการสั่งโยกย้ายตำแหน่งครั้งนี้ พร้อมทั้งแต่งตั้งกีเดียน ซาร์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศแทนตำแหน่งที่ว่างลง อ้างอิงตามแถลงการณ์ที่รายงานโดยรอยเตอร์
กัลแลนต์พร้อมทั้งเนทันยาฮูที่อยู่ในพรรคลิคุดเหมือนกัน มีปากเสียงพร้อมทั้งความเห็นที่ไม่ลงรอยมาเป็นเวลาหลายเดือนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสงครามกาซ่าที่ดำเนินมาแล้ว 13 เดือน ทั้งนี้ รายงานข่าวพบว่าเนทันยาฮูถูกกดดันจากพันธมิตรฝ่ายขวาให้พิจารณาปลดกัลแลนต์ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา
เนทันยาฮูบอกว่ากัลแลนต์ได้มีความเห็นที่ “สวนทางกับการตัดสินใจของรัฐบาลพร้อมทั้งการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี” ทางด้านกัลแลนต์โต้ตอบว่า “ความมั่นคงของรัฐอิสราเอลนั้นเป็น พร้อมทั้งจะเป็นภารกิจแห่งชีวิตของผมเสมอ”
แคทซ์ ที่เป็น รมว.กลาโหมคนใหม่ โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นพร้อมทั้งตั้งใจ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของรัฐอิสราเอลพร้อมทั้งพลเมือง
การปลดรัฐมนตรีกลาโหมทำให้เกิดการประท้วงภายในกรุงเทลอาวีฟ
ยาอีร์ ลาปิด ผู้นำฝ่ายค้านอิสราเอลระบุในช่องทาง X ว่า “ไล่กัลแลนต์ออกท่ามกลางสงครามเป็นการกระทำที่บ้าบิ่น”
โฆษกสภาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาวที่กรุงวอชิงตัน พบว่ากัลแลนต์เป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ พร้อมทั้งจะเดินหน้าร่วมงานกับแคทซ์ต่อไป
ในวันพุธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสจะเดินทางไปยังอิสราเอลพร้อมทั้งดินแดนปาเลสไตน์ เพื่อกดดันให้อิสราเอลเดินหน้าทางการทูตเพื่อหยุดความขัดแย้งในกาซ่าพร้อมทั้งเลบานอน
จู่โจมทางอากาศถล่มกาซ่าตอนเหนือ
ก่อนมีการปลดกัลแลนต์ กองทัพกรุงเทลอาวีฟออกคำสั่งย้ายถิ่นฐานไปยังประชาชนพร้อมทั้งจู่โจมทางอากาศในพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซ่า
ใบปลิวภาษาอารบิกที่โปรยมาจากเครื่องบิน ที่พบในพื้นทื่ดังกล่าว มีใจความว่า “ถึงผู้ที่ยังอยู่ในบ้านพร้อมทั้งสถานพักพิง พวกท่านกำลังเสี่ยงชีวิต เพื่อความปลอดภัย ท่านต้องเดินทางลงใต้”
การจู่โจมได้สังหารประชาชนอย่างน้อย 35 คนแล้วนับตั้งแต่คืนวันจันทร์ อ้างอิงตามสื่อพร้อมทั้งแพทย์สนามปาเลสไตน์
จอยซ์ เอ็มซูยา รักษาการหัวหน้าฝ่ายบรรเทาทุกข์ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุในแพลตฟอร์ม X ว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินของอิสราเอลทางตอนเหนือของกาซ่า ทำให้ประชาชนปาเลสไตน์ “ไม่เหลือปัจจัยสำคัญสำหรับมีชีวิตรอด ขับไล่พวกเขาให้ออกจากพื้นที่ปลอดภัยหลายครั้ง พร้อมทั้งตัดเส้นทางสำหรับหนีพร้อมทั้งลำเลียงสิ่งของ”
เธอพบว่า “ความโหดร้ายทารุณนี้ต้องหยุดลง”
กองทัพอิสราเอลพบว่าต้องสั่งย้ายประชาชนเพื่อความปลอดภัยจากการสู้รบกับกลุ่มฮามาส
สงครามในกาซ่าครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นหลังฮามาสจู่โจมอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมของปีที่แล้วพร้อมทั้งทำให้มีผู้จบชีวิตราว 1,200 คนรวมทั้งมีการจับตัวประกันไปกว่า 250 คน ก่อนที่ อิสราเอลจะจู่โจมโต้กลับเข้าไปในกาซ่าซึ่งส่งผลให้มีชาวปาเลสไตน์กว่า 43,000 คนจบชีวิต โดยกว่าครึ่งเป็นเด็กพร้อมทั้งสตรี ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกาซ่า ขณะที่ อิสราเอลบอกว่า มีนักรบฮามาสหลายพันคนอยู่ในกลุ่มผู้จบชีวิตนี้
ที่มา: รอยเตอร์
ส่องความน่ารัก ฮิปโปเเคระเเรกคลอด แห่งสกอตเเลนด์
ในโพสต์ยั่วดราม่าของสวนสัตว์เอดินบะระ บนเเพลตฟอร์ม X มีข้อความว่า “หมูเด้ง? ใครเด้งนะ?” จากนั้นก็เเนะนำให้ชาวโลกได้รู้จักน้องแฮกกี้ส์
นอกจากหมูเด้งพร้อมทั้งแฮกกี้ จะเป็นฮิปโปพันธุ์เดียวกัน เพศเมียเหมือนกัน พร้อมทั้งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เหมือนกันแล้ว ทั้งคู่ยังมีชื่อเป็นอาหารอีกด้วย
แฮกกี้ส์ เป็นอาหารประจำชาติของชาวสกอต ที่ทำจากเครื่องในเเกะ
เป็นที่ทราบกันดีว่า หมูเด้ง ได้สร้างกระเเสทั่วโลก พร้อมทั้งรันวงการโซเชี่ยลมาเเล้วประมาณ 2 เดือน หลังจากลืมตาดูโลกเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
ทางสวนสัตว์ของไทยเตรียมการที่จะจดทะเบียนลิขสิทธิ์พร้อมทั้งเครื่องหมายการค้า ‘หมูเด้ง’ ที่เปิดโอกาสการทำเงินจากสินค้ามากมาย เช่นเสื้อพร้อมทั้งกางเกง โดยหวังนำรายได้เข้าสนับสนุนงานของสวนสัตว์
องค์การสวนสัตว์สกอตเเลนด์ Royal Zoological Society of Scotland พยายามมองหาโอกาสลักษณะเดียวกันจากฮิปโปเเคระของตนเช่นกัน
แคมเปญสร้างความตื่นเต้นต่อเจ้าฮักกีส์ นำรายได้มาแล้วกว่าครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย 15,000 ปอนด์ คิดเป็นเงินไทยกว่า 650,000 บาท ไปเเล้ว
ทางสวนสัตว์บอกเชิญชวนว่า “เตรียมหลงรักเจ้าแฮกกีส์… น้องซุกซน พร้อมทั้งจะทำให้เห็นว่าทำไมชาวโลกถึงตกหลุมรักฮิปโปแคระกัน”
มีฮิปโปแคระ หรือ pygmy hippopotamuses เหลืออยู่ประมาณ 2,500 ตัวในธรรมชาติ บริเวณแอฟริกาตะวันตก
สัตว์ชนิดนี้ถูกคุกคามโดยการล่าพร้อมทั้งการที่ที่อยู่ของพวกมันลดน้อยลง
สวนสัตว์เอดินบะระยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ดูน้องแฮกกี้ส์โดยทันที เพราะมันเพิ่งคลอดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม บริเวณบ้านฮิปโปของสวนสัตว์จึงปิดเป็นเวลา 1 เดือนเพื่อส่งเสริมพัฒนาการพร้อมทั้งการเติบโตของฮักกี้ส์
หลังจากที่สวนสัตว์เเห่งนี้ เปิดเกมเปรียบเทียบแฮกกี้ส์กับหมูเด้ง ก็ออกมาขอโทษในการสร้างดราม่าการประกวดความน่ารัก
สวนสัตว์จึงลงโพสต์ใหม่ ที่เขียนว่า “เราผิดไปแล้วที่เอาแฮกกี้กับหมูเด้งมาเปรียบเทียบกัน…เราควรชื่นชมพวกมันทั้งหมดทุกตัว”
ที่มา: เอพี
เริ่มแล้ว! ชาวอเมริกันเข้าคูหากาบัตรเลือกผู้นำทำเนียบขาวคนใหม่
ก่อนหน้านี้ ชาวอเมริกันมากกว่า 81 ล้านคนเข้าคูหาเลือกตั้งล่วงหน้าพร้อมทั้งเลือกตั้งทางไปรษณีย์ไปแล้ว ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อ 4 ปีก่อนที่มีจำนวนทั้งหมด 158 ล้านคน
อดีตปธน.ทรัมป์ ผู้พ่ายแพ้แก่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อปี 2020 กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ระหว่างที่หาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนียว่า ตนไม่ควร “ออกจากทำเนียบขาว” เมื่อไบเดนย้ายเข้าไปเมื่อเดือนมกราคม ปี 2021
ทรัมป์บอกด้วยว่า ตนจะยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ต่อเมื่อตนเชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรม ซึ่งผู้วิจารณ์หลายคนชี้ว่าความหมายของทรัมป์คือเขาจะยอมรับหากเขาเป็นผู้ชนะเท่านั้น
หากทรัมป์ชนะ เขาจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่สองที่สามารถกลับมานั่งในตำแหน่งได้หลังจากเว้นช่วงไป ต่อจากอดีตปธน.โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ เมื่อทศวรรษ 1880 นอกจากนี้ทรัมป์ยังอาจกลายเป็นผู้ต้องคดีฟ้องร้องคนแรกที่ได้นั่งในตำแหน่งประธานาธิบดีของชาวอเมริกันด้วย หลังจากที่เขาถูกตั้งข้อหา 34 กระทงซึ่งเชื่อมโยงกับคดีต่าง ๆ ที่เขาถูกฟ้องร้องอยู่
ในการหาเสียงที่ผ่านมา ทรัมป์มักกล่าวจู่โจมคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยถ้อยคำรุนแรง เช่นเรียกว่าเป็น “ศัตรูภายในประเทศ” พร้อมทั้งเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของอเมริกา รวมทั้งเรียกแฮร์ริสว่าเป็นบุคคลที่ไม่ฉลาด พร้อมทั้งจะตกเป็นเบี้ยของบรรดาผู้นำโลกคนอื่น ๆ
ด้านรองปธน.แฮร์ริส กล่าวในการหาเสียงมารตลอดว่าเธอเป็น “มวยรอง” จนกระทั่งไม่นานนี้ที่เธอแสดงความมั่นใจว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 พร้อมทั้งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอเมริกาได้ ซึ่งหากเธอทำได้จริงเธอจะกลายเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนที่สองต่อจากบารัค โอบาม่า พร้อมทั้งเป็นผู้มีเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกที่ได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ ด้วย
ก่อนหน้านี้ แฮร์ริสมักบอกว่าทรัมป์เป็น “คนไม่จริงจัง” ซึ่งจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย พร้อมทั้งยัง “จิตหลุด” จากสิ่งที่ประธานาธิบดีทั่วไปเป็น หลังจากที่ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินเมื่อต้นปีนี้ว่า ประธานาธิบดีจะได้รับสิทธิปกป้องจากการถูกดำเนินคดีตามความผิดใด ๆ ขณะอยู่ในตำแหน่ง
ผลการสำรวจความเห็นประชาชนก่อนวันเลือกตั้งชี้ว่า จะเป็นการแข่งขันที่สูสี โดยเฉพาะในกลุ่มรัฐสมรภูมิ (battleground states) 7 รัฐที่จะชี้ขาดผู้ชนะ ได้แก่ รัฐนอร์ธแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย มิชิแกน วิสคอนซิน เนวาดา แอริโซนา พร้อมทั้งจอร์เจีย
โพลล์ของเอบีซีนิวส์ชี้ว่า ทรัมป์มีคะแนนนำใน 5 จาก 7 รัฐสมรภูมิ ในขณะที่โพลล์ของวอชิงตันโพสต์พบว่า แฮร์ริสนำใน 4 จาก 7 รัฐสมรภูมิ ส่วนโพลล์ของนิวยอร์กไทมส์บอกว่า ทรัมป์นำ 4 รัฐ แฮร์ริสนำ 2 รัฐ พร้อมทั้งเสมอกันที่รัฐเพนซิลเวเนีย
ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดัสหรัฐฯ มิได้ตัดสินด้วยผลการลงคะแนนรายบุคคลทั่วประเทศ (national popular vote) เหมือนกับประเทศอื่น แต่จะแพ้ชนะด้วยจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ของทั้ง 50 รัฐ ซึ่งแต่ละรัฐมีจำนวนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในรัฐนั้น ๆ
ในจำนวนทั้ง 50 รัฐ มี 48 รัฐที่ผู้ชนะเลือกตั้งในรัฐนั้นจะได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งไปทั้งหมด มีเพียงสองรัฐ คือ เนบราสกา พร้อมทั้งเมน ที่จะจัดสรรจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไปตามคะแนนเสียงของแต่ละเขตเลือกตั้งภายในรัฐดังกล่าว
ผู้สมัครที่ได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 คนจาก 538 คน จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งพร้อมทั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา
ข้อมูลบางส่วนจากเอพี พร้อมทั้งรอยเตอร์
แฮร์ริสขนคนดังร่วมหาเสียง ‘คืนหมาหอน’ ทรัมป์ติงระวังเหมือนฮิลลารี
ที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็นรัฐสมรภูมิสำคัญ รองปธน.แฮร์ริส กล่าวปราศรัยที่นครพิตต์สเบิร์กในค่ำคืนวันจันทร์ที่ 4 พ.ย. โดยมีนักร้องหญิง เคที เพอร์รี พร้อมทั้งแอนดรา เดย์ ร่วมขึ้นเวทีด้วย
จากนั้นแฮร์ริสเดินทางต่อไปยังนครฟิลาเดลเฟียเพื่อปิดท้ายการหาเสียงอันยาวนานหลายเดือน โดยขนนักร้องดังหลายคนร่วมร้องเพลงบนเวที ทั้งดีเจแคสสิดี, แฟตโจ, ริคกี มาร์ติน พร้อมทั้งมีเลดี้ กาก้า ร่วมร้องเพลง “God Bless America” รวมทั้งพิธีกรดัง โอปราห์ วินฟรีย์ ร่วมกล่าวปราศรัย
ในคืนวันจันทร์ มีการจัดงานหาเสียงให้แก่คามาลา แฮร์ริส ในทั้ง 7 รัฐที่เป็นรัฐสมรภูมิ หรือ Battleground States โดยมีการถ่ายทดอสดรวมกันเป็นงานเดียวผ่านทางสตรีมมิงในอินเทอร์เน็ต เพื่อกระตุ้นให้ผู้สนับสนุนเดโมแครตออกมาใช้สิทธิ์
ที่นครลาสเวกัส รัฐเนวาดา นักร้องหญิงคริสตินา อากีเรลา ร่วมขึ้นเวที เช่นเดียวกับที่รัฐนอร์ธแคโรไลนา ซึ่งมีนักร้องเพลงแนวคันทรี เจนนิเฟอร์ เนตเทิลส์ พร้อมทั้งคริสเตียน บุช ร่วมหาเสียง พร้อมทั้งที่รัฐมิชิแกน นักร้องเพลงร็อค จอน บอง โจวี ขึ้นเวทีร้องเพลง “Livin’ on a Prayer” ที่เมืองดีทรอยต์
ด้านอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน เดินทางหาเสียงในคืนวันสุดท้ายที่นครพิตต์สเบิร์กเช่นกัน พร้อมทั้งได้กล่าววิจารณ์ถึงกรณีที่คนดังหลายคนแสดงจุดยืนสนับสนุนแฮร์ริส โดยเฉพาะ บียองเซ่ ที่ยินยอมให้แฮร์ริสใช้เพลงของเธอ คือ “Freedom” ในการหาเสียงทั่วประเทศ
ทรัมป์กล่าวถึงเหตุการณ์ที่บียองเซ่ช่วยแฮร์ริสหาเสียงที่นครฮูสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อเดือนที่แล้วว่า “บียองเซ่ก้าวเข้ามา ทุกคนหวังว่าเธอจะร้องเพลงสองสามเพลง แต่ไม่มีเลย ไม่มีความสุขอะไรทั้งนั้น” ท่ามกลางเสียงโห่ของบรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์
โดยในครั้งนั้น บียองเซ่ไม่ได้แสดงบนเวที แต่กล่าวปราศรัยร่วมกับอดีตสมาชิกวงเดสตินีสไชล์ด เคลลี โรว์แลนด์
ทรัมป์กล่าวด้วยว่า แฮร์ริสควรเรียนรู้จากฮิลลารี คลินตัน ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 แต่พ่ายแพ้ให้กับทรัมป์ โดยในคราวนั้น บียองเซ่ขึ้นเวทีแสดงในการหาเสียงของคลินตันไม่กี่วันก่อนวันเลือกตั้ง
“พวกเขาโห่ใส่ (บียองเซ่) อย่างหนัก แต่สื่อไม่เล่นเรื่องนี้” ทรัมป์กล่าวถึงการหาเสียงของแฮร์ริสที่นครฮูสตัน
อดีตปธน.ทรัมป์ ยืนยันว่า การหาเสียงของเขาไม่ต้องการคนดังมาร่วมเรียกความสนใจของผู้คน โดยบอกว่า “เราไม่ต้องการดารา เพราะเรามีนโยบาย เรามีนโยบายที่ดีมาก”
ถ้าหากว่า ระหว่างที่หาเสียงเดียวกันนี้ ทรัมป์กล่าวในช่วงหนึ่งว่า “มีคนดังมาร่วมอยู่ที่นี่มากมาย มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ” พร้อมกล่าวแนะนำ ไมค์ พอมเพโอ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยตน รวมทั้ง เมเกน เคลลี อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดังของช่องฟ็อกซ์นิวส์ด้วย
ที่มา: เอพี