ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
รัฐบาลทรัมป์ 2.0 กับสิ่งที่สหรัฐฯ พร้อมทั้งโลกต้องเตรียมพร้อมรับ
อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ไม่เคยได้ลงข้อมูลเกี่ยวกับแผนงานต่าง ๆ ในช่วงกว่าปีของการหาเสียงไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประกาศบนเวทีหรือในแถลงการณ์ที่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเอพีพบว่า เป็นการผสมผสานแนวคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมว่าด้วยเรื่องภาษี กฎเกณฑ์พร้อมทั้งประเด็นด้านสังคม เข้ากับวิถีทางประชานิยมในเรื่องการค้าพร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนบทบาทบนเวทีโลกของสหรัฐฯ
หากจะกล่าวโดยย่อ วาระต่าง ๆ ที่ทรัมป์ประกาศไว้จะส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลกลางในเรื่องสิทธิพลเมืองลดลง พร้อม ๆ กับการขยายอำนาจของประธานาธิบดี
ประเด็นผู้อพยพ-การตรวจคนเข้าเมือง
คำประกาศการ “สร้างกำแพง” ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2016 ได้กลายมาเป็นวาทะ “การเนรเทศผู้คนออกนอกประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” พร้อมทั้งทรัมป์ก็ยังได้เรียกร้องให้มีการใช้กองกำลังสำรองของรัฐพร้อมทั้งการให้อำนาจกองกำลังตำรวจในประเทศเพื่อดำเนินการที่ว่า
แต่ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่พอจะทำให้เข้าใจว่า โครงการนี้จะมีหน้าตาอย่างไรพร้อมทั้งประชาชนจะแน่ใจได้อย่างไรว่า การดำเนินแผนงานนี้จะพุ่งเป้าไปเพียงที่ผู้ที่เข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ โดยผิดกฎหมายเท่านั้น โดยมีเพียงเสนอให้มี “การคัดกรองเกี่ยวกับความนึกคิด” สำหรับผู้ที่ต้องการจะเข้าประเทศ การยุติการได้รับสิทธิเป็นพลเมืองสำหรับผู้ที่เกิดในสหรัฐฯ (ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดขึ้นจริง) พร้อมทั้ง จะมีการนำนโยบายบางอย่างกลับมาใช้ใหม่ เช่น การจำกัดผู้ที่อพยพเข้าประเทศด้วยเหตุผลด้านสาธารณสุข พร้อมทั้งการจำกัดรุนแรงหรือสั่งห้ามผู้ที่มาจากประเทศมุสลิมบางประเทศ โดยทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ทรัมป์จะไม่เพียงจัดการเรื่องการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเท่านั้น แต่จะทำการตัดลงการอพยพเข้าเมืองโดยรวมด้วย
สิทธิการทำแท้ง
ทรัมป์ไม่ได้ยกประเด็นสิทธิการทำแท้งเป็นนโยบายที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ในการหาเสียงเลือกตั้งสมัยที่ 2 แม้จะทวงบุญคุญว่า ตนเป็นผู้แต่งตั้งตุลาการศาลสูงหัวอนุรักษ์นิยมเพิ่มจนทำให้มีการพลิกกลับคำตัดสินคดีที่ให้สิทธิในระดับรัฐบาลกลางแก่ผู้หญิงในการทำแท้งพร้อมทั้งส่งประเด็นกฎเรื่องการทำแท้งกลับไปยังรัฐบาลในระดับรัฐก็ตาม
ทรัมป์ยังมีดำริจนทำให้พรรครีพับลิกันไม่เรียกร้องให้มีการสั่งห้ามการทำแท้งทั่วประเทศในการหาเสียงของพรรคเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ โดยบอกว่า การพลิกกลับคำตัดสินในคดี Roe V. Wade นั้นเพียงพอสำหรับเรื่องนี้ในระดับรัฐบาลกลางแล้ว ทั้งยังระบุผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล (Truth Social) ของตนเมื่อเดือนที่แล้วด้วยว่า จะใช้สิทธิวีโต้กฎหมายรัฐบาลกลางที่จะสั่งห้ามการทำแท้ง ถ้ามีการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวมาให้ตนลงนาม
นโยบายภาษี
นโยบายด้านภาษีของทรัมป์นั้นโน้มเอียงไปในทิศทางที่เกื้อหนุนบริษัทขนาดใหญ่พร้อมทั้งผู้มีอันจะกินในสหรัฐฯ โดยดูได้จากคำสัญญาที่จะขยายการดำเนินงานยกเครื่องภาษีปี 2017 ต่อไป แม้จะมีการปรับเปลี่ยนในบางจุด เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ดังเช่นในปัจจุบันลงมาเป็น 15% พร้อมทั้งจะยกเลิกแผนการปรับขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน รวมทั้งการยกเลิกนโยบายเรียกเก็บภาษีภายใต้กฎหมาย Inflation Reduction Act เพื่อนำรายได้ไปสนับสนุนมาตรการด้านพลังงานในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ถ้าหากว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญมากสำหรับข้อเสนอใหม่ ๆ ของตนที่พุ่งเป้าไปยังชนชั้นแรงงานพร้อมทั้งชนชั้นกลาง ซึ่งได้แก่ การยกเลิกการเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจากเงินสวัสดิการประกันสังคมพร้อมทั้งรายได้จากการทำงานล่วงเวลา ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนไว้ว่า ยังต้องดูว่า สภาคองเกรสจะตีโจทย์ออกมาเป็นกฎหมายอย่างไร เพราะมีความเป็นไปได้ที่การดำเนินการนี้จะเปิดช่องให้มีผู้สามารถฉวยโอกาสหาประโยชน์จากนโยบายที่ควรเป็นของคนทำงานภาคบริการเช่น ร้านอาหาร บาร์ หรืองานบริการอื่นๆ เท่านั้น
ภาษีนำเข้าพร้อมทั้งการค้า
ท่าทีของทรัมป์ในประเด็นการค้าระหว่างประเทศคือ การมองว่า ตลาดการค้าโลกนั้นมีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ พร้อมทั้งยังได้เสนอการจัดเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 10%-20% สำหรับสินค้าจากต่างประเทศ ขณะที่ มีการพูดระหว่างขึ้นหาเสียงในบางเวทีว่า จะเสนออัตราภาษีที่สูงกว่าที่ว่าด้วย นอกจากนั้น ยังประกาศว่าจะสั่งให้มีการรื้อฟื้นคำสั่งฝ่ายบริหารเดือนสิงหาคม ปี 2020 ที่บังคับให้สำนักงานอาหารพร้อมทั้งยาสหรัฐฯ (FDA) สั่งซื้อยาก “ที่มีความจำเป็น” จากบริษัทยาอเมริกันเท่านั้น พร้อมจะสั่งสกัดการจีนไม่ให้เข้าซื้อ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ” ของสหรัฐฯ ด้วย
แนวคิด DEI, LGBTQ พร้อมทั้งสิทธิพลเมือง
ทรัมป์ได้เรียกร้องให้มีการลด ๆ การให้ความสำคัญต่อประเด็นความหลากหลายทางสังคมพร้อมทั้งการปกป้องทางกฎหมายสำหรับสมาชิกกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) รวมทั้งให้มีการยุติโครงการ Diversity, Equity and Inclusion (ความหลากหลาย ความเท่าเทียมพร้อมทั้งการมีส่วนร่วมของคนหมู่มาก) ในองค์กรรัฐบาลทั้งหลาย โดยใช้เรื่องงบประมาณรัฐบาลกลางเป็นข้อต่อรอง
ในกรณีของสิทธิของบุคคลข้ามเพศ ทรัมป์ได้ประกาศว่า จะยุติการ “ให้เด็กผู้ชายเล่นกีฬาผู้หญิง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนนี้ย้ำว่าเกิดขึ้นประจำ โดยไม่เสนอหลักฐานใด ๆ
แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะทรัมป์ยังเสนอแนวคิดจะยกเลิกนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่ขยายอำนาจกฎหมาย Title IX ในการปกป้องสิทธิพลเมืองสำหรับนักเรียนข้ามเพศ พร้อมทั้งยังจะขอให้สภาคองเกรสออกกฎหมายที่ให้มีการต้องระบุเพศของเด็กเกิดใหม่ว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชายเท่านั้นด้วย
กฎเกณฑ์ ระบบราชการกลาง พร้อมทั้งอำนาจของประธานาธิบดี
ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 พยายามลดบทบาทของข้าราชการของรัฐบาลกลางพร้อมทั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่อ้างว่า จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคเพราะจะมีการยกเลิกเงื่อนไขสกัดกั้นการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลต่าง ๆ รวมทั้งจะมีการยกเลิกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านเพื่อเปิดทางให้มีการก่อสร้างมากขึ้น แม้จริง ๆ แล้วกฎต่าง ๆ ที่ควบคุมธุรกิจก่อสร้างนั้นมักมาจากรัฐบาลท้องถิ่นพร้อมทั้งรัฐบาลของรัฐเป็นหลัก
นอกจากนั้น ทรัมป์ประกาศว่า จะทำให้การไล่ลูกจ้างรัฐบาลออกเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดกลุ่มให้คนกลุ่มนี้ที่มีอยู่นับพันนับหมื่นอยู่นอกเงื่อนไขการได้รับความคุ้มครองของข้าราชการ ซึ่งหมายความว่า อำนาจของรัฐบาลจะอ่อนแอลงเพราะต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อทำงานส่วนต่าง ๆ ตามไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์อ้างด้วยว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษที่จะควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางแม้หลังสภาคองเกรสจะจัดสรรงบประมาณเสร็จแล้ว โดยอ้างว่า สมาชิกสภาคองเกรสกำหนดเพียง “เพดาน” การใช้จ่าย แต่ไม่ได้กำหนด “พื้น” ที่หมายความว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะ “ดำเนินการตามกฎหมายด้วยความซื่อสัตย์” ที่รวมความถึงประเด็นการใช้จ่ายด้วย แต่เรื่องนี้ก็อาจทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างศาลพร้อมทั้งคองเกรสก็เป็นได้
ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ยังเสนอให้ระบบธนาคารกลางซึ่งเป็นองค์กรอิสระอยู่ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดีด้วย
ระบบการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการคือเป้าหมายที่รัฐบาลทรัมป์สมัยสองตั้งใจจะกำจัดทิ้งไป แต่ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลใหม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเรียนการสอนในชั้นเรียนเลย เพราะยังมีการเสนอใช้งบประมาณสนับสนุนมาเป็นข้อต่อรองเพื่อบีบให้ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานยกเลิกโปรแกรมที่เน้นความหลากหลายต่าง ๆ ไปเสีย รวมทั้งเรียกร้องให้มีการถอนงบประมาณช่วยเหลือ “โรงเรียนหรือโครงการ(ศึกษา)ใด ๆ ก็ตามที่สนับสนุน Critical Race Theory (ทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์) แนวคิดด้านเพศ หรือแม้แต่สิ่งที่พบว่าเป็น เนื้อหาด้านการเมือง เพศ หรือเชื้อชาติ อันไม่เหมาะสมให้กับเด็ก ๆ
ทรัมป์ยังเสนอให้รัฐบาลเป็นผู้ดูแลกระบวนการรับรองวุฒิในระดับอุดมศึกษา เพื่อดำเนินการสิ่งที่บอกว่าเป็น “อาวุธลับ” ของตนเพื่อใช้สู้กับ “พวกวิกลจริตพร้อมทั้งพวกบ้าคลั่งลัทธิมากซ์” ที่อ้างว่าเป็นกลุ่มที่ควบคุมระบบการศึกษาของประเทศอยู่ พร้อมกับขู่ว่า จะดำเนินการ “เก็บภาษี สั่งปรับเงิน พร้อมทั้งยื่นเรื่องฟ้อง” มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่ทั้งหลายที่ไม่ทำตามคำสั่งของตนด้วย
ระบบประกันสังคม เมดิแคร์สำหรับคนแก่ พร้อมทั้งเมดิเคดสำหรับคนรายได้น้อย
ทรัมป์ย้ำว่า ตนจะปกป้องระบบประกันสังคม (Social Security) เมดิแคร์สำหรับคนแก่ (Medicare) พร้อมทั้งเมดิเคดสำหรับคนรายได้น้อย (Medicaid) ซึ่งเป็นนโยบายสำหรับชาวอเมริกันผู้สูงอายุทั้งหลาย พร้อมทั้งเป็นส่วนที่ใช้งบประมาณรัฐบาลก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่งในแต่ละปี
แต่ก็ยังมีคำถามว่า เมื่อพิจารณาข้อเสนอกฎหมายกเลิกการเก็บภาษีจากทิปพร้อมทั้งค่าจ้างล่วงเวลาจะไม่กระทบระบบประกันสังคมพร้อมทั้งเมดิแคร์สำหรับคนแก่ได้อย่างไร
ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ค่อยได้พูดถึงเมดิเคดสำหรับคนรายได้น้อยเท่าไหร่
ก.ม. Affordable Care Act พร้อมทั้งการดูแลสุขภาพ
ตั้งแต่เมื่อปี 2015 ทรัมป์เรียกร้องให้มีการยกเลิก กฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือ Affordable Care Act ที่มีเนื้อหาให้รัฐบาลสนับสนุนตลาดประกันสุขภาพ แต่ไม่เคยนำเสนอทางเลือกที่จะมาแทนที่เลย
ในการโต้อภิปรายกับรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เมื่อเดือนกันยายน ทรัมป์ย้ำเพียงว่า ตน “มีแนวคิดเรื่องแผน” ก่อนที่ต่อมา จะประกาศกับกลุ่มผู้สนับสนุนว่า จะแต่งตั้ง โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ อดีตแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่กลายมาเป็นพันธมิตรพร้อมทั้งเป็นผู้ที่ต่อต้านวัคซีนพร้อมทั้งการใช้ยาฆ่าแมลงในวงการเกษตรของสหรัฐฯ ให้ขึ้นทำหน้าที่ดูแลให้อเมริกามีสุขภาพดีอีกครั้ง (making America healthy again)
สภาพอากาศพร้อมทั้งพลังงาน
หลังออกมาบอกว่า ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศนั้นเป็น “เรื่องโกหกหลอกลวง” พร้อมทั้งจู่โจมรัฐบาลไบเดนที่ตั้งงบใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดที่หวังจะช่วยสหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ทรัมป์เสนอนโยบายด้านพลังงานพร้อมทั้งงบสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ยึดกับการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ตั้งแต่รถ ไปจนถึงสะพานพร้อมทั้งพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยสัญญาด้วยว่า จะยุติโครงการสนับสนุนตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพร้อมทั้งปรับลดมาตรฐานประสิทธิภาพเชื้อเพลิงของรัฐบาลไบเดนด้วย
สิทธิคนงาน
ทั้งทรัมป์พร้อมทั้งว่าที่รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ต่างเสนอภาพของตนว่าอยู่ข้างคนงานอเมริกัน แต่ทรัมป์น่าจะทำให้การจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้นเกิดขึ้นได้ยากขึ้น โดยทุกครั้งที่มีการต้องพูดถึงประเด็นสหภาพ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักโยนไปว่า “พวกหัวหน้าสหภาพพร้อมทั้งซีอีโอทั้งหลาย” คือพวกที่สมคบคิดใน “แผนการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าที่ทำให้เกิดหายนะ”
นโยบายกลาโหมพร้อมทั้งบทบาทสหรัฐฯ บนเวทีโลก
วาทกรรมพร้อมทั้งนโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับกิจการโลกนั้นโน้มเอียงไปทางการทูตแบบโดดเดี่ยวตนเอง ไม่มีการแทรกแซงทางการทหาร พร้อมทั้งการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ มากกว่าประธานาธิบดีทั้งหลายนับตั้งแต่หลังสงครามโลกที่ 2 เป็นต้นมา แต่เมื่อลงดูในข้อมูลแล้ว ทุกอย่างดูซับซ้อนกว่านั้น
ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะขยายกองทัพ ปกป้องงบประมาณเพนตากอนจากความเข้มงวดในการดูแลควบคุมการใช้จ่ายพร้อมทั้งเสนอโครงการขีปนาวุธป้องกันตนเองใหม่ที่เป็นการปัดฝุ่นแนวคิดตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในยุคสงครามเย็น
ทรัมป์ยืนยันว่า จะสามารถยุติสงครามในยูเครนพร้อมทั้งสงครามอิสราเอล-ฮามาส แต่ไม่ได้อธิบายว่าจะทำอย่างไร
นอกจากนั้น ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ยังวิพากษ์วิจารณ์องค์การนาโต้พร้อมทั้งบรรดานายพลระดับสูงของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ออกปากสรรเสริญเผด็จการต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน ของฮังการีพร้อมทั้งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย อย่างต่อเนื่อง
ที่มา: เอพี
แฮร์ริสปราศรัยยอมรับความพ่ายแพ้ ยืนยันเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ
คามาลา แฮร์ริส ปรากฏตัวในเวลาเกือบ 16.30 น. พร้อมกับผู้สมัครชิงตำแหน่งรอง ปธน. ทิม วอลซ์ เธอเริ่มด้วยการขอบคุณผู้สนับสนุนพร้อมทั้งทีมงาน ก่อนจะบอกว่าผลการเลือกตั้งในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอพร้อมทั้งผู้สนับสนุนต้องการ มีหลายคนที่ผิดหวังพร้อมทั้งเสียใจ แต่ว่าก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้
เธอบอกว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับทรัมป์ พร้อมทั้งยินดีกับชัยขนะของเขา พร้อมทั้งบอกว่าจะช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านอำนาจให้ดำเนินไปโดยสันติ
แฮร์ริสเน้นย้ำว่า นี่เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ที่เมื่อแพ้แล้วก็ต้องยอมรับผล นี่คือสิ่งที่คือเส้นแบ่งที่นิยามความต่างระหว่างประชาธิปไตยกับระบอบทรราช พร้อมทั้งเชิญชวนผู้สนับสนุนให้ยังมองโลกในแง่ดี ไม่ยอมแพ้ พร้อมทั้งไม่ล้มเลิกการต่อสู้เพื่ออุดมคติที่ยึดถือ เช่น สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง หรือโรงเรียนที่ปลอดภัยจากอาวุธปืน เป็นต้น
ที่มา: วีโอเอ ภาคภาษาไทย
มัสก์เฮด้วย! หุ้นเทสลาพุ่ง 37% หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง
ซีอีโอของเทสลา กลายเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนคนสำคัญที่สุดของทรัมป์ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เขาบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้คณะหาเสียงของทรัมป์ พร้อมทั้งทรัมป์บอกว่าเขาจะจัดตั้งคณะกรรมการดูแลประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลโดยให้มัสก์เป็นผู้ดูแล เป้าหมายเพื่อลดงบประมาณของภาครัฐ
ปัจจุบัน มัสก์มีอิทธิพลอย่างมากในรัฐบาลอเมริกัน ในฐานะผู้รับเหมารายใหญ่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในโครงการดาวเทียมบรอดแบรนด์อินเทอร์เน็ต สตาร์ลิงค์ (Starlink) พร้อมทั้งสัญญาในโครงการอวกาศกับองค์การนาซ่า ผ่านบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ที่เขาเป็นเจ้าของ
ที่ผ่านมา มัสก์ได้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ที่นำมาใช้เมื่อปี 2022 แต่เป็นนโยบายที่ไม่ถูกใจทรัมป์ พร้อมทั้งอาจถูกตัดไปในรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อคู่แข่งของมัสก์มากกว่า เมื่อพิจารณาถึงยอดขายรถยนต์เทสลาในปัจจุบัน
ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าคู่แข่งของเทสลา ร่วงลงในวันพุธ เช่น ราคาหุ้นของ ลูซิด กรุ๊ป (Lucid Group) ลดลง 7.5% พร้อมทั้งของ รีเวียน ออโตโมทีฟ (Rivian Automotive) ลดลง 9.4%
นอกจากนี้ ทรัมป์สัญญาว่าจะเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะช่วยปกป้องธุรกิจของเทสลาจากการแข่งขันกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากจีนได้เช่นกัน
ถ้าหากว่า นักวิเคราะห์ชี้ว่า ยังไม่ชัดเจนว่ามัสก์จะแก้ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไรหากเขาเข้ารับตำแหน่งใดก็ตามในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จริง เพราะบทบาทที่มัสก์จะได้รับตามที่ทรัมป์สัญญาไว้นั้น จะทำให้เขามีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายทั้งในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า การสำรวจอวกาศ พร้อมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมัสก์ล้วนมีธุรกิจอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้
ที่มา: รอยเตอร์
รีพับลิกันยืนยันครองวุฒิสภา ส่วนสภาล่างยังไม่แน่นอน
มิตช์ แมคคอนแนลล์ ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวในวันพุธว่า การที่พรรครีพับลิกันสามารถครองวุฒิสภาได้นั้นถือเป็นกันชนที่สำคัญของประเทศนี้
ก่อนหน้าการเลือกตั้ง พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ด้วยจำนวน สว. 51-49 คน พร้อมทั้งในการเลือกตั้งครั้งนี้มี 34 ที่นั่งในวุฒิสภาที่ทำการแข่งขันกัน โดยในจำนวนนี้ 23 ที่นั่งเป็นเก้าอี้ของเดโมแครต
แต่ในการเลือกตั้งเมื่อวันอังคาร รีพับลิกันได้เพิ่มมาอีกอย่างน้อย 2 ที่นั่ง จากรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย พร้อมทั้งโอไฮโอ ทำให้สามารถครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ โดย สว.อเมริกันมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี พร้อมทั้งทุก 2 ปีจะมีการเลือกตั้ง 1 ใน 3 ของสภา
สำหรับสภาผู้แทนราษฎรฯ ที่มีวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี มีการเลือกตั้งใหม่ทั้ง 435 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรครีพับลิกันครองอยู่ 220 พร้อมทั้งพรรคเดโมแครตมี 212 ส่วนิอีก 3 ที่นั่งเป็นเก้าอี้ที่ว่างอยู่
จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าพรรคไหนจะได้ครองสภาล่าง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการนับคะแนนทุกเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐใหญ่ที่มักประกาศผลเป็นรัฐท้าย ๆ ยังไม่รวมกับนับคะแนนใหม่หรือการเลือกตั้งอีกครั้งในกรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนเสียงใกล้กันมาก ซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์
ทั้งนี้ การที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาอาจส่งผลกระทบต่อการส่งความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครนในอนาคต
ที่มา: วีโอเอ
หิมะแรกโผล่ยอดภูเขาไฟฟูจิ หลังมาช้าสุดในรอบ 130 ปี
หิมะแรกบนยอดเขาฟูจิ มองเห็นได้จากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขา อ้างอิงจากสำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นในชิซูโอกะ ถ้าหากว่า สำนักอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นในโคฟู ซึ่งจับตาหิมะแรกในอีกฟากฝั่งของภูเขาไฟ พร้อมทั้งรับหน้าที่รายงานสถานการณ์หิมะตกบนยอดเขาแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1984 ยังคงไม่พบหิมะเนื่องจากสภาวะอากาศที่มีเมฆหนา นั่นเท่ากับว่ายังไม่สามารถประกาศว่าหิมะตกอย่างเป็นทางการได้
สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น รายงานว่า โดยปกติแล้วหิมะจะตกบริเวณยอดเขาตั้งแต่ 2 ตุลาคม ซึ่งเป็นเวลา 1 เดือนหลังฤดูร้อนสิ้นสุดลงไป พร้อมทั้งเมื่อปีที่แล้ว หิมะแรกตกบริเวณยอดเขาฟูจิเมื่อ 5 ตุลาคม แต่ในปีนี้กลับพบหิมะแรกบนยอดเขาเมื่อวันพุธ ซึ่งถือว่าล่าช้าไปมากกว่า 1 เดือนทีเดียว
ที่ผ่านมา ภูเขาไฟฟูจิ หรือที่เรียกกันว่า ฟูจิซัง ที่ไร้หมวกหิมะปกคลุม กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจบนสื่อสังคมออนไลน์ ชาวเน็ตโพสต์ภาพของภูเขาไฟลูกนี้แบบไร้หิมะอันเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น บ้างก็แสดงความประหลาดใจ บ้างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศผิดธรรมชาติ แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่อาจฟันธงได้ว่าหิมะที่มาช้ากว่าปกติเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนหรือไม่
ที่มา: เอพี
บรรยากาศ 24 ชั่วโมงแรก หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2
ผู้นำโลกร่วมยินดี ‘ทรัมป์’ คว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐฯ
ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต สร้างประวัติศาสตร์ให้กับเขาในการเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันสมัยใหม่ ที่หวนคืนสู่ทำเนียบขาวได้สำเร็จหลังว่างเว้นไปเป็นเวลา 4 ปีก่อนหน้านี้
ผู้นำโลกทยอยโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X แสดงความยินดีกับทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ที่กระทบต่อความสัมพันธ์กับพันธมิตรพร้อมทั้งคู่ขัดแย้งของอเมริกา ในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาวสมัยแรก
เริ่มที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ที่เป็นพันธมิตรอเมริกาประเทศแรก ๆ ที่ส่งข้อความสนับสนุน พร้อมทั้งยกย่อง “การกลับมาครั้งประวัติศาสตร์” ของทรัมป์ ซึ่งได้มอบ “ความมุ่งมั่นอันทรงพลังต่อความเป็นพันธมิตรอันยิ่งใหญ่ระหว่างอิสราเอลพร้อมทั้งอเมริกา”
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ซึ่งออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ พร้อมทั้งชาติตะวันตกส่งความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นในการต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย ได้บอกว่า ความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการ ‘สร้างสันติภาพผ่านความเข้มแข็ง’ ในกิจการโลก พร้อมทั้งว่า “นี่คือหลักการที่สามารถนำสันติภาพมาสู่ยูเครนได้”
มาร์ค รุตเทอ เลขาธิการองค์การนาโต้ พันธมิตรการทหารชาติตะวันตกที่ทรัมป์เคยวิจารณ์มาตลอดว่าไม่เข้าจัดการด้านกลาโหมในยุโรปมากพอนั้น ได้แสดงความยินดีต่อทรัมป์ด้วยเช่นกัน โดยพบว่า “ความเป็นผู้นำของเขา(ทรัมป์)จะเป็นกุญแจในการทำให้พันธมิตรของเราเข้มแข็งอีกครั้ง ผมตั้งตารอคอยที่จะทำงานร่วมกับเขาอีกครั้งในการเดินหน้าสร้างสันติภาพด้วยความเข้มแข็งในองค์การนาโต้”
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาคร็อง แห่งฝรั่งเศส ได้แสดงความยินดีต่อทรัมป์เช่นกัน โดยบอกว่าตน “พร้อมทำงานร่วมกันเหมือนที่เคยเป็นมาถึง 4 ปี … ด้วยความเชื่อมั่นของคุณพร้อมทั้งผม”
นายกรัฐมนตรีอังกฤษเคียร์ สตาร์เมอร์ บอกว่ารัฐบาลของตนจะยืนหยัด “เคียงบ่าเคียงไหล่” ในการปกป้องคุณค่าของเสรีภาพ ประชาธิปไตย พร้อมทั้งความมุ่งมั่นที่มีร่วมกัน “ตั้งแต่การเติบโตพร้อมทั้งความมั่นคง ไปจนถึงด้านนวัตกรรมพร้อมทั้งเทคโนโลยี ผมรู้ว่าความสัมพันธ์อันพิเศษระหว่างอังกฤษพร้อมทั้งสหรัฐฯ จะยังคงเติบโตในทั้งสองฝั่งของแอตแลนติกในอีกหลายปีต่อจากนี้”
ด้านเออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แสดงความยินดีกับทรัมป์ พร้อมทั้งยกย่อง “ความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริง” ระหว่างสหภาพยุโรปพร้อมทั้งสหรัฐฯ แม้ว่าในยุคทรัมป์สมัยแรกนั้น จะมีความบาดหมางระหว่างอียูพร้อมทั้งสหรัฐเกิดขึ้น พร้อมทั้งส่วนหนึ่งมาจากการบังคับใช้มาตรการกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปก็ตาม
ฝั่งนายกรัฐมนตรีฮังการี วิกเตอร์ ออร์บาน พันธมิตรสายอนุรักษ์นิยมของทรัมป์ เรียกชัยชนะของอดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ว่าเป็น “การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน” พร้อมทั้งว่าเป็น “ชัยชนะที่ต้องการอย่างยิ่ง” บนโลกนี้
ถ้าหากว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยังไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ในสื่อสังคมออนไลน์ X อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ แสดงความพอใจกับความปราชัยของแฮร์ริส โดยโพสต์ว่า “คามาลาจบแล้ว … ปล่อยให้เธอหัวเราะเยาะต่อไป”
นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโธนี อัลบาเนซี บอกว่า “ชาวออสเตรเลียพร้อมทั้งอเมริกันเป็นมิตรที่ดีพร้อมทั้งพันธมิตรที่แท้จริง”
ส่วนนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี แสดงความยินดีกับทรัมป์ ผู้ที่โมดีเรียกว่าเป็นเพื่อนของเขาว่า “ระหว่างที่คุณกำลังต่อยอดความสำเร็จจากวาระก่อนหน้า ผมรอคอยที่จะทบทวนความร่วมมือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดียที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ ได้ระบุในแถลงการณ์ แสดงความหวังว่า “ความเป็นพันธมิตรที่ไม่มีวันสั่นคลอน” ระหว่างรัฐบาลวอชิงตันพร้อมทั้งรัฐบาลมะนิลา “จะเป็นขุมพลังที่จะจุดประกายเส้นทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองพร้อมทั้งมิตรภาพในภูมิภาคพร้อมทั้งทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก”
ปิดท้ายที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X ว่า “ดิฉันขอแสดงความยินดีกับท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมทั้ง สว. เจดี แวนซ์ สำหรับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิฉันพร้อมทำงานร่วมกับท่าน ในการส่งเสริมความเป็นพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ที่มา: วีโอเอ
‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะเลือกตั้งปธน.สมัย 2
ทรัมป์ ได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 277 เสียง จาก 538 เสียง เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้นำอเมริกันคนแรกนับตั้งแต่ช่องคริสต์ทศวรรษที่ 1890 ที่ดำรงตำแหน่งสมัย 2 แบบเว้นช่วงการบริหารประเทศ
ในวันพุธ ทรัมป์ ประกาศชัยชนะพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุนที่รัฐฟลอริดาว่า “นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน พร้อมทั้งจริง ๆ แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะ “แก้ปัญหาเรื่องชายแดน” พร้อมทั้ง “แก้ปัญหาทุกอย่างในประเทศ”
ทรัมป์ ยังกล่าวในช่วงนี้ด้วยว่าตนจะทำหน้าที่เพื่อมอบ “อเมริกาที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย พร้อมทั้งรุ่งเรือง”
อีกด้านหนึ่ง ทีมหาเสียงของแฮร์ริส ได้ได้บอกกล่าวกับผู้สนับสนุนที่ปักหลักที่กรุงวอชิงตันว่าเธอจะไม่ขึ้นกล่าวในงานลุ้นผลการเลือกตั้งตามกำหนดการในวันพุธ
ทั้งนี้ ในระบบการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นการขับเคี่ยวกันในระดับรัฐต่อรัฐ ทั้งแฮร์ริสพร้อมทั้งทรัมป์ต่างประเทศชัยชนะในแต่ละหมุดหมายที่ได้เสียงสนับสนุนของฝ่ายตน ขณะที่ทั่วประเทศต่างจับตา 7 รัฐสมรภูมิ ที่คาดหมายว่าจะเป็นตัวชี้ขาดผู้ชนะ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์ คว้าชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย จอร์เจีย นอร์ธแคโรไลนา พร้อมทั้งวิสคอนซิน พร้อมทั้งทำให้เขาชิงความได้เปรียบในศึกเลือกตั้งครั้งนี้
ชัยชนะของพรรครีพับลิกันยังยิงยาวไปต่อในสภาสหรัฐฯ ที่กุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาอย่างน้อย 51 จาก 100 ที่นั่ง ขณะที่จำนวนเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันพรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมากอยู่นั้น ยังไม่ได้ประกาศผลออกมา
โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในช่วงปี 2017-2021 ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ทรัมป์ยังยืนยันว่าตนเป็นฝ่ายชนะ การปฏิเสธผลการเลือกตั้งดังกล่าวได้จุดชนวนให้กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม 2021 เพื่อหวังขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้งในปีดังกล่าว อีกทั้งทรัมป์พร้อมทั้งพันธมิตรของเขายังเดินหน้าต่อสู้ทางกฎหมายมากมายหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน
หลังจากทรัมป์ก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในสมัยแรก เขาเผชิญกับคดีความมากมาย ตั้งแต่การถูกตัดสินว่ามีความผิด 34 กระทง จากการปลอมแปลงข้อมูลทางการเงินช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 เพื่อปกปิดค่าใช้จ่าย 130,000 ดอลลาร์ที่เขาใช้ในการปิดปาก สตอร์มีย์ แดเนียลส์ อดีตดาราหนังผู้ใหญ่ เรื่องความสัมพันธ์ลับของทั้งสองคนเมื่อปี 2006 พร้อมทั้งคดีความดังกล่าวมีกำหนดการตัดสินในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้
โดยคดีนี้เป็น 1 ใน 4 คดีอาญาที่ทรัมป์กำลังเผชิญอยู่ ส่วนอีก 3 คดี ประกอบด้วย 2 คดีที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าเขาพยายามพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ที่เขาพ่ายเเพ้ ส่วนคดีสุดท้ายเป็นเรื่องการจัดเก็บเอกสารความลับด้านความมั่นคงของประเทศ หลังหมดวาระผู้นำสหรัฐฯ
ทรัมป์ มีกำหนดการขึ้นปฏิญาณตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ในวันที่ 20 มกราคมนี้
ในแง่ของประเด็นการต่างประเทศ นโยบายสำคัญที่อยู่ในความสนใจของคณะทำงานทรัมป์ จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ พร้อมทั้งจีน ทั้งในด้านการค้า ไต้หวัน พร้อมทั้งท่าทีของจีนในทะเลจีนใต้ โดยที่ผ่านมาคณะทำงานทรัมป์ได้ออกมาตรการกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีน ท่ามกลางสงครามการค้ากับรัฐบาลปักกิ่งที่เกิดขึ้นในยุคที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสมัยแรก
วินเซนต์ หวัง คณบดีวิทยาลัยศิลปศาสตร์พร้อมทั้งวิทยาศาสตร์ จาก Adelphi University ให้ทัศนะกับวีโอเอภาคภาษาจีนกลางว่า จีนมีแนวโน้มที่จะแสดงท่าทีก้าวร้าวน้อยกว่า หากแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง “หากทรัมป์ได้รับเลือกตั้ง ผมคิดว่าจีนอาจไม่กล้า เพราะเขา(ทรัมป์)ไม่ทำตามร่างแถลง เขาได้ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงไปแล้ว หากเขาตื่นขึ้นมาในวันนี้ เขาอาจบอกว่าเขาจะขึ้นกำแพงภาษีไป 200% หากเขาตื่นขึ้นวันพรุ่งนี้ เขาอาจต้องการทิ้งระเบิดใส่กรุงปักกิ่ง ดังนั้น ในทางกลับกัน ผมคิดว่าสิ่งนี้เรียกว่าการป้องปรามแบบทรัมป์ จะทำให้พวกเขา(จีน)มีความยับยั้งชั่งใจมากกว่า”
ที่มา: วีโอเอ