GAC AION จับมือ BOI เฟ้นหาผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทย รองรับการผลิตรถ EV ในปี 68

GAC AION จับมือกับ BOI เฟ้นหาผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทยผ่านการเจรจาธุรกิจในงาน AION Sourcing Day รองรับการเดินเครื่องผลิตรถยนต์ EV ในปี 2568 มียอดเจรจาธุรกิจ 74 บริษัท คาดเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มอีกกว่า 2,250 ล้านบาท

รัฐบาลทรัมป์ 2.0 กับสิ่งที่สหรัฐฯ พร้อมทั้งโลกต้องเตรียมพร้อมรับ

ตลอดช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 โดนัลด์ ทรัมป์ นำเสนอแผนงานมากมายที่ประกาศมั่นว่า ลงมือทำในฐานะผู้นำทำเนียบขาวสมัยที่ 2

อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ไม่เคยได้ลงข้อมูลเกี่ยวกับแผนงานต่าง ๆ ในช่วงกว่าปีของการหาเสียงไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประกาศบนเวทีหรือในแถลงการณ์ที่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเอพีพบว่า เป็นการผสมผสานแนวคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมว่าด้วยเรื่องภาษี กฎเกณฑ์พร้อมทั้งประเด็นด้านสังคม เข้ากับวิถีทางประชานิยมในเรื่องการค้าพร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนบทบาทบนเวทีโลกของสหรัฐฯ

หากจะกล่าวโดยย่อ วาระต่าง ๆ ที่ทรัมป์ประกาศไว้จะส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลกลางในเรื่องสิทธิพลเมืองลดลง พร้อม ๆ กับการขยายอำนาจของประธานาธิบดี

 

ประเด็นผู้อพยพ-การตรวจคนเข้าเมือง

คำประกาศการ “สร้างกำแพง” ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2016 ได้กลายมาเป็นวาทะ “การเนรเทศผู้คนออกนอกประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” พร้อมทั้งทรัมป์ก็ยังได้เรียกร้องให้มีการใช้กองกำลังสำรองของรัฐพร้อมทั้งการให้อำนาจกองกำลังตำรวจในประเทศเพื่อดำเนินการที่ว่า

แต่ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่พอจะทำให้เข้าใจว่า โครงการนี้จะมีหน้าตาอย่างไรพร้อมทั้งประชาชนจะแน่ใจได้อย่างไรว่า การดำเนินแผนงานนี้จะพุ่งเป้าไปเพียงที่ผู้ที่เข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ โดยผิดกฎหมายเท่านั้น โดยมีเพียงเสนอให้มี “การคัดกรองเกี่ยวกับความนึกคิด” สำหรับผู้ที่ต้องการจะเข้าประเทศ การยุติการได้รับสิทธิเป็นพลเมืองสำหรับผู้ที่เกิดในสหรัฐฯ (ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดขึ้นจริง) พร้อมทั้ง จะมีการนำนโยบายบางอย่างกลับมาใช้ใหม่ เช่น การจำกัดผู้ที่อพยพเข้าประเทศด้วยเหตุผลด้านสาธารณสุข พร้อมทั้งการจำกัดรุนแรงหรือสั่งห้ามผู้ที่มาจากประเทศมุสลิมบางประเทศ โดยทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ทรัมป์จะไม่เพียงจัดการเรื่องการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเท่านั้น แต่จะทำการตัดลงการอพยพเข้าเมืองโดยรวมด้วย

 

สิทธิการทำแท้ง

ทรัมป์ไม่ได้ยกประเด็นสิทธิการทำแท้งเป็นนโยบายที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ในการหาเสียงเลือกตั้งสมัยที่ 2 แม้จะทวงบุญคุญว่า ตนเป็นผู้แต่งตั้งตุลาการศาลสูงหัวอนุรักษ์นิยมเพิ่มจนทำให้มีการพลิกกลับคำตัดสินคดีที่ให้สิทธิในระดับรัฐบาลกลางแก่ผู้หญิงในการทำแท้งพร้อมทั้งส่งประเด็นกฎเรื่องการทำแท้งกลับไปยังรัฐบาลในระดับรัฐก็ตาม

ทรัมป์ยังมีดำริจนทำให้พรรครีพับลิกันไม่เรียกร้องให้มีการสั่งห้ามการทำแท้งทั่วประเทศในการหาเสียงของพรรคเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ โดยบอกว่า การพลิกกลับคำตัดสินในคดี Roe V. Wade นั้นเพียงพอสำหรับเรื่องนี้ในระดับรัฐบาลกลางแล้ว ทั้งยังระบุผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล (Truth Social) ของตนเมื่อเดือนที่แล้วด้วยว่า จะใช้สิทธิวีโต้กฎหมายรัฐบาลกลางที่จะสั่งห้ามการทำแท้ง ถ้ามีการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวมาให้ตนลงนาม

 

นโยบายภาษี

นโยบายด้านภาษีของทรัมป์นั้นโน้มเอียงไปในทิศทางที่เกื้อหนุนบริษัทขนาดใหญ่พร้อมทั้งผู้มีอันจะกินในสหรัฐฯ โดยดูได้จากคำสัญญาที่จะขยายการดำเนินงานยกเครื่องภาษีปี 2017 ต่อไป แม้จะมีการปรับเปลี่ยนในบางจุด เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ดังเช่นในปัจจุบันลงมาเป็น 15% พร้อมทั้งจะยกเลิกแผนการปรับขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน รวมทั้งการยกเลิกนโยบายเรียกเก็บภาษีภายใต้กฎหมาย Inflation Reduction Act เพื่อนำรายได้ไปสนับสนุนมาตรการด้านพลังงานในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

ถ้าหากว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญมากสำหรับข้อเสนอใหม่ ๆ ของตนที่พุ่งเป้าไปยังชนชั้นแรงงานพร้อมทั้งชนชั้นกลาง ซึ่งได้แก่ การยกเลิกการเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจากเงินสวัสดิการประกันสังคมพร้อมทั้งรายได้จากการทำงานล่วงเวลา ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนไว้ว่า ยังต้องดูว่า สภาคองเกรสจะตีโจทย์ออกมาเป็นกฎหมายอย่างไร เพราะมีความเป็นไปได้ที่การดำเนินการนี้จะเปิดช่องให้มีผู้สามารถฉวยโอกาสหาประโยชน์จากนโยบายที่ควรเป็นของคนทำงานภาคบริการเช่น ร้านอาหาร บาร์ หรืองานบริการอื่นๆ เท่านั้น

 

ภาษีนำเข้าพร้อมทั้งการค้า

ท่าทีของทรัมป์ในประเด็นการค้าระหว่างประเทศคือ การมองว่า ตลาดการค้าโลกนั้นมีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ พร้อมทั้งยังได้เสนอการจัดเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 10%-20% สำหรับสินค้าจากต่างประเทศ ขณะที่ มีการพูดระหว่างขึ้นหาเสียงในบางเวทีว่า จะเสนออัตราภาษีที่สูงกว่าที่ว่าด้วย นอกจากนั้น ยังประกาศว่าจะสั่งให้มีการรื้อฟื้นคำสั่งฝ่ายบริหารเดือนสิงหาคม ปี 2020 ที่บังคับให้สำนักงานอาหารพร้อมทั้งยาสหรัฐฯ (FDA) สั่งซื้อยาก “ที่มีความจำเป็น” จากบริษัทยาอเมริกันเท่านั้น พร้อมจะสั่งสกัดการจีนไม่ให้เข้าซื้อ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ” ของสหรัฐฯ ด้วย

 

แนวคิด DEI, LGBTQ พร้อมทั้งสิทธิพลเมือง

ทรัมป์ได้เรียกร้องให้มีการลด ๆ การให้ความสำคัญต่อประเด็นความหลากหลายทางสังคมพร้อมทั้งการปกป้องทางกฎหมายสำหรับสมาชิกกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) รวมทั้งให้มีการยุติโครงการ Diversity, Equity and Inclusion (ความหลากหลาย ความเท่าเทียมพร้อมทั้งการมีส่วนร่วมของคนหมู่มาก) ในองค์กรรัฐบาลทั้งหลาย โดยใช้เรื่องงบประมาณรัฐบาลกลางเป็นข้อต่อรอง

ในกรณีของสิทธิของบุคคลข้ามเพศ ทรัมป์ได้ประกาศว่า จะยุติการ “ให้เด็กผู้ชายเล่นกีฬาผู้หญิง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนนี้ย้ำว่าเกิดขึ้นประจำ โดยไม่เสนอหลักฐานใด ๆ

แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะทรัมป์ยังเสนอแนวคิดจะยกเลิกนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่ขยายอำนาจกฎหมาย Title IX ในการปกป้องสิทธิพลเมืองสำหรับนักเรียนข้ามเพศ พร้อมทั้งยังจะขอให้สภาคองเกรสออกกฎหมายที่ให้มีการต้องระบุเพศของเด็กเกิดใหม่ว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชายเท่านั้นด้วย

 

กฎเกณฑ์ ระบบราชการกลาง พร้อมทั้งอำนาจของประธานาธิบดี

ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 พยายามลดบทบาทของข้าราชการของรัฐบาลกลางพร้อมทั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่อ้างว่า จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคเพราะจะมีการยกเลิกเงื่อนไขสกัดกั้นการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลต่าง ๆ รวมทั้งจะมีการยกเลิกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านเพื่อเปิดทางให้มีการก่อสร้างมากขึ้น แม้จริง ๆ แล้วกฎต่าง ๆ ที่ควบคุมธุรกิจก่อสร้างนั้นมักมาจากรัฐบาลท้องถิ่นพร้อมทั้งรัฐบาลของรัฐเป็นหลัก

นอกจากนั้น ทรัมป์ประกาศว่า จะทำให้การไล่ลูกจ้างรัฐบาลออกเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดกลุ่มให้คนกลุ่มนี้ที่มีอยู่นับพันนับหมื่นอยู่นอกเงื่อนไขการได้รับความคุ้มครองของข้าราชการ ซึ่งหมายความว่า อำนาจของรัฐบาลจะอ่อนแอลงเพราะต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อทำงานส่วนต่าง ๆ ตามไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์อ้างด้วยว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษที่จะควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางแม้หลังสภาคองเกรสจะจัดสรรงบประมาณเสร็จแล้ว โดยอ้างว่า สมาชิกสภาคองเกรสกำหนดเพียง “เพดาน” การใช้จ่าย แต่ไม่ได้กำหนด “พื้น” ที่หมายความว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะ “ดำเนินการตามกฎหมายด้วยความซื่อสัตย์” ที่รวมความถึงประเด็นการใช้จ่ายด้วย แต่เรื่องนี้ก็อาจทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างศาลพร้อมทั้งคองเกรสก็เป็นได้

ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ยังเสนอให้ระบบธนาคารกลางซึ่งเป็นองค์กรอิสระอยู่ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดีด้วย

 

ระบบการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการคือเป้าหมายที่รัฐบาลทรัมป์สมัยสองตั้งใจจะกำจัดทิ้งไป แต่ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลใหม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเรียนการสอนในชั้นเรียนเลย เพราะยังมีการเสนอใช้งบประมาณสนับสนุนมาเป็นข้อต่อรองเพื่อบีบให้ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานยกเลิกโปรแกรมที่เน้นความหลากหลายต่าง ๆ ไปเสีย รวมทั้งเรียกร้องให้มีการถอนงบประมาณช่วยเหลือ “โรงเรียนหรือโครงการ(ศึกษา)ใด ๆ ก็ตามที่สนับสนุน Critical Race Theory (ทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์) แนวคิดด้านเพศ หรือแม้แต่สิ่งที่พบว่าเป็น เนื้อหาด้านการเมือง เพศ หรือเชื้อชาติ อันไม่เหมาะสมให้กับเด็ก ๆ

ทรัมป์ยังเสนอให้รัฐบาลเป็นผู้ดูแลกระบวนการรับรองวุฒิในระดับอุดมศึกษา เพื่อดำเนินการสิ่งที่บอกว่าเป็น “อาวุธลับ” ของตนเพื่อใช้สู้กับ “พวกวิกลจริตพร้อมทั้งพวกบ้าคลั่งลัทธิมากซ์” ที่อ้างว่าเป็นกลุ่มที่ควบคุมระบบการศึกษาของประเทศอยู่ พร้อมกับขู่ว่า จะดำเนินการ “เก็บภาษี สั่งปรับเงิน พร้อมทั้งยื่นเรื่องฟ้อง” มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่ทั้งหลายที่ไม่ทำตามคำสั่งของตนด้วย

 

ระบบประกันสังคม เมดิแคร์สำหรับคนแก่ พร้อมทั้งเมดิเคดสำหรับคนรายได้น้อย

ทรัมป์ย้ำว่า ตนจะปกป้องระบบประกันสังคม (Social Security) เมดิแคร์สำหรับคนแก่ (Medicare) พร้อมทั้งเมดิเคดสำหรับคนรายได้น้อย (Medicaid) ซึ่งเป็นนโยบายสำหรับชาวอเมริกันผู้สูงอายุทั้งหลาย พร้อมทั้งเป็นส่วนที่ใช้งบประมาณรัฐบาลก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่งในแต่ละปี

แต่ก็ยังมีคำถามว่า เมื่อพิจารณาข้อเสนอกฎหมายกเลิกการเก็บภาษีจากทิปพร้อมทั้งค่าจ้างล่วงเวลาจะไม่กระทบระบบประกันสังคมพร้อมทั้งเมดิแคร์สำหรับคนแก่ได้อย่างไร

ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ค่อยได้พูดถึงเมดิเคดสำหรับคนรายได้น้อยเท่าไหร่

 

ก.ม. Affordable Care Act พร้อมทั้งการดูแลสุขภาพ

ตั้งแต่เมื่อปี 2015 ทรัมป์เรียกร้องให้มีการยกเลิก กฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือ Affordable Care Act ที่มีเนื้อหาให้รัฐบาลสนับสนุนตลาดประกันสุขภาพ แต่ไม่เคยนำเสนอทางเลือกที่จะมาแทนที่เลย

ในการโต้อภิปรายกับรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เมื่อเดือนกันยายน ทรัมป์ย้ำเพียงว่า ตน “มีแนวคิดเรื่องแผน” ก่อนที่ต่อมา จะประกาศกับกลุ่มผู้สนับสนุนว่า จะแต่งตั้ง โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ อดีตแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่กลายมาเป็นพันธมิตรพร้อมทั้งเป็นผู้ที่ต่อต้านวัคซีนพร้อมทั้งการใช้ยาฆ่าแมลงในวงการเกษตรของสหรัฐฯ ให้ขึ้นทำหน้าที่ดูแลให้อเมริกามีสุขภาพดีอีกครั้ง (making America healthy again)

 

สภาพอากาศพร้อมทั้งพลังงาน

หลังออกมาบอกว่า ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศนั้นเป็น “เรื่องโกหกหลอกลวง” พร้อมทั้งจู่โจมรัฐบาลไบเดนที่ตั้งงบใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดที่หวังจะช่วยสหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ทรัมป์เสนอนโยบายด้านพลังงานพร้อมทั้งงบสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ยึดกับการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ตั้งแต่รถ ไปจนถึงสะพานพร้อมทั้งพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยสัญญาด้วยว่า จะยุติโครงการสนับสนุนตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพร้อมทั้งปรับลดมาตรฐานประสิทธิภาพเชื้อเพลิงของรัฐบาลไบเดนด้วย

 

สิทธิคนงาน

ทั้งทรัมป์พร้อมทั้งว่าที่รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ต่างเสนอภาพของตนว่าอยู่ข้างคนงานอเมริกัน แต่ทรัมป์น่าจะทำให้การจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้นเกิดขึ้นได้ยากขึ้น โดยทุกครั้งที่มีการต้องพูดถึงประเด็นสหภาพ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักโยนไปว่า “พวกหัวหน้าสหภาพพร้อมทั้งซีอีโอทั้งหลาย” คือพวกที่สมคบคิดใน “แผนการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าที่ทำให้เกิดหายนะ”

 

นโยบายกลาโหมพร้อมทั้งบทบาทสหรัฐฯ บนเวทีโลก

วาทกรรมพร้อมทั้งนโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับกิจการโลกนั้นโน้มเอียงไปทางการทูตแบบโดดเดี่ยวตนเอง ไม่มีการแทรกแซงทางการทหาร พร้อมทั้งการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ มากกว่าประธานาธิบดีทั้งหลายนับตั้งแต่หลังสงครามโลกที่ 2 เป็นต้นมา แต่เมื่อลงดูในข้อมูลแล้ว ทุกอย่างดูซับซ้อนกว่านั้น

ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะขยายกองทัพ ปกป้องงบประมาณเพนตากอนจากความเข้มงวดในการดูแลควบคุมการใช้จ่ายพร้อมทั้งเสนอโครงการขีปนาวุธป้องกันตนเองใหม่ที่เป็นการปัดฝุ่นแนวคิดตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในยุคสงครามเย็น

ทรัมป์ยืนยันว่า จะสามารถยุติสงครามในยูเครนพร้อมทั้งสงครามอิสราเอล-ฮามาส แต่ไม่ได้อธิบายว่าจะทำอย่างไร

นอกจากนั้น ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ยังวิพากษ์วิจารณ์องค์การนาโต้พร้อมทั้งบรรดานายพลระดับสูงของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ออกปากสรรเสริญเผด็จการต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน ของฮังการีพร้อมทั้งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย อย่างต่อเนื่อง

 

ที่มา: เอพี

แฮร์ริสปราศรัยยอมรับความพ่ายแพ้ ยืนยันเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ

รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครต กล่าวปราศรัยในวันพุธที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด ในกรุงวอชิงตัน ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งต่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากทราบผลการลงคะแนนอย่างเป็นทางการ

คามาลา แฮร์ริส ปรากฏตัวในเวลาเกือบ 16.30 น. พร้อมกับผู้สมัครชิงตำแหน่งรอง ปธน. ทิม วอลซ์ เธอเริ่มด้วยการขอบคุณผู้สนับสนุนพร้อมทั้งทีมงาน ก่อนจะบอกว่าผลการเลือกตั้งในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอพร้อมทั้งผู้สนับสนุนต้องการ มีหลายคนที่ผิดหวังพร้อมทั้งเสียใจ แต่ว่าก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

เธอบอกว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับทรัมป์ พร้อมทั้งยินดีกับชัยขนะของเขา พร้อมทั้งบอกว่าจะช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านอำนาจให้ดำเนินไปโดยสันติ

แฮร์ริสเน้นย้ำว่า นี่เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ที่เมื่อแพ้แล้วก็ต้องยอมรับผล นี่คือสิ่งที่คือเส้นแบ่งที่นิยามความต่างระหว่างประชาธิปไตยกับระบอบทรราช พร้อมทั้งเชิญชวนผู้สนับสนุนให้ยังมองโลกในแง่ดี ไม่ยอมแพ้ พร้อมทั้งไม่ล้มเลิกการต่อสู้เพื่ออุดมคติที่ยึดถือ เช่น สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง หรือโรงเรียนที่ปลอดภัยจากอาวุธปืน เป็นต้น

ที่มา: วีโอเอ ภาคภาษาไทย

มัสก์เฮด้วย! หุ้นเทสลาพุ่ง 37% หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน อิลอน มัสก์ อาจเป็นอีกคนที่กระโดดด้วยความดีใจหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันอังคาร หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ เทสลา (Tesla) ของเขา พุ่งสูงขึ้นถึง 37% ในวันพุธ 

ซีอีโอของเทสลา กลายเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนคนสำคัญที่สุดของทรัมป์ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เขาบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้คณะหาเสียงของทรัมป์ พร้อมทั้งทรัมป์บอกว่าเขาจะจัดตั้งคณะกรรมการดูแลประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลโดยให้มัสก์เป็นผู้ดูแล เป้าหมายเพื่อลดงบประมาณของภาครัฐ

ปัจจุบัน มัสก์มีอิทธิพลอย่างมากในรัฐบาลอเมริกัน ในฐานะผู้รับเหมารายใหญ่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในโครงการดาวเทียมบรอดแบรนด์อินเทอร์เน็ต สตาร์ลิงค์ (Starlink) พร้อมทั้งสัญญาในโครงการอวกาศกับองค์การนาซ่า ผ่านบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ที่เขาเป็นเจ้าของ

ที่ผ่านมา มัสก์ได้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ที่นำมาใช้เมื่อปี 2022 แต่เป็นนโยบายที่ไม่ถูกใจทรัมป์ พร้อมทั้งอาจถูกตัดไปในรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อคู่แข่งของมัสก์มากกว่า เมื่อพิจารณาถึงยอดขายรถยนต์เทสลาในปัจจุบัน 

ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าคู่แข่งของเทสลา ร่วงลงในวันพุธ เช่น ราคาหุ้นของ ลูซิด กรุ๊ป (Lucid Group) ลดลง 7.5% พร้อมทั้งของ รีเวียน ออโตโมทีฟ (Rivian Automotive) ลดลง 9.4%

นอกจากนี้ ทรัมป์สัญญาว่าจะเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะช่วยปกป้องธุรกิจของเทสลาจากการแข่งขันกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากจีนได้เช่นกัน

ถ้าหากว่า นักวิเคราะห์ชี้ว่า ยังไม่ชัดเจนว่ามัสก์จะแก้ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไรหากเขาเข้ารับตำแหน่งใดก็ตามในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จริง เพราะบทบาทที่มัสก์จะได้รับตามที่ทรัมป์สัญญาไว้นั้น จะทำให้เขามีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายทั้งในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า การสำรวจอวกาศ พร้อมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมัสก์ล้วนมีธุรกิจอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้ 

ที่มา: รอยเตอร์

 

รีพับลิกันยืนยันครองวุฒิสภา ส่วนสภาล่างยังไม่แน่นอน

พรรครีพับลิกันสามารถกลับมาครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง หลังจากได้ที่นั่งแล้วอย่างน้อย 51 ที่นั่งจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง หลังการเลือกตั้งเมื่อวันอังคาร ในขณะที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าพรรคไหนจะเป็นผู้ครองสภาผู้แทนราษฎร

มิตช์ แมคคอนแนลล์ ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวในวันพุธว่า การที่พรรครีพับลิกันสามารถครองวุฒิสภาได้นั้นถือเป็นกันชนที่สำคัญของประเทศนี้ 

ก่อนหน้าการเลือกตั้ง พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ด้วยจำนวน สว. 51-49 คน พร้อมทั้งในการเลือกตั้งครั้งนี้มี 34 ที่นั่งในวุฒิสภาที่ทำการแข่งขันกัน  โดยในจำนวนนี้ 23 ที่นั่งเป็นเก้าอี้ของเดโมแครต 

แต่ในการเลือกตั้งเมื่อวันอังคาร รีพับลิกันได้เพิ่มมาอีกอย่างน้อย 2 ที่นั่ง จากรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย พร้อมทั้งโอไฮโอ ทำให้สามารถครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ โดย สว.อเมริกันมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี พร้อมทั้งทุก 2 ปีจะมีการเลือกตั้ง 1 ใน 3 ของสภา

สำหรับสภาผู้แทนราษฎรฯ ที่มีวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี มีการเลือกตั้งใหม่ทั้ง 435 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรครีพับลิกันครองอยู่ 220 พร้อมทั้งพรรคเดโมแครตมี 212 ส่วนิอีก 3 ที่นั่งเป็นเก้าอี้ที่ว่างอยู่

จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าพรรคไหนจะได้ครองสภาล่าง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการนับคะแนนทุกเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐใหญ่ที่มักประกาศผลเป็นรัฐท้าย ๆ ยังไม่รวมกับนับคะแนนใหม่หรือการเลือกตั้งอีกครั้งในกรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนเสียงใกล้กันมาก ซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์

ทั้งนี้ การที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาอาจส่งผลกระทบต่อการส่งความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครนในอนาคต 

ที่มา: วีโอเอ

หิมะแรกโผล่ยอดภูเขาไฟฟูจิ หลังมาช้าสุดในรอบ 130 ปี

ยอดภูเขาไฟฟูจิของญี่ปุ่น สวมหมวกหิมะขาวโพลนอันเป็นสัญลักษณ์ประจำแลนด์มาร์คแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น หลังจากหิมะตกในพื้นที่ดังกล่าวล่าช้าทำสถิติใหม่ในรอบ 130 ปี

หิมะแรกบนยอดเขาฟูจิ มองเห็นได้จากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขา อ้างอิงจากสำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นในชิซูโอกะ ถ้าหากว่า สำนักอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นในโคฟู ซึ่งจับตาหิมะแรกในอีกฟากฝั่งของภูเขาไฟ พร้อมทั้งรับหน้าที่รายงานสถานการณ์หิมะตกบนยอดเขาแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1984 ยังคงไม่พบหิมะเนื่องจากสภาวะอากาศที่มีเมฆหนา นั่นเท่ากับว่ายังไม่สามารถประกาศว่าหิมะตกอย่างเป็นทางการได้

สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น รายงานว่า โดยปกติแล้วหิมะจะตกบริเวณยอดเขาตั้งแต่ 2 ตุลาคม ซึ่งเป็นเวลา 1 เดือนหลังฤดูร้อนสิ้นสุดลงไป พร้อมทั้งเมื่อปีที่แล้ว หิมะแรกตกบริเวณยอดเขาฟูจิเมื่อ 5 ตุลาคม แต่ในปีนี้กลับพบหิมะแรกบนยอดเขาเมื่อวันพุธ ซึ่งถือว่าล่าช้าไปมากกว่า 1 เดือนทีเดียว

ที่ผ่านมา ภูเขาไฟฟูจิ หรือที่เรียกกันว่า ฟูจิซัง ที่ไร้หมวกหิมะปกคลุม กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจบนสื่อสังคมออนไลน์ ชาวเน็ตโพสต์ภาพของภูเขาไฟลูกนี้แบบไร้หิมะอันเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น บ้างก็แสดงความประหลาดใจ บ้างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศผิดธรรมชาติ แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่อาจฟันธงได้ว่าหิมะที่มาช้ากว่าปกติเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนหรือไม่

ที่มา: เอพี

บรรยากาศ 24 ชั่วโมงแรก หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2

บรรยากาศในอเมริกาพร้อมทั้งทั่วโลก หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส พร้อมทั้งก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัย

ผู้นำโลกร่วมยินดี ‘ทรัมป์’ คว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐฯ

ผู้นำโลกแสดงความยินดีกับ โดนัลด์ ทรัมป์ หลังกุมชัยชนะสู่การเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านพ้นไปในวันอังคาร

ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต สร้างประวัติศาสตร์ให้กับเขาในการเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันสมัยใหม่ ที่หวนคืนสู่ทำเนียบขาวได้สำเร็จหลังว่างเว้นไปเป็นเวลา 4 ปีก่อนหน้านี้

ผู้นำโลกทยอยโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X แสดงความยินดีกับทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ที่กระทบต่อความสัมพันธ์กับพันธมิตรพร้อมทั้งคู่ขัดแย้งของอเมริกา ในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาวสมัยแรก

เริ่มที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ที่เป็นพันธมิตรอเมริกาประเทศแรก ๆ ที่ส่งข้อความสนับสนุน พร้อมทั้งยกย่อง “การกลับมาครั้งประวัติศาสตร์” ของทรัมป์ ซึ่งได้มอบ “ความมุ่งมั่นอันทรงพลังต่อความเป็นพันธมิตรอันยิ่งใหญ่ระหว่างอิสราเอลพร้อมทั้งอเมริกา”

ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ซึ่งออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ พร้อมทั้งชาติตะวันตกส่งความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นในการต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย ได้บอกว่า ความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการ ‘สร้างสันติภาพผ่านความเข้มแข็ง’ ในกิจการโลก พร้อมทั้งว่า “นี่คือหลักการที่สามารถนำสันติภาพมาสู่ยูเครนได้”

มาร์ค รุตเทอ เลขาธิการองค์การนาโต้ พันธมิตรการทหารชาติตะวันตกที่ทรัมป์เคยวิจารณ์มาตลอดว่าไม่เข้าจัดการด้านกลาโหมในยุโรปมากพอนั้น ได้แสดงความยินดีต่อทรัมป์ด้วยเช่นกัน โดยพบว่า “ความเป็นผู้นำของเขา(ทรัมป์)จะเป็นกุญแจในการทำให้พันธมิตรของเราเข้มแข็งอีกครั้ง ผมตั้งตารอคอยที่จะทำงานร่วมกับเขาอีกครั้งในการเดินหน้าสร้างสันติภาพด้วยความเข้มแข็งในองค์การนาโต้”

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาคร็อง แห่งฝรั่งเศส ได้แสดงความยินดีต่อทรัมป์เช่นกัน โดยบอกว่าตน “พร้อมทำงานร่วมกันเหมือนที่เคยเป็นมาถึง 4 ปี … ด้วยความเชื่อมั่นของคุณพร้อมทั้งผม”

นายกรัฐมนตรีอังกฤษเคียร์ สตาร์เมอร์ บอกว่ารัฐบาลของตนจะยืนหยัด “เคียงบ่าเคียงไหล่” ในการปกป้องคุณค่าของเสรีภาพ ประชาธิปไตย พร้อมทั้งความมุ่งมั่นที่มีร่วมกัน “ตั้งแต่การเติบโตพร้อมทั้งความมั่นคง ไปจนถึงด้านนวัตกรรมพร้อมทั้งเทคโนโลยี ผมรู้ว่าความสัมพันธ์อันพิเศษระหว่างอังกฤษพร้อมทั้งสหรัฐฯ จะยังคงเติบโตในทั้งสองฝั่งของแอตแลนติกในอีกหลายปีต่อจากนี้”

ด้านเออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แสดงความยินดีกับทรัมป์ พร้อมทั้งยกย่อง “ความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริง” ระหว่างสหภาพยุโรปพร้อมทั้งสหรัฐฯ แม้ว่าในยุคทรัมป์สมัยแรกนั้น จะมีความบาดหมางระหว่างอียูพร้อมทั้งสหรัฐเกิดขึ้น พร้อมทั้งส่วนหนึ่งมาจากการบังคับใช้มาตรการกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปก็ตาม

ฝั่งนายกรัฐมนตรีฮังการี วิกเตอร์ ออร์บาน พันธมิตรสายอนุรักษ์นิยมของทรัมป์ เรียกชัยชนะของอดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ว่าเป็น “การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน” พร้อมทั้งว่าเป็น “ชัยชนะที่ต้องการอย่างยิ่ง” บนโลกนี้

ถ้าหากว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยังไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ในสื่อสังคมออนไลน์ X อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ แสดงความพอใจกับความปราชัยของแฮร์ริส โดยโพสต์ว่า “คามาลาจบแล้ว … ปล่อยให้เธอหัวเราะเยาะต่อไป”

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโธนี อัลบาเนซี บอกว่า “ชาวออสเตรเลียพร้อมทั้งอเมริกันเป็นมิตรที่ดีพร้อมทั้งพันธมิตรที่แท้จริง”

ส่วนนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี แสดงความยินดีกับทรัมป์ ผู้ที่โมดีเรียกว่าเป็นเพื่อนของเขาว่า “ระหว่างที่คุณกำลังต่อยอดความสำเร็จจากวาระก่อนหน้า ผมรอคอยที่จะทบทวนความร่วมมือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดียที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

ประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ ได้ระบุในแถลงการณ์ แสดงความหวังว่า “ความเป็นพันธมิตรที่ไม่มีวันสั่นคลอน” ระหว่างรัฐบาลวอชิงตันพร้อมทั้งรัฐบาลมะนิลา “จะเป็นขุมพลังที่จะจุดประกายเส้นทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองพร้อมทั้งมิตรภาพในภูมิภาคพร้อมทั้งทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก”

ปิดท้ายที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X ว่า “ดิฉันขอแสดงความยินดีกับท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมทั้ง สว. เจดี แวนซ์ สำหรับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิฉันพร้อมทำงานร่วมกับท่าน ในการส่งเสริมความเป็นพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ที่มา: วีโอเอ

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะเลือกตั้งปธน.สมัย 2

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เอาชนะรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอเมริกาสมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ทรัมป์ ได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 277 เสียง จาก 538 เสียง เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้นำอเมริกันคนแรกนับตั้งแต่ช่องคริสต์ทศวรรษที่ 1890 ที่ดำรงตำแหน่งสมัย 2 แบบเว้นช่วงการบริหารประเทศ

ในวันพุธ ทรัมป์ ประกาศชัยชนะพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุนที่รัฐฟลอริดาว่า “นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน พร้อมทั้งจริง ๆ แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะ “แก้ปัญหาเรื่องชายแดน” พร้อมทั้ง “แก้ปัญหาทุกอย่างในประเทศ”

ทรัมป์ ยังกล่าวในช่วงนี้ด้วยว่าตนจะทำหน้าที่เพื่อมอบ “อเมริกาที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย พร้อมทั้งรุ่งเรือง”

อีกด้านหนึ่ง ทีมหาเสียงของแฮร์ริส ได้ได้บอกกล่าวกับผู้สนับสนุนที่ปักหลักที่กรุงวอชิงตันว่าเธอจะไม่ขึ้นกล่าวในงานลุ้นผลการเลือกตั้งตามกำหนดการในวันพุธ

ทั้งนี้ ในระบบการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นการขับเคี่ยวกันในระดับรัฐต่อรัฐ ทั้งแฮร์ริสพร้อมทั้งทรัมป์ต่างประเทศชัยชนะในแต่ละหมุดหมายที่ได้เสียงสนับสนุนของฝ่ายตน ขณะที่ทั่วประเทศต่างจับตา 7 รัฐสมรภูมิ ที่คาดหมายว่าจะเป็นตัวชี้ขาดผู้ชนะ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์ คว้าชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย จอร์เจีย นอร์ธแคโรไลนา พร้อมทั้งวิสคอนซิน พร้อมทั้งทำให้เขาชิงความได้เปรียบในศึกเลือกตั้งครั้งนี้

ชัยชนะของพรรครีพับลิกันยังยิงยาวไปต่อในสภาสหรัฐฯ ที่กุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาอย่างน้อย 51 จาก 100 ที่นั่ง ขณะที่จำนวนเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันพรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมากอยู่นั้น ยังไม่ได้ประกาศผลออกมา

โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในช่วงปี 2017-2021 ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ทรัมป์ยังยืนยันว่าตนเป็นฝ่ายชนะ การปฏิเสธผลการเลือกตั้งดังกล่าวได้จุดชนวนให้กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม 2021 เพื่อหวังขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้งในปีดังกล่าว อีกทั้งทรัมป์พร้อมทั้งพันธมิตรของเขายังเดินหน้าต่อสู้ทางกฎหมายมากมายหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน

หลังจากทรัมป์ก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในสมัยแรก เขาเผชิญกับคดีความมากมาย ตั้งแต่การถูกตัดสินว่ามีความผิด 34 กระทง จากการปลอมแปลงข้อมูลทางการเงินช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 เพื่อปกปิดค่าใช้จ่าย 130,000 ดอลลาร์ที่เขาใช้ในการปิดปาก สตอร์มีย์ แดเนียลส์ อดีตดาราหนังผู้ใหญ่ เรื่องความสัมพันธ์ลับของทั้งสองคนเมื่อปี 2006 พร้อมทั้งคดีความดังกล่าวมีกำหนดการตัดสินในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้

โดยคดีนี้เป็น 1 ใน 4 คดีอาญาที่ทรัมป์กำลังเผชิญอยู่ ส่วนอีก 3 คดี ประกอบด้วย 2 คดีที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าเขาพยายามพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ที่เขาพ่ายเเพ้ ส่วนคดีสุดท้ายเป็นเรื่องการจัดเก็บเอกสารความลับด้านความมั่นคงของประเทศ หลังหมดวาระผู้นำสหรัฐฯ

ทรัมป์ มีกำหนดการขึ้นปฏิญาณตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ในวันที่ 20 มกราคมนี้

ในแง่ของประเด็นการต่างประเทศ นโยบายสำคัญที่อยู่ในความสนใจของคณะทำงานทรัมป์ จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ พร้อมทั้งจีน ทั้งในด้านการค้า ไต้หวัน พร้อมทั้งท่าทีของจีนในทะเลจีนใต้ โดยที่ผ่านมาคณะทำงานทรัมป์ได้ออกมาตรการกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีน ท่ามกลางสงครามการค้ากับรัฐบาลปักกิ่งที่เกิดขึ้นในยุคที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสมัยแรก

วินเซนต์ หวัง คณบดีวิทยาลัยศิลปศาสตร์พร้อมทั้งวิทยาศาสตร์ จาก Adelphi University ให้ทัศนะกับวีโอเอภาคภาษาจีนกลางว่า จีนมีแนวโน้มที่จะแสดงท่าทีก้าวร้าวน้อยกว่า หากแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง “หากทรัมป์ได้รับเลือกตั้ง ผมคิดว่าจีนอาจไม่กล้า เพราะเขา(ทรัมป์)ไม่ทำตามร่างแถลง เขาได้ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงไปแล้ว หากเขาตื่นขึ้นมาในวันนี้ เขาอาจบอกว่าเขาจะขึ้นกำแพงภาษีไป 200% หากเขาตื่นขึ้นวันพรุ่งนี้ เขาอาจต้องการทิ้งระเบิดใส่กรุงปักกิ่ง ดังนั้น ในทางกลับกัน ผมคิดว่าสิ่งนี้เรียกว่าการป้องปรามแบบทรัมป์ จะทำให้พวกเขา(จีน)มีความยับยั้งชั่งใจมากกว่า”

ที่มา: วีโอเอ

กต. พร้อมต่อยอดความสัมพันธ์แนบแน่น หลังทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

“โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ “มาริษ” เผย ก.ต่างประเทศ พร้อมต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ว่าใครจะเข้ามา เดินหน้าผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ