ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
ศาลรัฐธรรมนูญ ตีตกคำร้อง “วัฒนา อัศวเหม” พิพากษาคดีคลองด่าน ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
เตือน 7 จังหวัดรวม กทม. เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง เสี่ยงน้ำท่วม ช่วง 2-12 พ.ย.
วงจรปิด “พระครู” ควบกระบะชนเก๋ง จนท.เรือนจำ สาหัส พบออกจากวัดแล้ว (คลิป)
รัสเซียซ้อมยิงนิวเคลียร์จำลอง โซลระบุเกาหลีเหนือร่วมรัสเซียคือภัยคุกคาม
อิสราเอลถล่มกาซ่า ยูเอ็นค้านแบน UNWRA เฮซบอลลาห์ หน.ใหม่
อียูประกาศเก็บภาษีรถไฟฟ้าจีน 45.3% คาดปักกิ่งใช้มาตรการตอบโต้
คณะกรรมาธิการยุโรปจะกำหนดภาษีนำเข้าตั้งแต่ 7.8% สำหรับรถไฟฟ้าเทสลา (Tesla) ไปจนถึง 35.3% สำหรับรถของเอสเอไอซี (SAIC) จากจีน ซึ่งเพิ่มจากภาษีมาตรฐาน 10% ที่เก็บกับรถยนต์ที่นำเข้าไปในยุโรป
โดยอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพุธนี้เป็นต้นไป
คณะกรรมาธิการดังกล่าวพบว่า อัตราภาษีใหม่นี้เป็นการตอบโต้การอุดหนุนอย่างไม่เป็นธรรมที่รัฐบาลจีนให้กับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ รวมถึงการให้เงินกู้พร้อมทั้งเงินช่วยเหลือ ที่ดิน แบตเตอรี พร้อมทั้งวัตถดิบต่าง ๆ ในราคาต่ำกว่าตลาด
รายงานของอียูชี้ว่า จีนมีศักยภาพผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3 ล้านคันต่อปีซึ่งมากกว่าขนาดตลาดรถยนต์ของยุโรปถึงสองเท่า ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดอเมริกาเหนือที่เก็บภาษีรถไฟฟ้าจากจีนในระดับ 100% จะเห็นได้ว่ารถไฟฟ้าจีนส่วนใหญ่จะถูกส่งมาขายในตลาดยุโรปมากกว่า
ด้านรับาลจีนเรียกอัตราภาษีใหม่ของยูโรปว่าเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมทั้งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยุโรป ตลอดจนสร้างปัญหาต่อห่วงโซ่อุปทานตลาดรถยนต์ ซึ่งจีนเองจะเริ่มการสืบสวนต่อสินค้าจากยุโรปเช่นกัน รวมทั้ง เหล้าบรั่นดี ผลิตภัณฑ์จากนม พร้อมทั้งเนื้อหมู เพื่อเป็นการตอบโต้
นอกจากนี้ จีนขู่ว่าจะยื่นเรื่องนี้ให้องค์การการค้าโลกพิจารณาตัดสินด้วย
ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนหลั่งไหลเข้าไปในตลาดยุโรปด้วยราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งในยุโรปราว 20% คาดว่าปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าจีนมีส่วนแบ่งในยุโรปราว 8% จากระดับไม่ถึง 1% เมื่อ 5 ปีก่อน พร้อมทั้งอาจเพิ่มเป็น 15% ภายในปีหน้า
ถ้าหากว่า ชาติสมาชิกอียูมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องการเพิ่มภาษีรถไฟฟ้านำเข้าจากจีน กล่าวคือ เยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของยุโรป ต่อต้านการเพิ่มอัตราภาษีโดยคาดหวังว่าจะสามารถใช้แนวทางการทูตในการแก้ปัญหานี้ ขณะที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ในเยอรมนีต่างกังวลว่า หากจีนใช้มาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจากยุโรปเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อพวกตนเช่นกัน
ด้านนายกรัฐมนตรีฮังการี เรียกนโยบายเก็บภาษีเพิ่มครั้งนี้ว่า “สงครามเย็นทางเศรษฐกิจ” ระหว่างยุโรปกับกับจีน
แต่ทางสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ฝรั่งเศสแสดงความยินดีต่อมาตรการใหม่นี้ พร้อมเสริมว่า พวกตนสนับสนุนการค้าเสรีหากเป็นไปอย่างยุติธรรม
ที่มา: รอยเตอร์
ปล่อยผีกร่อย! เซี่ยงไฮ้สั่งห้ามฉลองฮาโลวีน หวั่นวิจารณ์รัฐบาล
ทางการนครเซี่ยงไฮ้มีคำสั่งห้ามแต่งกายฉลองเทศกาลฮาโลวีนในปีนี้ โดยจะมี เจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรวจอย่างเข้มงวด สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของภาครัฐต่อประเด็นทางสังคมที่อาจตามมากับงานฉลองตามแบบอย่างตะวันตก
คำเตือนจากทางการเขตตำบลหวงปูในเซี่ยงไฮ้ห้ามการแต่งชุดแฟนซีพร้อมทั้งทาหน้าทาปากอย่างน่ากลัวตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ โดยหากตำรวจพบเจออาจถูกสั่งให้ถอดชุดนั้นทันที หรืออาจเผชิญมาตรการที่รุนแรงขึ้นหากไม่ปฏิบัติตาม
หม่า หนึ่งในชาวนครเซี่ยงไฮ้ที่ไม่เปิดเผยชื่อเต็ม ได้บอกกล่าวกับวีโอเอว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกังวลว่าการเฉลิงฉลองแบบนี้อาจลุกลามไปเป็นการประท้วงได้เนื่องจากปัจจุบันมีหนุ่มสาวจำนวนมากตกงาน พร้อมทั้งอาจใช้จังหวะนี้ในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในคืนฮาโลวีน
ถ้าหากว่า ดูเหมือนมีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่สนคำเตือนนี้พร้อมทั้งรวมตัวกันที่สวนสาธารณะบางแห่งเพื่อฉลองเทศกาลนี้ วิดีโอหลายชิ้นในสื่อออนไลน์แสดงให้เห็นประชาชนในชุดแฟนซีถูกตำรวจจับกุมออกไปจากพื้นที่ หรือถูกสั่งให้ถอดชุดพร้อมทั้งลบเมคอัพออก
ทั้งนี้ เทศกาลฮาโลวีนเริ่มได้รับความนิยมในจีนในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะในเซี่ยงไฮ้ที่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ พร้อมทั้งประชาชนต่างมีความคิดที่เปิดกว้างเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่น ๆ ของจีน
เมื่อปี 2023 นครเซี่ยงไฮ้เริ่มอนุญาตให้มีการฉลองฮาโลวีนอีกครั้งหลังหยุดไปเพราะการระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 ซึ่งมีประชาชนจำนวนไม่น้อยใช้โอกาสนี้ในการแสดงความคิดเห็นต่อต้านรัฐบาลผ่านชุดแฟนซีที่ออกแบบมา ตัวอย่างเช่น บางคนสวมชุดหมีพูห์ ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ถูกเซนเซอร์ในสื่อออนไลน์ของจีนเนื่องจากมักถูกนำไปเปรียบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นต้น
เฉิน ต้าวหลิน นักวิเคราะห์การเมืองอิสระ ได้บอกกล่าวกับวีโอเอว่า งานฮาโลวีนคือโอกาสที่ชาวจีนจะได้ออกมาแสดงออกอย่างเสรีตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่สวมชุดเป็นตัวละครต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พวกเขาคิด หรือความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาล ภายใต้สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่ไม่สามารถทำได้
ขณะที่ หลี่ หรงเหว่ย แห่งสมาคม Taiwan Inspirational Association ชี้ว่า สำหรับจีน เทศกาลฮาโลวีนคือผลผลิตจากชาติตะวันตกพร้อมทั้งทุนนิยม ซึ่งไม่ใช่วัฒนธรรมที่จีนยึดถือ ดังนั้นบรรดาผู้นำจีนจึงเห็นว่าไม่ควรมีอยู่ต่อไป
ที่มา: วีโอเอ
ฟังเสียงผู้สนับสนุนทรัมป์พร้อมทั้งแฮร์ริสจากชุมชน LGBTQ+ ในสหรัฐฯ
ชุมชน LGBTQ+ ในสหรัฐฯ มีความตื่นตัวทางการเมืองมากเช่นกัน โดยมีทั้งคนที่สนับสนุนแฮร์ริสพร้อมทั้งทรัมป์
เเคนดิส เคน ได้เคยทำงานในวงการโทรทัศน์เพื่อส่งเสริมการรับรู้ของสังคมต่อตัวตนของคนข้ามเพศ ผ่านผลงานดรามา Dirty Sexy Money เมื่อ 15 ปีก่อน
เธอคิดว่าการต่อสู้อันยากลำบากพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ของชาว LGBTQ+ จะเจอกับความเสี่ยงหากว่าทรัมป์ชนะเป็นประธานาธิบดี
“เราเดินถอยหลังไปไม่ได้อีก พรรครีพับลิกันกำลังพยายามนำเรากลับไปสู่ช่วงเวลาที่คนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีสิทธิ์ พร้อมทั้งมันสำคัญมากพร้อมทั้งน่ากลัวมาก หวังว่าเราในฐานะประเทศจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เคนกล่าว
อีกด้านหนึ่งอาร์เธอร์ ลิวสนับสนุนทรัมป์ โดยอ้างอิงถึงประวัติการทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา พร้อมทั้งบอกว่าเดโมเเครตทำให้สิ่งต่าง ๆ ย่ำเเย่ลง
“สุดท้ายเเล้วผมชอบผลงานของทรัมป์ เพราะเศรษฐกิจดีมาก พร้อมทั้งเรื่องชายเเดนก็ไม่ได้แย่แบบนี้ เเม้จะมีปัญหาอยู่ตามปกติ” ลิวกล่าว
รายงานของ Pew Research ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนมิถุนายน ชี้ให้เห็นว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สนับสนุนทรัมป์เห็นว่าการทำให้การเเต่งงานของคนเพศเดียวกันถูกกฎหมายไม่ดีต่อสังคม
ส่วนเดวิด คีน ชาวรีพับลิกันจากรัฐเเคลิฟอร์เนียบอกว่าทรัมป์ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อการเเต่งงานของคนเพศเดียวกัน
“เขาค่อนข้างมีความเสรีนิยม เขาน่าจะเป็นรีพับลิกันที่เสรีนิยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา” คีนกล่าว โดยให้เหตุผลว่าทรัมป์เข้าใจพื้นฐานที่ว่าการยอมรับทางกฎหมายช่วยป้องกันเรื่องสิทธิ์ต่างๆ ของคนรักเพศเดียวกัน
ถ้าหากว่า แอเรียล จอห์นสัน ที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ บอกว่าทรัมป์อาจจะเป็นปัจจัยท้าทายการสมรสของคนรักเพศเดียวกันพร้อมทั้งอาจสร้างอันตรายต่อสถานะคนเข้าเมืองของคู่สมรสของเธอ
สิ่งที่จอห์นสันกังวลเกี่ยวกับรีพับลิกันที่สุดคือกฎเกณฑ์เรื่องสิทธิ์ในการเจริญพันธุ์ ซึ่งรวมถึงการมีลูกผ่านวิธี vitro fertilization ที่เรียกสั้น ๆ ว่า IVF โดยจอห์นสันเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกเเลตซีสต์
กลุ่ม LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดภายในหมู่ชาวรีพับลิกันช่วยทรัมป์ในเดือนนี้หาเสียงในรัฐสมรภูมิที่มีการเเข่งขันดุเดือดกับแฮร์ริส คือรัฐมิชิแกน วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย นอร์ธแคโรไลนา จอร์เจีย เนวาดา พร้อมทั้งแอริโซนา
สำหรับแฮร์ริส คณะกรรมการระดับชาติของพรรคเดโมเเครต ให้เงินสนับสนุนการรณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิ์ ภายใต้เเคมเปญ ‘I Will Vote’ ซึ่งลงโฆษณาในสื่อของชาว LGBTQ+ 16 แห่ง ในเดือนตุลาคมเช่นกัน
ที่มา: วีโอเอ
เบโซสป้อง ‘วอชิงตันโพสต์’ ปมยกเลิกประกาศสนับสนุนผู้สมัครชิงปธน.
สื่อเอ็นพีอาร์ (National Public Radio) รายงานว่า การตัดสินใจดังกล่าวของวอชิงตันโพสต์ เป็นการสกัดการสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต คือ รองปธน.คามาลา แฮร์ริส ดังเช่นที่เคยทำมาในอดีต
หลังคำประกาศ ประชาชนจำนวนมากได้ส่งข้อความไปยังเว็บไซต์ของวอชิงตันโพสต์เพื่อวิจารณ์เบโซส พร้อมทั้งมีรายงานว่ายอดผู้สมัครสมาชิกดิจิทัลของสื่อใหญ่แห่งนี้ลดลงไปแล้วกว่า 200,000 ราย
เบโซสตีพิมพ์บทความแสดงความคิดเห็นของเขาเมื่อวันจันทร์ พบว่า “ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ (ทางการเมือง)” ซึ่งวอชิงตันโพสต์พร้อมทั้งหนังสือพิมพ์อื่น ๆ จำเป็นต้องยกระดับความน่าเชื่อถือของตัวเอง
เบโซสยืนยันด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการประชุมร่วมกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน พร้อมทั้งซีอีโอของบริษัทบลูออริจิน ซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกัน แต่อย่างใด
มหาเศรษฐีผู้นี้ยังบอกด้วยว่า “การประกาศสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดีมิได้มีผลมากมายต่อการเลือกตั้ง” แต่ “สิ่งที่มาพร้อมกับการประกาศจุดยืนทางการเมืองคือการสร้างภาพพจน์แห่งความลำเอียง ภาพแห่งความไม่เป็นกลาง การยุติเรื่องนี้จึงเป็นการตัดสินใจตามหลักการ พร้อมทั้งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วิลเลียม ลิวอิส ซีอีโอของวอชิงตันโพสต์ บอกว่าจะไม่มีการประกาศจุดยืนสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดคนหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ รวมทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อ ๆ ไปด้วย
แต่หลังจากนั้น จำนวนผู้ยกเลิกการเป็นสมาชิกของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ลดลงราว 8% จากยอดรวม 2.5 ล้านคน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พร้อมทั้งมีคอลัมนิสต์หลายคนตัดสินใจลาออกเป็นการประท้วง จากการเปิดเผยของสื่อเอ็นพีอาร์
บทความแสดงความเห็นของคอลัมนิสต์ 20 คนในเว็บไซต์ของวอชิงตันโพสต์ พบว่า “การตัดสินใจของวอชิงตันโพสต์ที่ไม่แสดงจุดยืนสนับสนุนผู้สมัครคนใดนั้นถือเป้นความผิดพลาดอันเลวร้าย” พร้อมทั้งถือเป็น “การละทิ้งความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในหลักการด้านบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ที่เรารัก”
สำนักข่าวนานาชาติรอยเตอร์พยายามติดต่อขอความเห็นจากวอชิงตันโพสต์ในประเด็นนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
ที่มา: รอยเตอร์