อิหร่านประกาศ ‘ใช้ทุกแนวทางที่มี’ ตอบโต้การจู่โจมของอิสราเอล

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน เอสมาอิล บากาเออี กล่าวในวันจันทร์ว่า อิหร่านจะ “ใช้ทุกแนวทางที่มี” เพื่อตอบโต้การจู่โจมของอิสราเอลใส่เป้าหมายในอิหร่านเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ 

ก่อนหน้านี้ อิหร่านบอกว่าการจู่โจมทางอากาศของอิสราเอลเมื่อวันเสาร์มิได้สร้างความเสียหายมากนัก ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน เรียกร้องให้ระงับการยกระดับความรุนแรงที่อาจทำให้สงครามลุกลามไปทั่วตะวันออกกลาง

โฆษกบากาเออี บอกว่า อิหร่านจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดพร้อมทั้งมีประสิทธิภาพต่ออิสราเอล โดยลักษณะการตอบโต้นั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบการจู่โจมของอิสราเอล

ผู้นำสูงสุดอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า เจ้าหน้าที่อิหร่านจะตัดสินใจเองว่าจะแสดงแสนยานุภาพของอิหร่านให้อิสราเอลเห็นได้อย่างไร พร้อมทั้งว่า “ไม่ควรมีการพูดเกินจริงหรือกลบเกลื่อน” ในประเด็นการจู่โจมโดยอิสราเอล

ทั้งนี้ เว็บไซต์ IRNA ซึ่งเป็นสื่อรัฐบาลอิหร่าน อ้างข้อมูลจากองค์การด้านการป้องกันการจู่โจมทางอากาศของประเทศในรายงานว่า อิสราเอลได้จู่โจมศูนย์กลางทหารหลายแห่งในกรุงเตหะรานพร้อมทั้งในจังหวัดคูเซสถานพร้อมทั้งอิลามทางตะวันตกของประเทศ พร้อมทั้งยังระบุด้วยว่า กองกำลังอิหร่าน “ประสบความสำเร็จ” ในการสกัดการจู่โจมหลายครั้งซึ่งทำให้เกิด “ความเสียหายแบบจำกัด” เท่านั้น

รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมในวันอาทิตย์ของเอพีแสดงให้เห็นว่า อิสราเอลได้จู่โจมโรงงานพร้อมทั้งคลังหลายแห่งของอิหร่านที่ฐานทัพลับทางทหารที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันออกเฉียงเหนือจริง

คณะมนตรีความมั่นคงประชุมฉุกเฉิน

คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ จัดการประชุมฉุกเฉินในวันจันทร์เพื่อหารือสถานการณ์ในตะวันออกกลางหลังการจู่โจมของอิสราเอลใส่อิหร่าน

ประธานคณะมนตรีความมั่นคงบอกว่า อิหร่านเป็นผู้ขอให้มีการประชุมครั้งนี้ด้วยการสนับสนุนจากแอลจีเรีย จีนพร้อมทั้งรัสเซีย 

เมื่อวันอาทิตย์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู บอกว่า การจู่โจมของอิสราเอลประสบความสำเร็จจามเป้าหมาย รวมทั้งการสร้างอันตรายต่อระบบการป้องกันตนเองพร้อมทั้งความสามารถในการผลิตขีปนาวุธของอิหร่าน

ก่อนการประชุมในวันจันทร์ อิรักส่งคำร้องเรียนไปยังสหประชาชาติเรื่องที่อิสราเอลใช้น่านฟ้าของอิรักในการจู่โจมอิหร่าน โดยจดหมายของโฆษกรัฐบาลอิรักประณามอิสราเอลว่าละเมิดน่านฟ้าพร้อมทั้งอธิปไตยของอิรัก 

ในเวลาเดียวกันในวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีอียิปต์ อับเดล-ฟัตตาห์ เอล-ซิสซี เสนอแผนหยุดยิงสองวันในกาซ่าเพื่อให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกัน 4 คน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปในกาซ่าได้ แต่ท้ังอิสราเอลพร้อมทั้งฮามาสยังมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอนี้ 

สงครามในตะวันออกกลางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มฮามาสจู่โจมเข้าใส่อิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคมของปีที่แล้ว พร้อมทั้งทำให้มีผู้จบชีวิตราว 1,200 คน ทั้งยังมีการจับตัวประกันไปกว่า 250 คน ก่อนอิสราเอลจะจู่โจมโต้กลับเข้าไปในฉนวนกาซ่าที่ทำให้มีชาวปาเลสไตน์กว่า 43,000 คนจบชีวิต อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซ่าที่ไม่แยกตัวเลขนักรบฮามาสออกจากกลุ่มพลเรือน

ข้อมูลบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี พร้อมทั้งรอยเตอร์

ครบ 1 ปี ‘ปฏิบัติการ 1027’ เมื่อ 3 พันธมิตรผสานกำลังขับไล่รัฐบาลทหารเมียนมา

เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว กองกำลังชาติพันธุ์ขนาดใหญ่สามกลุ่มในเมียนมา ได้ร่วมมือกันสู้รบกับกองทัพเมียนมาในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ พร้อมทั้งสามารถยึดพื้นที่ได้อย่างกว้างขวาง สร้างแรงกระเพื่อมให้กับกลุ่มอื่น ๆ ลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลทหารที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากจีนพร้อมทั้งรัสเซีย 

ปฏิบัติการที่ใช้ชื่อว่า Operation 1027 เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ปีที่แล้ว นำโดยกองกำลังชาติพันธุ์ 3 กลุ่มภายใต้ชื่อ พันธมิตรสามภราดร (Three Brotherhood Alliance) ประกอบด้วย กองกำลังพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (Myanmar National Democratic Alliance Army – MNDAA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์โกก้าง กองทัพอาระกัน (Arakan Army – AA) พร้อมทั้งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (Ta’ang National Liberation Army – TNLA)

กองกำลังพันธมิตรดังกล่าวสามารถยึดหมู่บ้านพร้อมทั้งค่ายทหารจำนวนหลายสิบแห่งทางภาคตะวันตกพร้อมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมา ซึ่งแม้แต่บรรดาผู้นำกองทัพก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะนำกลับคืนมา 

คอนนอร์ แมคโดนัลด์ แห่งองค์กร Special Advisory Council for Myanmar บอกว่า “กองทัพตกเป็นฝ่ายตั้งรับทั่วประเทศ พร้อมทั้งทุกครั้งที่ทุ่มสรรพกำลังไปที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง พื้นที่อื่นที่เหลือก็จะอ่อนแอลง” พร้อมทั้งดูเหมือนว่ากองทัพเมียนมาจะยังไม่สามารถหาหนทางยึดพื้นที่ที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้

หนึ่งปีผ่านมา กองกำลังพันธมิตรสามารถครอบครองพื้นที่ตั้งแต่ภาคเหนือลงมาตามแนวชายแดนทางภาคตะวันตกพร้อมทั้งตะวันออกทั้งสองด้าน ขณะที่กองทัพเมียนมาถอยร่นลงไปปักหลักในแถบภาคกลาง โดยเฉพาะนครย่างกุ้งพร้อมทั้งรอบกรุงเนปิดอว์ 

 

ลเวย์ เย อู โฆษกกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง ได้บอกกล่าวกับเอพีว่า “ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเป้าหมายของเราจะสำเร็จรวดเร็วขนาดนี้… พร้อมทั้งเราสามารถครอบครองพื้นที่ได้อย่างง่ายดายกว่าที่คาดไว้” 

ความสูญเสียหนักที่สุดของกองทัพเมียนมาเกิดขึ้นที่เมืองเล้าก์ก่าย ที่ซึ่งกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์โกก้างสามารถจับกุมทหารได้กว่า 2,000 คน รวมถึงนายพล 6 คน พร้อมทั้งที่เมืองล่าเสี้ยว ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกองทัพเมียนมา

มอร์แกน ไมเคิลส์ นักวิเคราะห์แห่ง International Institute of Strategic Studies ในสิงคโปร์ บอกว่า ปฏิบัติการ 1027 ได้รับความสำเร็จอย่างสูง การนำโดรนมาใช้จู่โจมเครือข่ายทหารทั่วรัฐฉาน มีบทบาทสำคัญต่อความคืบหน้าที่เกิดขึ้น ทำให้กองทัพเมียนมา “อ่อนแอลงอย่างมาก” ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา

แผนการจู่โจมโต้กลับ

ถ้าหากว่า นักวิเคราะห์เชื่อว่ายังคงเร็วเกินไปที่จะบอกว่าฝ่ายแข็งข้อต่อต้านได้รับชัยชนะแล้ว เมื่อกองทัพเมียนมาสามารถยึดเมืองเกาลิน พร้อมทั้งภูมิภาคสะเกียง กลับคืนไปได้ไม่นานนี้ รวมทั้งยังต้านทานการรุกคืบของกองกำลังกะเหรี่ยงที่รัฐคะยาห์ พร้อมทั้งรักษาการควบคุมเมืองเมียวดีบริเวณพรมแดนไทย-เมียนมา ไว้ได้ 

หลายคนเชื่อว่ากองทัพเมียนมาจะเริ่มการจู่โจมโต้กลับเมื่อฤดูฝนสิ้นสุดลงเร็ว ๆ นี้ โดยมีกำลังเสริมจากทหารเกณฑ์ใหม่ราว 30,000 คนจากการใช้กฎหมายบังคับการเกณฑ์ทหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 

ในเวลาเดียวกัน กลุ่มแข็งข้อต่อต้านก็กำลังรุกคืบเข้าใกล้เมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับสองของเมียนมาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศแล้ว

รายงานของสำนักข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ พบว่า ในขณะที่กองทัพเมียนมากำลังสูญเสียพื้นที่ในสมรภูมิ จำนวนประชาชนผู้เจบชีวิตจากการจู่โจมทางอากาศเพิ่มขึ้น 95% พร้อมทั้งจบชีวิตจากการจู่โจมด้วยปืนใหญ่เพิ่มขึ้น 170% นับตั้งแต่ปฏิบัติการ 1027 เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีที่แล้ว 

อิซาเบล ทอดด์ แห่งกลุ่ม SAC-M บอกว่า กองทัพเมียนมาถูกกล่าวหาว่าจู่โจมมุ่งเป้าไปที่ประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้สนับสนนุนกองกำลังแข็งข้อต่อต้าน ซึ่งยิ่งทำให้เปิดความเกลียดชังรัฐบาลทหารในหมู่ประชาชนเมียนมามากขึ้น 

แต่ทาง เต็ด สเว โฆษกกองทัพเมียนมา ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้พร้อมกล่าวหากลับว่ากองกำลังต่อต้านเองที่เป็นฝ่ายสังหารประชาชนพร้อมทั้งเผาหมู่บ้านหลายแห่ง

สหประชาชาติประเมินว่า จนถึงขณะนี้มีชาวเมียนมาที่กลายเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐานมากกว่า 3 ล้านคน พร้อมทั้งต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมราว 18.6 ล้านคน 

ที่มา: เอพี

โค้งสุดท้าย! ทรัมป์ปราศรัยใหญ่เมดิสันสแควร์การ์เดน – แฮร์ริสลุยฟิลาเดลเฟีย

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จัดงานปราศรัยหาเสียงครั้งใหญ่ที่อาคารเมดิสันสแควร์การ์เดน ในนครนิวยอร์ก เมื่อคืนวันอาทิตย์ ซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำรุนแรงพร้อมทั้งการเหยียดผิวโดยผู้ที่ขึ้นกล่าวบนเวที

คณะหาเสียงของทรัมป์หวังว่าการจัดปราศรัยที่อาคารเก่าแก่ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีมบาสเก็ตบอล นิวยอร์ก นิกส์ พร้อมทั้งสถานที่จัดคอนเสิร์ตสำคัญของนักร้องดังแห่งนี้ จะช่วยกระตุ้นความนิยมของทรัมป์ให้เหนือคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต รองปธน.คามาลา แฮร์ริส ได้ แม้ว่า 40 ปีที่ผ่านมา ไม่มีตัวแทนพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะที่รัฐนิวยอร์กในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเลยก็ตาม

ทรัมป์เริ่มการปราศรัยโดยตั้งคำถามว่า “เวลานี้พวกคุณอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเมื่อสี่ปีก่อนหรือไม่?” ซึ่งผู้ร่วมงานต่างตะโกนกลับมาว่า “ไม่” 

จากนั้นทรัมป์ให้สัญญาว่าเขาจะหยุด “กลุ่มอาชญากร” ไม่ให้บุกรุกเข้ามาในประเทศนี้หากเขาชนะการเลือกตั้ง พร้อมทั้งยังเรียกแฮร์ริสว่า “คนที่ไอคิวต่ำอย่างยิ่ง” 

รายชื่อผู้ที่ขึ้นกล่าวบนเวทีเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้นมีตั้งแต่อดีตนักมวยปล้ำชื่อดัง ฮัลก์ โฮแกน, มหาเศรษฐี อิลอน มัสก์, อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก รูดี้ จูลิอานี ไปจนถึงบุตรชายทั้งสองคนของทรัมป์ คือ เอริก พร้อมทั้งดอน จูเนียร์ โดยหลายคนใช้ถ้อยคำที่รุนแรงพร้อมทั้งเหยียดผิวเพื่อกระตุ้นเสียงเชียร์ของผู้ชม

ในช่วงหนึ่ง จูลิอานี ซึ่งเคยเป็นทนายความส่วนตัวของทรัมป์ บอกว่า แฮร์ริส “อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ก่อการร้าย” ในสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ พร้อมทั้งเธอต้องการนำชาวปาเลสไตน์มาที่นี่

ส่วนดาราตลก โทนี ฮินช์คลิฟฟ์ กล่าวถึงประชาชนเชื้อสายลาตินอเมริกาว่า “ชอบทำลูก” พร้อมทั้งเรียกรัฐเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนในการปกครองของสหรัฐฯ ว่าเป็น “เกาะขยะลอยน้ำ” 

คณะหาเสียงของทรัมป์พบว่า มีผู้ร่วมงานเต็มความจุที่นั่งทั้งหมด 19,500 คน โดยทรัมป์หวังว่าการหาเสียงที่นี่ในช่วง 9 วันก่อนการเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นคะแนนเสียงของผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน 7 คนที่ชิงเก้าอี้สภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย

พร้อมทั้งในวันเดียววัน รองปธน.แฮร์ริส เดินทางไปหาเสียงที่นครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย หนึ่งในรัฐสมรภูมิในการเลือกตั้งครั้งนี้

คณะหาเสียงของแฮร์ริส ระบุในอีเมลว่า การปราศรัยของทรัมป์ที่เมดิสันสแควร์การ์เดน “สะท้อนถึงข้อความที่ด้อยค่าพร้อมทั้งสร้างความแตกแยกที่อันตราย” เช่นเดียวกับตัวทรัมป์เอง 

ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน อดีตคู่แข่งของทรัมป์เมื่อปี 2016 กล่าวหาการชุมนุมหาเสียงที่เมดิสันสแควร์การ์เดนว่า เป็นการจำลองการชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคนาซีที่จัดขึ้นที่เดียวกันนี้เมื่อปี 1939 ในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง

แต่ทรัมป์ปฏิเสธคำกล่าวนี้ โดยยืนยันว่านี่เป็นการชุมนุมเพื่อทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)

ผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดชี้ว่า ผู้สมัครทั้งสองคนมีคะแนนสูสีกันในรัฐสมรภูมิที่จะชี้ขาดว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป 

ในวันอังคาร แฮร์ริสจะปราศรัยหาเสียงที่เนชันแนลมอลล์ ใจกลางกรุงวอชิงตัน จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังรัฐสมรภูมิทั้ง 7 รัฐในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย.นี้

ที่มา: รอยเตอร์

“วิลาศ” บุกสภานำตรวจรอบศาลาแก้ว ชี้จุดไม่ตรงสัญญา จองกฐินร้อง ป.ป.ช.

“วิลาศ” บุกรัฐสภา นำสื่อตรวจงานแผ่นหินรอบศาลาแก้ว บันไดไม้ ไม่ตรงสัญญา จองกฐินร้อง ป.ป.ช. หลังรับมอบงาน 100% แล้ว 20 เรื่อง

โหรดังเตือน ดาวอังคารวิปริต 99 วัน 4 ลัคนาราศี ระวังอุบัติเหตุพร้อมทั้งสุขภาพ

โหรรัตนโกสินทร์เผยดวงลัคนาราศีต่อไปนี้หลังจากที่ดาวอังคารวิปริต 99 วัน ได้ตำแหน่งนิจ เรือนน้ำ ภพพันธุ ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 67 ถึง 25 มกราคม 68 4 ลัคนาราศีต้องระวัง สุขภาพ พร้อมทั้งอุบัติเหตุจากการเดินทาง

“ทนายปราบโกง” จ่อนำรถหรูส่ง บช.ก. หลังพบชื่อผู้เช่าซื้อ เป็น 1 ในบอสดิไอคอน

ทนายปราบโกง “กฤษฎา อินทามระ” เตรียมนำรถหรู ราคา 15 ล้าน ส่ง บช.ก. หลังมีการนำมาส่งซ่อมที่ศูนย์ พบชื่อ “บอสปีเตอร์” หนึ่งในผู้ต้องหาคดีดิไอคอน เป็นผู้เช่าซื้อ

“ทันกวินท์” เผย ศาลรับคำร้องปมถอนประกัน “ไอซ์ รักชนก” นัดไต่สวน 26 พ.ย.นี้

“ทันกวินท์” บอก เป็นข่าวดี ศาลอาญารับคำร้องปมเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว “ไอซ์ รักชนก” สส.พรรคประชาชน นัดไต่สวน 26 พ.ย.นี้

ผู้อพยพในสหรัฐฯ กังวลเรื่องสถานภาพ หากทรัมป์กลับคืนสู่ทำเนียบขาว

ผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง หากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายมีชัยในการเลือกตั้งเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวในปีนี้ เนื่องจากจุดยืนแข็งกร้าวที่คัดค้านกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเปิดทางให้มีผู้อพยพเข้าประเทศ สำนักข่าวนานาชาติเอพีที่พูดคุยกับผู้อพยพจำนวนหนึ่งพบว่า เมื่อครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีพร้อมทั้งดำเนินนโยบายต้านการอพยพเข้าเมืองอย่างเต็มที่ มีเด็กที่ถูกแยกออกมาจากพ่อแม่ที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกนับพันนับหมื่นคน พร้อมทั้งเด็กเหล่านี้ก็ยังอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ จนถึงบัดนี้

‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ เร่งดึงคะแนนผู้มีสิทธิ์ที่ยังไม่ตัดสินใจ

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส พร้อมทั้งอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนการเปิดคูหาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ด้วยการพยายามเข้าหาพร้อมทั้งดึงคะแนนเสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิ์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร เพื่อช่วยรับประกันว่า ตนจะเป็นฝ่ายมีชัยในครั้งนี้

ในวันอาทิตย์ แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต เดินทางไปยังเมืองฟิลาเดลเฟียง รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของประเทศพร้อมทั้งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค เพื่อกระตุ้นแรงสนับสนุนในพื้นที่รัฐสมรภูมิสำคัญแห่งนี้

รัฐนี้เป็น 1 ใน 7 รัฐที่เป็นจุดที่มีการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดระหว่างสองผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยทั้งแฮร์ริส พร้อมทั้งทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน เดินทางไปยังเพนซิลเวเนียกันบ่อยครั้ง พร้อมทั้งมีแผนที่จะไปหาเสียงเพิ่มขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ด้วย

ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ รองประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐฯ เดินทางไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ก่อนจะตระเวณแวะตามจุดต่าง ๆ ตั้งแต่ร้านตัดผม ไปจนถึงร้านอาหารแบบเปอร์โตริโกพร้อมทั้งสนามกีฬาบาสเกตบอลสำหรับเยาวชน

ส่วนทรัมป์เลือกจัดการหาเสียงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ซึ่งเป็นสนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ของนครนิวยอร์ก

ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์แทบไม่มีโอกาสชนะในรัฐนิวยอร์กที่เป็นรัฐบ้านเกิดนี้เลย โดยในการเลือกตั้งปี 2020 นั้น ทรัมป์ได้คะแนนเสียงไป 40%

ถึงกระนั้น อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ก็ยังตัดสินใจจัดกิจกรรมที่สนามกีฬาในร่มความจุ 19,000 ที่นั่งนี้ พร้อมทั้งผู้สนับสนุนบางส่วนก็มาเข้าแถวรอเข้าตั้งแต่เช้าวันเสาร์ หรือก่อนงานเริ่มถึงกว่า 24 ชั่วโมง

ในสัปดาห์หน้า แฮร์ริสมีแผนจะจัดการหาเสียงที่สวน Ellipse นอกทำเนียบขาว ที่กรุงวอชิงตัน ในวันอังคาร โดยหวังที่จะแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ตรงกันข้ามกับทรัมป์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดนี้ทรัมป์ขึ้นเวทีเมื่อวันที่ 6 มกราคม ปี 2021 พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตนเดินทางไปยังอาคารัฐสภา เพื่อ “สู้ให้ตายไปข้างหนึ่ง” (fight like hell) พร้อมทั้งหยุดกระบวนการของสภาคองเกรสเพื่อลงมติรับรอง โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครตในฐานะผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์จลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน

ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้ชุมนุมประท้วงกว่า 1,500 คนถูกจับกุมจากการร่วมก่อเหตุจลาจล พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย 140 คนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ ผู้ชุมนุมยังได้ก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของอาคารรัฐสภาเป็นมูลค่าถึง 2.9 ล้านดอลลาร์ด้วย

หลังการดำเนินคดีผู้ก่อเหตุในครั้งนี้จบลง มีผู้ร่วมเหตุการณ์จลาจลกว่า 1,000 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาต่าง ๆ โดยมีผู้ถูกลงโทษสูงสุดด้วยการจำคุกหลายปี

ทั้งนี้ ทรัม์ประกาศไว้ว่า หากตนเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้ง ก็จะประกาศอภัยโทษบุคคลเหล่านี้

ข้อมูลจาก Election Lab ของมหาวิทยาลัยฟลอริดาพบว่า มีชาวอเมริกันกว่า 41 ล้านคนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ทั้งโดยตัวเองพร้อมทั้งทางไปรษณีย์ โดยตัวเลขนี้อาจคิดเป็น 1 ใน 4 ของคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นในปีนี้

การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อไปในหลายรัฐในสัปดาห์หน้า

สถิติในปี 2020 ชี้ว่า มีชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์กว่า 155 ล้านคน โดย 1 ใน 3 นั้นเป็นการลงคะแนนด้วยตนเองในวันเลือกตั้ง

ผลสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองหลายชิ้นชี้ว่า การเลือกตั้งปี 2024 นี้เป็นการชิงชัยที่มีความสูสีคู่คี่อย่างมาก พร้อมทั้งผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายต่างก็เลือกจะฟังพร้อมทั้งอ้างผลสำรวจที่นำเสนอผู้แทนของตนว่าเป็นผู้มีคะแนนนิยมนำอยู่

การสำรวจของหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ พร้อมทั้ง เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งเป็นรายงานที่มีชื่อเสียงที่สุด พบว่า แฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์เพียงเล็กน้อยใน 4 รัฐสมรภูมิ จากทั้งหมด 7 รัฐ ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปสู่ชัยชนะของเธอหากผลการนับคะแนนเสียงออกมาตรงตามการสำรวจนี้จริง

แต่การสำรวจโดยสถานีโทรทัศน์ เอบีซี นิวส์ ชี้ว่า ทรัมป์คือ ผู้ที่กำลังได้เปรียบอยู่ เช่นเดียวกับในรายงานของ Realclearpolitics.com

ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นไม่ได้ตัดสินกันที่คะแนนความนิยมของผู้มีสิทธิ์ แต่ด้วยคะแนนของคณะผู้แทนเลือกตั้งประธานาธิบดี (electoral vote) จาก 50 รัฐ โดย 48 รัฐจะประกาศว่า ผู้ที่ได้คะแนนเสียงดังกล่าวของรัฐไปคือผู้ชนะการเลือกตั้ง แต่รัฐเนบราสกาพร้อมทั้งรัฐเมนมีระบบที่ต่างออกไปโดยจะแยกคะแนนของแต่ละคนออกทั้งในการนับคะแนนเลือกตั้งระดับรัฐพร้อมทั้งการเลือกตั้งผู้แทนรัฐในสภาคองเกรส

คะแนนของคณะผู้แทนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นคิดคำนวณจากจำนวนประชากรของแต่ละรัฐ ดังนั้น รัฐที่มีประชากรมากที่สุดจึงมีคะแนนที่ว่ามากพอที่จะกำหนดว่า ใครคือผู้ชนะได้ โดยผู้มีชัยจะต้องได้คะแนนอย่างน้อย 270 เสียงจากทั้งหมด 538 เสียง

 

 

 

ที่มา: เอพี