ส่องสเปก 5 มือถือราคาไม่เกิน 4,000 บาท ปี 2022-2023 รุ่นไหนน่าใช้

รวม 5 มือถือราคาไม่เกิน 4,000 บาท ยี่ห้อไหนดี ส่องสเปกเครื่องที่มีฟังก์ชันครบครน ฟีเจอร์น่าใช้ มีคุณสมบัติพื้นฐานรองรับการใช้งานต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ ชอบรุ่นไหนก็เลือกใช้กันได้เลย

ทำความรู้จัก ChatGPT  ปัญญาประดิษฐ์สุดฮอตของ OpenAI  

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท OpenAI เปิดตัวแชทบอท ChatGPT ให้คนทั่วไปเข้าใช้งานได้ฟรี โดย ChatGPT เป็นแอปพลิเคชั่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลียนแบบบทสนทนาของมนุษย์ โดยมีระบบการทำงานที่ขึ้นอยู่กับการโต้ตอบของผู้ใช้งาน ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

แซม อัลต์แมน ผู้ร่วมก่อตั้งพร้อมทั้งซีอีโอของ OpenAI เผยว่า มีผู้ใช้งาน ChatGPT กว่าหนึ่งล้านคน หลังแชทบอทดังกล่าวเปิดตัวได้หนึ่งสัปดาห์ 

รอยเตอร์รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของเอไอไฟแรง ChatGPT ดังต่อไปนี้ 

 

ใครเป็นเจ้าของ OpenAI? อิลอน มัสก์ เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?

 

บริษัทวิจัยพร้อมทั้งพัฒนา OpenAI ถูกก่อตั้งเมื่อปี 2015 ในฐานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร โดย แซม อัลต์แมน นักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ พร้อมทั้งอิลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทรถไฟฟ้าเทสลา โดย OpenAI สามารถดึงดูดนักลงทุนได้อีกหลายราย ซึ่งรวมถึง ปีเตอร์ ธีล นักลงทุนในสตาร์ทอัพรายใหญ่ 

 

ต่อมาในปี 2019 กลุ่มผู้ก่อตั้ง OpenAI จัดตั้งองค์กรแบบแสวงหาผลประโยชน์เพื่อรับเงินลงทุนจากภายนอกเพิ่มเติม 

มัสก์ออกจากคณะกรรมการบริหารของบริษัทเมื่อปี 2018 พร้อมทั้งเข้าซื้อกิจการของทวิตเตอร์ (Twitter) สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดัง เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 

 

ต่อมาเมื่อ OpenAI ได้รับความสนใจสูง มัสก์ทวีตความเห็นว่า เอไอ ตัวนี้ “ดีจนน่ากลัว”  ต่อมา เขายังทวีตข้อความว่า เขาระงับไม่ให้ OpenAI เข้าถึงฐานข้อมูลของทวิตเตอร์ได้ชั่วคราว หลังทราบว่าบริษัท OpenAI ใช้ทวิตเตอร์ “ฝึกฝน” เครื่องมือเอไอของตน   

 

เอไอ ChatGPT ทำงานอย่างไร? 

 

OpenAI พบว่า เอไอ ChatGPT ถูกฝึกให้ใช้เทคนิคเรียนรู้ด้วยตนเองที่เรียกว่า Reinforcement Learning from Human Feedback หรือ RLHF  โดย ChatGPT สามารถลอกเลียนบทสนทนา ตอบคำถามต่อเนื่อง ยอมรับข้อผิดพลาด ท้าทายข้อสังเกตที่ผิด พร้อมทั้งปฏิเสธคำขอที่ไม่เหมาะสมได้ 

สำหรับการพัฒนา ChatGPT ในขั้นต้นนั้น มีการใช้มนุษย์ฝึกฝนบทสนทนากับเอไอตัวนี้ โดยให้มนุษย์รับบทเป็นทั้งผู้ใช้งานพร้อมทั้งผู้ช่วยเอไอ  

ทั้งนี้ ChatGPT เวอร์ชั่นที่เปิดให้สาธารณะเปิดใช้นั้น กำลังเรียนรู้เข้าใจคำถามจากผู้ใช้งานพร้อมทั้งตอบคำถามเชิงลึกที่มีลักษณะคล้ายกับข้อความเชิงบทสนทนาที่มนุษย์เขียนขึ้น 

 

ChatGPT ถูกใช้ทำอะไรได้บ้าง?

 

บอท ChatGPT สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น การตลาดดิจิทัล การสร้างเนื้อหาออนไลน์ การตอบคำถามลูกค้า หรือแม้แต่ช่วยแก้จุดบกพร่องของโค้ดเขียนโปรแกรมได้ 

นอกจากนี้ ChatGPT ยังสามารถตอบคำถามได้หลากหลายโดยเลียนแบบลักษณะการพูดของมนุษย์ได้ในเวลาเดียวกัน 

 

ChatGPT จะสร้างปัญหาหรือไม่? 

 

ทาง OpenAI ยอมรับว่า ChatGPT อาจตอบสนองผู้ใช้งานด้วยคำตอบที่ “ฟังดูมีเหตุผลแต่ไม่ถูกต้องหรือไม่เข้าท่า” พร้อมทั้งยอมรับว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นความท้าทายที่บริษัทต้องแก้ต่อไป 

 

ทั้งนี้ เทคโนโลยีเอไอยังอาจเผยแพร่อคติทางสังคมด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเชื้อชาติ เพศ พร้อมทั้งวัฒนธรรม ได้ พร้อมทั้งก่อนหน้านี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น กูเกิล พร้อมทั้ง แอมะซอน ยอมรับว่า โครงการบางอย่างที่ทางบริษัททดลองใช้เอไอมีข้อจำกัดบางประการ พร้อมทั้งมี “ความเสี่ยงทางจริยธรรม”  โดยหลายบริษัทต้องให้มนุษย์เข้ามาจัดการแก้ปัญหาที่เกิดจากเอไอ 

ถึงกระนั้น การวิจัยเอไอก็ยังคงเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน พร้อมทั้งข้อมูลจากบริษัทติดตามเงินทุน PitchBook เผยว่า เมื่อปีที่แล้ว จำนวนเม็ดเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเอไอพร้อมทั้งการลงทุนในบรรดาบริษัทปฏิบัติการเอไอ เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 13,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งการลงทุนตั้งแต่เดือนม.ค. – ต.ค. ปีนี้ อยู่ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์ 

 

สามารถลองใช้งานเอไอ ChatGPT ได้ที่: https://chat.openai.com/chat 

ที่มา: รอยเตอร์

ศาลสูงสหรัฐฯ คงคำสั่งสกัดผู้อพยพข้ามพรมแดน

ศาลสูงสหรัฐฯ คงกฎหมายสกัดกั้นผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศต่อไป เพื่อรับมือกับคลื่นผู้อพยพจากอเมริกากลางพร้อมทั้งอเมริกาใต้หลายพันคนที่หลั่งไหลเข้ามาอยู่บริเวณพรมแดนทางทิศใต้ของสหรัฐฯ ติดกับเม็กซิโก ตามรายงานของรอยเตอร์

ศาลสูงสหรัฐฯ มีมติ 5-4 ในวันอังคาร คงคำสั่งด้านสาธารณสุขของรัฐบาลกลาง ซึ่งเรียกว่า Title 42 ที่นำมาใช้ในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 หลังจากที่มีทางการ 19 รัฐในอเมริกาพบว่าการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวอาจนำไปสู่การไหลทะลักเข้ามาของจำนวนผู้อพยพข้ามพรมแดนที่ติดกับสหรัฐฯ

ทั้งนี้ Title 42 เริ่มบังคับใช้เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2020 ในยุคอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 พร้อมทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ยังคงคำสั่งดังกล่าวมากว่า 1 ปีที่เข้ามาบริหารประเทศ แม้จะเคยให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านผู้อพยพที่เข้มงวดในยุคทรัมป์ก็ตาม

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บันทึกตัวเลขผู้อพยพที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศได้ถึง 2.2 ล้านคนบริเวณพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งเกือบครึ่งหนึ่งของผู้อพยพจำนวนนี้ถูกจับกุมพร้อมทั้งส่งตัวกลับประเทศบ้านเกิดหรือประเทศต้นทางภายใต้อำนาจของกฎหมาย Title 42

ที่มา: รอยเตอร์

การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยกระดับความตึงเครียดในอาเซียน

ภาวะการแข่งขันอันดุเดือดระหว่างสหรัฐฯ พร้อมทั้งจีนที่ยังดำเนินอยู่นี้ กำลังเป็นปัจจัยการยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสองมหาอำนาจพยายามสร้างอิทธิพลต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งกรณีข้อพิพาททางดินแดนในแถบทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งประเด็นการมีอิสรภาพของไต้หวันด้วย

อิทธิพลของจีนในโลกนั้นมีความชัดเจนขึ้นระดับหนึ่งเมื่อความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership – RCEP) เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคมของ

ความตกลง RCEP ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีจีนเป็นผู้ผลักดันจนได้สมาชิกเข้าร่วม 14 ประเทศ ที่ประกอบด้วย 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมทั้งออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ พร้อมทั้งนิวซีแลนด์

ในการประชุมสุดยอดจีน-อาเซียนครั้งที่ 25 ซึ่งจัดขึ้นที่กัมพูชาเมื่อเดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรีหลี เค่อเฉียง ของจีนระบุในคำปราศรัยว่า ปริมาณการค้าระหว่างจีนพร้อมทั้งอาเซียนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 798,400 ล้านดอลลร์ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ไปแล้ว

นายกรัฐมนตรีหลี บอกว่า “เราได้ทำงานร่วมกันเพื่อให้มีการลงนามพร้อมทั้งบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่ทำให้เกิดการจัดตั้งเขตการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นการผลักดันการพัฒนาการที่มีการเชื่อมต่อถึงกันพร้อมทั้งเปิดกว้างให้ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง”

ถ้าหากว่า ฮันเตอร์ มาร์สตัน ผู้ที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก ที่ Australian National University เกี่ยวกับการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ความเห็นว่า ในเวลานี้อาจเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า RCEP นั้นทำให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญต่ออาเซียนจริงหรือไม่

มาร์สตัน บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ภาคภาษาจีนกลาง ว่า “การค้าระหว่างอาเซียนพร้อมทั้งจีนพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใน (ช่วง 10 เดือนแรกของ) ปี 2022 ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกัน แต่สิ่งที่ยากก็คือ ไม่มีใครบอกได้ว่า การขยายตัวนี้เป็นเพราะ RCEP เป็นหลักจริงหรือไม่” พร้อมทั้งว่า “RCEP เพียงแค่ลดการกีดกันทางการค้าพร้อมทั้งทำให้การค้าขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ที่ผ่านมา ยังเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า เรื่อง(ความตกลง)นี้ทำให้เกิดผลประโยชน์อันชัดเจนพร้อมทั้งเห็นผลทันทีแล้ว”

ในฝ่ายของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดตัวกรอบเศรษฐกิจภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework – IPEF) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อหวังต้านแรงกระเพื่อมของ RCEP

แผนงานดังกล่าวซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 14 ประเทศ ซึ่งรวมถึง ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้พร้อมทั้งญี่ปุ่น ตั้งเป้าที่จะยืนยันการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้พร้อมทั้งเพื่อนำเสนอตัวเองเป็นทางเลือกนอกเหนือจากแผน RCEP ของรัฐบาลกรุงปักกิ่งให้กับประเทศอื่น ๆ ด้วย

ปธน.ไบเดน กล่าวในระหว่างพิธีเปิดตัว IPEF ที่กรุงโตเกียวว่า “อนาคตของเศรษฐกิจศตวรรษที่ 21 นั้นส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในอินโด-แปซิฟิก – ภูมิภาคของเรา” พร้อมทั้งว่า “เราจะทำการเขียนกฎใหม่ ๆ ขึ้น”

เอียน เฉิน ศาสตราจารย์จาก Institute of Political Science แห่ง Sun Yat-sen University ในไต้หวัน แสดงความไม่แน่ใจว่า ว่า IPEF จะสามารถสร้างผลกระทบใด ๆ ต่อความเป็นจริงที่ว่าเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พึ่งพาจีนมาตลอดได้ในเร็ว ๆ นี้จริงหรือไม่

ศาสตราจารย์เฉิน บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ภาคภาษาจีนกลาง ว่า ตนไม่คิดว่า แผนงานของสหรัฐฯ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระยะสั้น โดยพบว่า “IPEF ไม่ได้บังคับให้สมาชิกต้องผูกติดกับพันธกรณีแบบเข้มงวด ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ จึงสามารถกำหนดเองว่า จะมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งด้วยเงื่อนไขแบบหลวม ๆ นี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการได้”.

 

จอช เคอร์แลนต์ซิค นักวิจัยอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก Council on Foreign Relations ไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า แผน IPEF ของปธน.ไบเดนนั้น เกิดขึ้นมาเพียงเพื่อแข่งกับ RCEP ของจีนเท่านั้น

เคอร์แลนต์ซิค บอกกับ วีโอเอ ภาคภาษาจีนกลาง ว่า “กรอบเศรษฐกิจภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก นั้นอาจเป็นคล้าย ๆ การตอบโต้การดำเนินแผนงานทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ของจีนในระดับภูมิภาค แต่โดยทั่วไปแล้ว เป็นการตอบโต้ข้อร้องเรียนที่ว่า สหรัฐฯ ไม่มีนโยบายด้านการค้าในภูมิภาคนี้เลยมากกว่า” พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า แผนงานนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการตอบโต้จีนเพียงอย่างเดียว

นักวิจัยยังกล่าวด้วยว่า “สหรัฐฯ นั้นได้ละทิ้งความเป็นผู้นำด้านการค้าพร้อมทั้งการมีส่วนร่วมทางการค้ากับเอเชียมาเป็นเวลานานแล้ว … แต่กรอบเศรษฐกิจภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นเหมือนแผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจแบบหลอก ๆ ไม่น่าจะช่วยอะไรได้มาก”

รายงานข่าวพบว่า ขณะที่ ข้อมูลหลายอย่างของ IPEF ยังไม่ได้การเปิดเผยออกมา ฮันเตอร์ มาร์สตัน จาก Australian National University คาดว่า ปธน.ไบเดน น่าจะออกมาประกาศแนวคิดริเริ่มทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เพิ่มเติมในปี 2023 พร้อมทั้งบอกว่าด้วยว่า แม้ IPEF จะดูเป็นการเคลื่อนไหวเรื่องเชิงสัญลักษณ์มากกว่า การที่สมาชิกอาเซียน 7 ประเทศเข้าร่วมด้วยแสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ ยังคงเป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ สนใจอยู่มาก

ข้อมูลจากเอกสาร 2022 ASEAN Investment Report ชี้ว่า รัฐบาลกรุงวอชิงตันนั้นเป็นผู้นำด้านการลงทุนในภูมิภาคนี้ ด้วยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น 41% มาที่ระดับ 40,000 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2021 ขณะที่ การลงทุนของจีนพุ่งสูงถึง 96% มาที่เกือบ 14,000 ล้านดอลลาร์ในปีเดียวกัน

ในประเด็นนี้ มาร์สตันมองว่า แม้สหรัฐฯ จะยังเป็นผู้นำในด้านการลงทุนในอาเซียน ภูมิภาคนี้กำลังกลายมาเป็นเป้าหมายการแข่งขันจากหลายขั้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

พร้อมทั้งนอกเหนือจากความพยายามของกรุงวอชิงตันพร้อมทั้งกรุงปักกิ่งในการแย่งชิงความเป็นผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจแล้ว นักวิเคราะห์บอกว่า ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ต้องจับตามองกันด้วย

อลัน หยาง ศาสตราจารย์จาก National Changchi University ในไต้หวัน บอกกับ วีโอเอ ภาคภาษาจีนกลางว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศกังวลว่า การที่ ส.ส.แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เยือนไต้หวันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนั้นอาจเป็นจุดที่ทำให้จีนดำเนินการทางทหารมากขึ้น

ส่วน เคอร์แลนต์ซิค จาก Council on Foreign Relations บอกว่า การที่จีนเดินหน้าสั่งสมกำลังทหารในทะเลจีนใต้ พร้อม ๆ กับการที่กรุงวอชิงตันพยายามปิดกั้นจีนไม่ให้เข้าถึงชิปเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัย ก็เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงการเผชิญหน้าที่หนักหน่วงขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ ขณะที่ ประเด็นไต้หวันน่าจะเป็นเรื่องที่ต้องกังวลกันมากที่สุดในปีหน้าที่จะมาถึง

เคอร์แลนต์ซิค กล่าวสรุปว่า “สหรัฐฯ พร้อมทั้งจีนต่างกำลังเข้ามาร่วมวงกับไต้หวันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจมุ่งไปสู่ความน่าจะเป็นที่จะกลายมาเป็นประเด็นขัดแย้งได้แล้ว”

 

ที่มา: วีโอเอ

สหรัฐฯ ยังอ่วมพายุฤดูหนาว จบชีวิตเพิ่มเป็น 60 คน

ชาวอเมริกันยังฝ่าฟันกับพายุฤดูหนาวกันต่อ แม้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ผู้จบชีวิตจากอากาศหนาวเหน็บทั่วอเมริกาพุ่งต่อเป็น 60 คน ตามรายงานของรอยเตอร์

 

ผู้คนในนิวยอร์กเริ่มออกมาใช้ชีวิตหลังจากจมอยู่กับหิมะที่ตกหนา 1.2 เมตร ช่วงพายุหิมะวันคริสต์มาสที่ผ่านพ้นมา แม้ว่าสำนักอุตุนิยมวิทยาสหรัฐฯ จะคาดการณ์ว่ายังมีหิมะตกส่งท้ายปลายพายุฤดูหนาวอีกเล็กน้อยในวันอังคาร อากาศยังคงหนาวเย็นที่ประมาณ -6 จนถึง -2 องศาเซลเซียส ก่อนที่จะเริ่มอุ่นขึ้นในปลายสัปดาห์ โดยคาดว่าอุณหภูมิจะสูงสุดที่ 8 องศาเซลเซียสในช่วงวันพฤหัสบดี พร้อมทั้งจะสูงขึ้นเป็น 12 องศาเซลเซียสในวันเสาร์หน้า

ถ้าหากว่า ยอดผู้จบชีวิตจากพายุฤดูหนาวครั้งนี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 60 คนทั่วประเทศ อ้างอิงจากเอ็นบีซีนิวส์ โดยที่นิวยอร์ก มีผู้จบชีวิต 28 คนในเขตปกครองอีรีเคาน์ตี้ พร้อมทั้งมีผู้จบชีวิต 20 คนในบัฟฟาโล มีรายงานผู้จบชีวิตบางส่วนถูกแช่แข็งอยู่ในรถ พร้อมทั้งมีผู้ที่จบชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันระหว่างตักหิมะ จนทางการอีรีเคาน์ตี้ ต้องประกาศมาตรการ Shovel Smart ที่เตือนประชาชนในพื้นที่ว่าการออกมาตักหิมะท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจัดอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังพร้อมทั้งหัวใจวายได้

ตอนนี้ยังมีรายงานไฟฟ้าดับพร้อมทั้งกลับมาใช้งานได้ในหลายพื้นที่หลังพายุฤดูหนาวผ่านพ้น แต่ยังมีประชาชนราว 122,000 หลังคาเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ในวันอังคาร ลดลงจากระดับ 1.8 ล้านครัวเรือนเมื่อวันเสาร์ อ้างอิงจากเว็บไซต์ PowerOutage.us โดยรัฐโอเรกอนพร้อมทั้งแคลิฟอร์เนียเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในตอนนี้

 

ส่วนสายการบินเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส นำโด่งด้านการยกเลิกเที่ยวบินมากที่สุดในสหรัฐฯ จากอากาศเลวร้าย ซึ่งกระทบการเดินทางช่วงเทศกาล โดยมีการยกเลิกเที่ยวบินไป 2,589 เที่ยวบินในวันอังคาร หรือประมาณ 2 ใน 3 ของเที่ยวบินทั้งหมด พร้อมทั้งคิดเป็น 86% ของเที่ยวบินทั้งหมดที่ขึ้นบินในวันอังคาร อ้างอิงจากเว็บไซต์ FlightAware

ที่มา: รอยเตอร์

ยูเอ็นเรียกร้องนานาชาติช่วยโรฮีนจาที่ติดกลางทะเล

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เรียกร้องนานาชาติให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิมโรฮีนจาที่ติดอยู่กลางทะเล หลังมีรายงานชาวโรฮีนจาอย่างน้อย 20 คนจบชีวิต พร้อมทั้งอีกหลายร้อยคนเพิ่งขึ้นฝั่งในอินโดนีเซีย หลังจากหลายสัปดาห์ที่ลอยคว้างกลางมหาสมุทรอินเดีย ตามรายงานของรอยเตอร์

ทาง UNHCR ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารว่า มีชาวมุสลิมโรฮีนจาเกือบ 500 คน ที่เดินทางถึงอินโดนีเซียในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างที่ “อีกหลายประเทศไม่ได้ดำเนินการใด ๆ แม้จะมีคำร้องพร้อมทั้งการขอความช่วยเหลือออกมามากมาย”

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ระบุเมื่อวันจันทร์ด้วยว่า ปี 2022 อาจเป็นปีที่อันตรายที่สุดในรอบสิบปีสำหรับชาวโรฮีนจา เมื่อมีชาวโรฮีนจาจำนวนมากขึ้นหลบหนีลี้ภัยจากสถานการณ์ที่เลวร้ายในค่ายผู้อพยพในบังกลาเทศ โดยมีเรือลำหนึ่งขนผู้อพยพ 180 ชีวิตอับปางกลางทะเลเมื่อต้นเดือนธันวาคมพร้อมทั้งจบชีวิตยกลำ

รายงานของ UNHCR พบว่ามีผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาหนีจากค่ายผู้อพยพเพิ่มขึ้นจาก 500 คนเพิ่มมาที่ราว 2,400 คนในปีนี้ แต่ยังไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจนในการลี้ภัยครั้งใหญ่นี้ นักเคลื่อนไหวบางส่วนเชื่อว่าอาจมีปัจจุบันจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมไวรัสโคโรน่า-19 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวโรฮีนจา

ในแต่ละปี มีชาวโรฮีนจาจำนวนมากที่หลบหนีความรุนแรงในเมียนมาพร้อมทั้งความยากลำบากในค่ายผู้ลี้ภัยที่ชายแดนบังกลาเทศ ด้วยการลงเรือไม้เก่า ๆ เพื่อหาทางไปยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย พร้อมทั้งไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายน ในช่วงที่ทะเลสงบลง

จำนวนผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจายิ่งเพิ่มขึ้นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุรัฐประหารในเมียนมาพร้อมทั้งสภาพความเป็นอยู่ตามค่ายผู้ลี้ภัยที่ย่ำแย่ลง

ที่มา: รอยเตอร์

สหรัฐฯ แบนแอปฯ ‘ติ๊กตอก’ บนอุปกรณ์ของจนท.รัฐ

สหรัฐฯ สั่งแบนการใช้แอปพลิเคชั่นแชร์วิดีโอยอดนิยมสัญชาติจีน TikTok บนอุปกรณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเป็นการนำร่องกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้กับอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้ ตามรายงานของรอยเตอร์

หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในวันอังคารว่า แอปพลิเคชั่นดังกล่าวถูกมองว่า “เป็นความเสี่ยงระดับสูงเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยจำนวนมาก” ซึ่งมีผลต่อนักการเมืองพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคน โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องลบแอปฯ ดังกล่าวในทุกอุปกรณ์ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพร้อมทั้งผู้เกี่ยวข้องใช้อยู่ พร้อมทั้งห้ามการดาวน์โหลดแอปฯ ดังกล่าวในอนาคตด้วย

กฎหมายใหม่ที่ได้รับการอนุมัติโดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมทั้งจะมีผลบังคับใช้เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามเป็นกฎหมาย เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลระดับท้องถิ่นของสหรัฐฯ พยายามผลักดันการแบนแอปฯ TikTok ซึ่งเป็นของบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) ของจีน บนอุปกรณ์ของรัฐบาลอเมริกัน ข้อมูลล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 19 รัฐในอเมริกาสั่งห้ามมีแอปฯ นี้บนอุปกรณ์ของรัฐ จากความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจใช้แอปฯ นี้ในการติดตามชาวอเมริกัน

ทั้งนี้ ทาง TikTok ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับมาตรการที่มีออกมากับรอยเตอร์ ในช่วงเวลาที่รายงานข่าวนี้ ขณะที่ทางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะเดินหน้าผลักดันการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไปทั่วประเทศ

ที่มา: รอยเตอร์

‘กูเกิล’ เผย คนอเมริกันค้นหา ‘เกมคำศัพท์-ผลเลือกตั้ง’ มากสุดในปี 2022

เกมคำศัพท์ ผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งการสวรรคตของควีนเอลิซาเบธ เป็นประเด็นดังที่ชาวอเมริกันค้นหาในเสิร์ชเอ็นจิ้น กูเกิล (google) มากที่สุดในปีนี้

หากการค้นหาผ่านกูเกิล คือ หน้าต่างสู่ความคิดพร้อมทั้งสิ่งที่ชาวอเมริกันให้ความใส่ใจ จะพบว่าปีนี้ ชาวอเมริกันหลายล้านคน ให้ความสำคัญกับเกมคำศัพท์ออนไลน์รายวัน ที่พัฒนาโดยวิศวกรซอฟต์แวร์ในนิวยอร์ก Wordle เป็นอันดับแรก โดยอิทธิพลของเกมดังกล่าว ดันให้คำว่า Wordle เป็นคำค้นหามากที่สุดแห่งปี

ไซมอน โรเจอร์ส หัวหน้าทีมข้อมูลที่เป็นกระแสของกูเกิล เปิดเผยกับวีโอเอว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก “คำที่เป็นเทรนด์อันดับต้น ๆ ทั้งหมดในการค้นหาผ่านกูเกิลเกี่ยวข้องกับคำศัพท์ในเกม Wordle ทั้งสิ้น พร้อมทั้งข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในการค้นหาปีนี้ไม่ถือว่าเกินจริงเลย”

ทั้งนี้ เทรนด์การค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรกในปี 2022 ของชาวอเมริกัน ได้แก่ เกม Wordle, ผลการเลือกตั้ง, เบตตี้ ไวท์, ควีนเอลิซาเบธ พร้อมทั้งบ๊อบ ซาเจ็ต ซึ่งสามรายการหลังนี้ เป็นบุคคลมีชื่อเสียงผู้ล่วงลับในปีนี้

ด้วยส่วนแบ่งตลาดของกูเกิล ที่มีสัดส่วน 92% ของตลาดเสิร์ชเอ็นจิ้นทั่วโลก เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลหลักของชาวอเมริกัน โรเจอร์ส บอกว่า “การค้นหาในกูเกิลสะท้อนถึงสิ่งที่เรา (ชาวอเมริกัน) ให้ความสนใจ” พร้อมทั้งว่า “มันสะท้อนสิ่งที่เราสนใจอย่างแท้จริง ซึ่งคุณไม่อาจหาได้ในชุดข้อมูลอื่นใด”

การค้นหาในหมวดข่าวในปีนี้ ได้แก่ ผลการเลือกตั้ง การสวรรคตของควีนเอลิซาเบธ พร้อมทั้งสถานการณ์ยูเครน ผู้คนชาวอเมริกันยังต้องการรู้วิธีออกเสียงคำว่า กาตาร์ พร้อมทั้งเคียฟ พร้อมทั้งสิ่งอื่น ๆ อย่างเช่น ราคาน้ำมัน ชุดตรวจไวรัสโคโรน่า พร้อมทั้งจุดเลือกตั้งที่ใกล้ที่สุดสำหรับพวกเขา รวมทั้งยังหาข้อมูลถึงวิธีการช่วยเหลือชาวยูเครน ผู้ลี้ภัยชาวยูเครน สิทธิการทำแท้ง พร้อมทั้งเหตุยิงกราดที่ยูวัลดี

เมื่อปี 2021 การค้นหาในกูเกิลส่วนใหญ่ เกี่ยวเนื่องกับวัคซีนไวรัสโคโรน่า เช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งบุคคลผู้ล่วงลับหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงต่าง ๆ

ปีนี้สิ่งที่สะดุดตาโรเจอร์สที่สุด คือ ข้อมูลในการค้นหาของชาวอเมริกัน ที่เขาพบว่ามีการค้นหาบางอย่างที่สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงพร้อมทั้งการพัฒนายิ่งขึ้น อย่างเช่นมีการค้นหาคำว่า ‘งานที่ได้ช่วยเหลือผู้คน’ มากกว่า ‘งานที่ได้เดินทางท่องเที่ยว’

เขาทิ้งท้ายว่า “เมื่อปีก่อน ผู้คนพยายามก้าวผ่านการระบาดใหญ่พร้อมทั้งเรียนรู้ที่ออกมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ปีนี้คือขั้นต่อไปของเส้นทางนี้” พร้อมทั้งว่า “ระหว่างที่เทรนด์กูเกิลไม่ได้ทำนายอนาคต แต่จากธีมค้นหาในปีนี้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง ในปีหน้าเราอาจเริ่มต้นเห็นหนทางที่ผู้คนเริ่มเปลี่ยนแปลงเช่นกัน”

ที่มา: วีโอเอ

เกาหลีใต้ให้อภัยโทษอดีตผู้นำที่ถูกจำคุกในข้อหาทุจริต

อดีตประธานาธิบดีลี มยอง-บัก แห่งเกาหลีใต้ซึ่งถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 17 ปี จากข้อหาทุจริตคอรัปชัน เพิ่งได้รับอภัยโทษจากประธานาธิบดีในวันอังคาร

ฮัน ดง-ฮูน รัฐมนตรียุติธรรมเกาหลีใต้ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันอังคารหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกับประธานาธิบดียูน ซุก-ยอล ว่า อดีตปธน.ลี คือ หนึ่งในผู้ถูกคุมขังกว่า 1,300 คนที่ได้รับการอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษตาม “มุมมองของความสามัคคีของคนในชาติผ่านการปรองดอง ความอดทนอดกลั้นพร้อมทั้งความเห็นอกเห็นใจ”

อดีตปธน.ลี ซึ่งมีอายุ 81 ปี เพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อเดือนมิถุนายนเนื่องจากสุขภาพที่ย่ำแย่พร้อมทั้งอายุที่มากขึ้น ถูกศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 17 ปีเมื่อปี ค.ศ. 2020 ซึ่งระยะเวลาในการรับโทษนี้อาจถือได้ว่าเป็นเหมือนโทษจำคุกตลอดชีวิต เพราะกำหนดการพ้นโทษเดิมนั้นคือในปี ค.ศ. 2036 ซึ่งอดีตผู้นำเกาหลีใต้จะมีอายุ 95 ปี

ลี ซึ่งเคยเป็นซีอีโอของบริษัทฮุนไดก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ถูกตัดสินว่ามีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกเงินจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์พร้อมทั้งการรับสินบนจากบริษัท ซัมซุง อิเลกทรอนิกส์ เพื่อแลกกับการให้อภัยโทษ ลี คุน-ฮี อดีตประธานบริษัทแห่งนี้

การอภัยโทษซึ่งมีผลในวันพุธนี้นับเป็นครั้งที่สองที่ ปธน.ยูน ใช้อำนาจผ่อนผันโทษนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ลี แจ-ยง ประธานบริหารบริษัท ซัมซุง อิเลกทรอนิกส์ เพิ่งเป็นหนึ่งในนักโทษที่ได้รับอานิสงส์จากการอภัยโทษครั้งแรกของผู้นำเกาหลีใต้คนปัจจุบัน

ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้มักถูกตัดสินว่ามีความผิดพร้อมทั้งได้รับการลงโทษด้วยการจำคุกหลังหมดอำนาจอยู่บ่อยครั้ง จากการดำเนินการของคู่แข่งทางการเมืองที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศในวาระถัดมา

 

ที่มา: วีโอเอ

ธุรกิจของเล่นเน้นผลักดันผลิตภัณฑ์เอาใจผู้ใหญ่

ธุรกิจของเล่นหันมาจับตลาดผู้ใหญ่หัวใจเด็ก ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนยอดขายที่น่าสนใจ ไม่เพียงแค่เป็นสิ่งที่ซื้อหาได้เมื่อเติบโตขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจที่ดีสำคัญคนวัยผู้ใหญ่ท่ามกลางความท้าทายที่ถาโถมในช่วงการระบาดใหญ่ที่ผ่านมาด้วย

ตั้งแต่เกิดโรคระบาดใหญ่ เอลิซาเบธ ฮูลานิค (Elizabeth Hulanick) ก็หันไปเล่นของเล่นเด็กเพื่อคลายเครียด

โดยเธอพร้อมทั้งเพื่อนร่วมงานได้ลงขันกันซื้อเลโก้จากห้างสรรพสินค้า Target เพื่อนำมานั่งเล่นที่โต๊ะทำงาน นอกจากนี้เธอยังเริ่มเล่นกับ Silly Putty หรือของเล่นที่ทำจากซิลิโคนอีกครั้ง ซึ่งเธอสังเกตว่าตัวเองรู้สึกสบายใจเมื่อได้เล่นของเล่นที่เด้งดึ๋งไปมาพร้อมทั้งเปลี่ยนสีได้นี้ หรือแม้แต่ตุ๊กตา American Girl doll ที่ชื่อ Samantha ที่เก็บไว้ในตู้โชว์ ซึ่งในตอนที่ยังเป็นเด็ก เธอต้องรอถึงหนึ่งปีกว่าที่แม่ของเธอจะซื้อตุ๊กตาตัวนั้นให้ พร้อมทั้งตอนนี้ตุ๊กตาตัวนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้เธออดทนอยู่เสมอ

จิม ซิลเวอร์ (Jim Silver) หัวหน้ากองบรรณาธิการของ TTPM เว็บไซต์รีวิวของเล่นบอกว่า ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดโรคระบาดใหญ่ ก็มีผู้ใหญ่จำนวนมากที่หันมาซื้อของเล่นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเลโก้ หรือของสะสมต่าง ๆ ในการย้อนกลับไปสู่วัยเด็กเพื่อหาความสบายใจกันมาตั้งนานแล้ว แต่ความเครียดที่เกิดจากวิกฤตสุขภาพนั้น เป็นตัวเร่งพร้อมทั้งทำให้แนวโน้มดังกล่าวนี้แข็งแกร่งขึ้น

ตลาดที่เรียกว่า ” kid-adult ” นี้เป็นตลาดที่มีความสำคัญ โดยกลุ่มคนอายุ 18 ปีขึ้นไปคิดเป็น 14% ของยอดขายของเล่นในสหรัฐฯ หรือ 5,700 ล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนกันยายน 2022 โดยอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้น 19% ในระยะเวลา 12 เดือนที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน 2021 ตามรายงานของบริษัทวิจัยตลาด NPD Group Inc. พร้อมทั้งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มคนที่ความสุขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอันดับสองรองจากลูกค้าอายุ 12 ถึง 17 ปี

ทั้งนี้ บริษัท Lego A/S ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 พร้อมทั้งในตอนนี้ก็มีถึง 100 ชุด ซึ่งรวมถึงการสำรวจอวกาศพร้อมทั้งรถหรูอีกด้วย

Genevieve Cruz ผู้อำนวยการอาวุโสของ Lego ซึ่งเล็งเห็นว่ามีผู้ใหญ่ทุกวัยที่ชอบประกอบเลโก้บอกว่า “การระบาดใหญ่เป็นตัวเร่งแนวโน้มนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากผู้ใหญ่จำนวนมากพบว่าตัวเองติดอยู่ที่บ้านโดยไม่มีอะไรให้ทำกับเวลาที่มีอยู่มากมาย แต่ก็เชื่อว่าแนวโน้มนี้จะคงอยู่ต่อไปแม้การแพร่ระบาดจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

NPD พบว่าสินค้ายอดนิยมสำหรับผู้ใหญ่นั้นได้แก่ ชุดเลโก้ในธีม Star Wars พร้อมทั้ง Harry Potter ตุ๊กตายัดนุ่น Squishmallows ซึ่งเป็นตุ๊กตาสัตว์ประหลาดจาก Jazzwares พร้อมทั้งโมเดลแอ็คชั่นฟิกเกอร์จาก Marvel เป็นต้น

นอกจากนี้ McDonald’s ก็เจาะตลาดกลุ่มนี้ด้วย โดยการเปิดตัว Happy Meals สำหรับผู้ใหญ่ในเดือนตุลาคมด้วยตุ๊กตาย้อนยุคที่ออกแบบโดยแบรนด์แฟชั่น Cactus Plant Flea Market

Chris Kempczinski ซีอีโอของ McDonald บอกว่า บริษัทขายสินค้าสะสมได้ครึ่งหนึ่งในช่วงสี่วันแรกของการส่งเสริมการขาย

อุตสาหกรรมของเล่นซึ่งมียอดขายต่อปีประมาณ 38,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว อาจต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่

ชารอน ไพรซ์ จอห์น (Sharon Price John) ซีอีโอของ Build-a-Bear บอกว่า เธอเริ่มสังเกตเห็นผู้ใหญ่ซื้อตุ๊กตาสัตว์เหล่านี้ให้ตัวเองตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน พร้อมทั้งแนวโน้มนี้ก็เติบโตขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นทางบริษัทจึงมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจออนไลน์โดยคำนึงถึงผู้ใหญ่เป็นหลัก โดยในปี 2019 ได้มีการเปิดตัวคอลเลกชั่นหมี “After Dark” ที่ผู้ใหญ่จะมอบให้กันในวันวาเลนไทน์

จอห์นกล่าวอีกว่า “มีวัยรุ่นพร้อมทั้งผู้ใหญ่จำนวนมากขึ้นในร้าน Build-a-Bear ที่สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์นี้ ไม่ใช่แค่กับครอบครัวของตน แต่กับคนอื่น ๆ ด้วย

ปัจจุบัน 40% ของยอดขายทั้งหมดของ Build-a-Bear มาจากผู้ใหญ่พร้อมทั้งวัยรุ่น ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปี 2012

ถ้าหากว่า การค้นหาความเป็นเด็กที่อยู่ภายในผ่านการเล่นของเล่นนั้น ไม่ใช่สำหรับผู้บริโภคในช่วงอายุ 20 ถึง 40 ปีเพียงเท่านั้น เพราะโลเรน เบรเรตัน วัย 61 ปี หวนกลับมาที่ร้านขายตุ๊กตา American Girl พร้อมกับหลานสาว เอลานา วัย 7 ขวบ

เบรเรตัน ยอมรับว่าในช่วงการระบาดใหญ่ เธอได้หยิบตุ๊กตาของลูกสาวมาเล่น พร้อมทั้งหยิบเอาเลโก้พร้อมทั้งของเล่นอื่น ๆ ของลูกชายเธอมาเล่นด้วย ตอนนี้เธอคิดถึงการซื้อหาของเล่นสองสามชิ้นมาเล่นเป็นของตัวเองบ้างแล้ว

แต่มุมมองการเล่นของเล่นของเธอนั้นแตกต่างจากวัยเด็กอยู่มาก โดยบอกว่า เกมทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อตอนที่ยังเด็ก แต่มันได้เปลี่ยนชีวิตคุณเมื่อคุณต้องการมันในช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งว่านี่คือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ

ที่มา: เอพี