ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
‘เซเลนสกี’ เยือนกรุงวอชิงตัน ครั้งแรกหลังสงครามปะทุ
ปธน.เซเลนสกี ที่เพิ่งเดินทางถึงสหรัฐฯ ในช่วงเช้าวันพุธ เข้าพบพร้อมทั้งหารือทวิภาคีกับปธน.ไบเดน ที่ทำเนียบขาว ก่อนที่ผู้นำยูเครนจะเดินทางไปขึ้นกล่าวปราศรัยต่อหน้าสมาชิกสภาคองเกรสที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วงค่ำวันพุธ
คณะทำงานของประธานาธิบดีไบเดน ได้บอกกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือระหว่างสองผู้นำ ครอบคลุมประเด็น “การหารือเชิงกลยุทธ์เชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการรบ” รวมทั้งเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมทั้งการฝึกทหาร พร้อมทั้งความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ พลังงาน พร้อมทั้งด้านมนุษยธรรม ที่สหรัฐฯ พร้อมทั้งชาติพันธมิตรจะจัดหาให้กับยูเครน พร้อมทั้งว่า “ประธานาธิบดีไบเดนจะมีโอกาสตอกย้ำว่าการสนับสนุนนี้จะไม่ได้แค่เป็นสิ่งที่ได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่คือสิ่งที่เราจะทำในวันนี้ พร้อมทั้งจะเดินหน้าทำต่อไป”
ระหว่างที่ปธน.เซเลนสกี ซึ่งไม่มีรายงานว่าเคยเดินทางออกนอกยูเครนมาก่อนหลังจากสงครามปะทุขึ้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพิ่งเดินทางออกนอกกรุงเคียฟเมืองหลวงยูเครนเมื่อวันอังคาร ในการเยือนบาคห์มุตที่กองทัพยูเครนปะทะกับกองทัพรัสเซียอย่างหนัก
ที่ผ่านมา ผู้นำยูเครน ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ พร้อมทั้งชาติพันธมิตร จัดหาระบบป้องกันตนเองทางอากาศที่สามารถช่วยยูเครนรับมือกับการจู่โจมด้วยขีปนาวุธพร้อมทั้งโดรนจากกองทัพรัสเซีย ที่ถล่มหลายเมืองพร้อมทั้งทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐานยูเครนทั่วประเทศ
ก่อนหน้าการเดินทางถึงกรุงวอชิงตันของปธน.เซเลนสกี สหรัฐฯ ประกาศความช่วยเหลือด้านการทหารรอบใหม่ให้กับยูเครน รวมทั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ แพทริออต (Patriot) ให้แก่ยูเครน ซึ่งเป็นระบบป้องกันตนเองทางอากาศที่มีความก้าวล้ำกว่าที่ยูเครนเคยใช้มาก่อนหน้านี้
ด้านโฆษกรัฐบาลเครมลิน ดมิทรี เพสคอฟ ได้บอกกล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพุธว่า การส่งมอบอาวุธชุดใหม่ให้กับยูเครน จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยิ่งร้าวลึกไปอีก พร้อมทั้งว่ารัสเซียมองไม่เห็นหนทางในการเจรจาสันติภาพกับยูเครนเลย
นอกเหนือจากการเดินทางเพื่อมาหารือถึงกรุงวอชิงตันแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่า การเยือนสหรัฐฯ ของปธน.เซเลนสกี มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ต่อสหรัฐฯ ยูเครน พร้อมทั้งประเทศอื่น ๆ ในโลก พร้อมทั้งเป็นการหยิบยื่นโอกาสในการ “เน้นย้ำความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อยูเครน” พร้อมทั้งว่า “นี่คือการส่งข้อความไปยังปูตินพร้อมทั้งส่งข้อความไปยังโลกว่า อเมริกาจะยังอยู่ตรงนี้เพื่อยูเครนตราบเท่าที่สถานการณ์ยังดำเนินอยู่” พร้อมทั้งว่า “ประธานาธิบดีปูตินคำนวณผิดพลาดมหันต์ในการเริ่มต้นความขัดแย้ง เมื่อเขาสันนิษฐานว่าชาวยูเครนจะยอมจำนนพร้อมทั้งนาโต้จะแตกแยกกัน เขาคิดผิดทั้งสองข้อนี้ เขายังคงคิดผิดเกี่ยวกับอำนาจที่มีอยู่ของเรา พร้อมทั้งนั่นคือสิ่งที่การเยือนครั้งนี้จะแสดงให้เห็น”
ถ้าหากว่า คณะทำงานปธน.ไบเดน พบว่า สิ่งที่จะไม่อยู่ในวาระการเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครน คือ การผลักดันให้ยูเครนเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อยุติสงครามที่รัสเซียเป็นฝ่ายก่อขึ้น แต่จะช่วยเหลือยูเครนให้อยู่ในบทบาทที่ดีกว่านี้เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าสู่การเจรจา พร้อมทั้งยังระบุด้วยว่ารัสเซียสามารถยุติสงครามได้ทุกเวลาด้วยการถอนทหารออกจากยูเครน พร้อมทั้งว่ารัสเซียไม่ได้แสดงเจตจำนงในการทำเช่นนั้นหรือเข้าร่วมการเจรจาอย่างจริงจังใด ๆ
ที่มา: วีโอเอ
ตาลิบันห้ามหญิงอัฟกันเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
รัฐบาลตาลิบัน สั่งการให้มหาวิทยาลัยรัฐพร้อมทั้งเอกชนทั่วอัฟกานิสถาน ปิดการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยสำหรับผู้หญิงทั่วประเทศไปอย่างไม่มีกำหนด นับเป็นนโยบายที่มุ่งจู่โจมการเข้าถึงการศึกษาพร้อมทั้งการดำเนินชีวิตของผู้หญิงอัฟกันรอบล่าสุดของตาลิบัน พร้อมทั้งเรียกเสียงประณามในหมู่ชาวอัฟกันพร้อมทั้งนานาประเทศ
ผู้เห็นเหตุการณ์ในกรุงคาบูล เมืองหลวงอัฟกานิสถาน พบเห็นนักศึกษาหญิงร้องไห้พร้อมทั้งโผกอดกันหน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมทั้งที่ Kabul public university เมื่อเช้าวันพุธ หลังจากพวกเธอทราบว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนแล้ว
หนึ่งในนักศึกษาหญิงปี 4 ของมหาวิทยาลัยในกรุงคาบูล ผู้ไม่ประสงค์ออกนามด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เปิดเผยกับวีโอเอทั้งน้ำตาว่า “ฉันเพิ่งรู้เรื่องการห้ามเข้าเรียนเมื่อช่วงเช้าที่มาถึงมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของตาลิบันกลุ่มใหญ่อยู่หน้าประตูทางเข้า คอยไล่นักศึกษาหญิงออกไป”
ส่วน ฟาติมา นักศึกษาหญิงอีกคนจากมหาวิทยาลัยอีกคน บอกกับวีโอเอว่าเธอกำลังจะเข้าสอบปลายภาคในวันพุธ แต่กลับถูกกีดกันไม่ให้เข้ามหาวิทยาลัย “พวกเราต่างร้องไห้พร้อมทั้งไม่ยอมออกไปจากหน้าประตูมหาวิทยาลัยอยู่หลายชั่วโมง อ้อนวอนให้ทางการตาลิบันปล่อยให้พวกเราไปสอบปลายภาค แต่ความพยายามของเรากลับไร้ประโยชน์”
ด้านสหรัฐฯ ประณามการตัดสินใจของตาลิบันในการห้ามผู้หญิงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ในแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน พบว่า “ไม่มีประเทศใดในโลกที่ห้ามผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กหญิงเข้ารับการศึกษา คำสั่งที่กดขี่ของรัฐบาลตาลิบันส่งผลให้เกิดข้อจำกัดต่อผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กหญิงอัฟกันอย่างที่ให้อภัยไม่ได้ รวมทั้งกับการเข้าถึงการศึกษา” พร้อมทั้งเตือนถึงผลที่จะตามมากับรัฐบาลตาลิบันจากเรื่องนี้
ฝั่งรัฐบาลปากีสถาน ที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมทั้งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลตาลิบัน ยังเรียกร้องให้ตาลิบันพิจารณานโยบายเกี่ยวกับการศึกษาพร้อมทั้งห้ามผู้หญิงเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเสียใหม่ รัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานออกแถลงการณ์ในอิสลามาบัดเมื่อวันพุธด้วยว่า “ปากีสถานรู้สึกผิดหวังที่ทราบเกี่ยวกับการระงับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยพร้อมทั้งสูงกว่านั้นสำหรับนักศึกษาหญิงในอัฟกานิสถาน”
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ รู้สึก “ตื่นตระหนกอย่างมาก” ในการจำกัดการเข้าถึงมหาวิทยาลัยของผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กหญิงอัฟกัน พร้อมทั้งว่า “การปฏิเสธการศึกษาไม่ได้แค่ละเมิดสิทธิความเท่าเทียมของผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กหญิง แต่ยังมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่ออนาคตของประเทศด้วย”
นีล เทิร์นเนอร์ ผู้อำนวยการหน่วยงาน Norwegian Refugee Council กล่าวถึงมาตรการล่าสุดของรัฐบาลตาลิบันว่า “การปิดมหาวิทยาลัยไม่ให้ผู้หญิงเข้าถึงเป็นก้าวใหญ่ในทิศทางที่ผิด ที่จะทำลายอนาคตของตาลินพร้อมทั้งของประเทศ เราขอเรียกร้องให้ทางการตาลิบันยกเลิกมาตรการนี้พร้อมทั้งข้อจำกันอื่น ๆ ในการเข้าถึงการศึกษา”
หลังจากเข้ามาปกครองอัฟกานิสถานเป็นเวลากว่า 16 เดือน รัฐบาลตาลิบันได้กีดกันผู้หญิงจากชีวิตสาธารณะมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเคยให้คำมั่นว่าจะเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวอัฟกันทั้งหมดก็ตาม นับตั้งแต่การสั่งให้ผู้หญิงอัฟกันสวมผ้าคลุมหน้าระหว่างที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ การห้ามผู้หญิงไปตามที่สาธารณะ อาทิ สวนสาธารณะพร้อมทั้งยิม พร้อมทั้งไม่สามารถไปสถานพยาบาลหรือเดินทางท่องเที่ยวทางไกลหากไม่มีญาติที่เป็นผู้ชายติดตามไปด้วย เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้หญิงถูกสั่งการให้อยู่ที่บ้านหรือถูกไล่ออกจากงาน วัยรุ่นหญิงอัฟกันที่โตกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา
โทเร็ค ฟาราห์ดิ เจ้าหน้าที่อัฟกันพร้อมทั้งนักวิจารณ์ด้านการเมือง เปิดเผยกับวีโอเอว่า “การปิดกั้นเด็กหญิงในการเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมทั้งล่าสุดคือห้ามเรียนมหาวิทยาลัย รัฐบาลตาลิบันกำลังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากวิสัยทัศน์อันมืดมนสำหรับอัฟกานิสถาน”
ที่มา: วีโอเอ
‘ปูติน’ ประกาศกร้าวต้องชนะในสงครามยูเครน-สั่งเพิ่มกำลังทหาร 1.5 ล้านนาย
ผู้นำรัสเซีย กล่าวเมื่อวันพุธ ในการประชุมกับรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู ว่ากำลังพลทหาร 1.5 ล้านนายที่เพิ่มขึ้นมานั้นจะต้องรวมทหารอาสา 695,000 นายเข้าไปด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าจะเพิ่มกำลังทหารจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปธน.ปูติน ได้ระดมพลกำลังสำรอง 300,000 นาย เพื่อหนุนกองกำลังรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน พร้อมทั้งว่ากำลังสำรอง 150,000 นายได้ประจำการในพื้นที่การสู้รบในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งยังอยู่ระหว่างที่ฝึกฝน
ในถ้อยแถลงของผู้นำรัสเซียเมื่อวันพุธ ยังได้กล่าวหาชาติตะวันตกในการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยาวนานหลายศตวรรษในการทำให้รัสเซียอ่อนแอพร้อมทั้งล่มสลายไปในที่สุด แต่ยูเครนพร้อมทั้งพันธมิตรชาติตะวันตกต่างปฏิเสธวาทกรรมของปธน.ปูติน พร้อมทั้งเรียกการจู่โจมของรัสเซียว่าเป็นการกระทำอันก้าวร้าวโดยปราศจากการยั่วยุ
ปธน.ปูติน ประกาศชัดในวันพุธด้วยว่า “เราถือว่าชาวยูเครนเป็นพี่น้องกันเสมอมา พร้อมทั้งผมยังคงคิดเช่นนั้นอยู่” พร้อมทั้งว่า “สิ่งที่ดำเนินอยู่ในขณะที่ถือเป็นโศกนาฏกรรมอย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่ผลจากนโยบายของเรา” พร้อมกับให้คำมั่นว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” จะดำเนินต่อไปจนกว่าภารกิจของรัสเซียจะเสร็จสิ้น “ผมไม่มีข้อกังขาเลยว่าจะบรรลุเป้าหมายทั้งหมดที่ตั้งไว้”
ผู้นำรัสเซีย เพิ่มเติมด้วยว่า “เป็นเวลาหลายร้อยปี ที่ศัตรูเชิงยุทธศาสตร์ของเราตั้งเป้าหมายในการแบ่งแยกพร้อมทั้งทำให้ประเทศเราอ่อนแอ … มองว่าเป็นประเทศที่ใหญ่เกินไปพร้อมทั้งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นได้”
รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ยังได้ประกาศแผนจัดตั้งหน่วยงานของกองทัพใหม่ทางตะวันตกของรัสเซีย เพื่อเป็นแผนถ่วงดุลอำนาจฟินแลนด์พร้อมทั้งสวีเดนในการเข้าร่วมนาโต้
ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ ที่รัสเซียเริ่มส่งทหารเข้าไปยังยูเครน ปธน.ปูตินบอกว่าการกระทำของรัสเซียมุ่งเป้าไปที่การทำให้ยูเครนเป็นพื้นที่ปลอดทหาร พร้อมทั้งกีดกันยูเครนในการเข้าร่วมนาโต้ พร้อมทั้งกลายมาเป็นป้อมปราการในการต่อต้านรัสเซีย ผู้นำรัสเซียยังอ้างว่าการจู่โจมมีเป้าหมายในการ “ขจัดระบอบนาซี” ในยูเครน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยูเครนปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาโดยตลอด
ที่มา: เอพี