ข่าวด่วนวันนี้
thailandtvhd.com
ชุมชนไทยในอเมริกา เจริญจิตภาวนา ถวายพระพร ‘พระองค์ภา’
วีรบุรุษของชาติ แฟนแห่ต้อนรับแข้ง “โมร็อกโก” หลังจารึกประวัติศาสตร์ซิวที่ 4 ฟุตบอลโลก (คลิป)
อส.ทำประกันอุบัติเหตุนักท่องเที่ยว
ลิขิตไว้แล้ว? 3 แข้งเวิลด์คลาส เซ็นสัญญาซบ “เปแอสเช” ปีถัดมาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก
ป้ายไฟยักษ์ “2023” ขนส่งถึงไทม์สแควร์ เตรียมติดตั้งฉลองเคาต์ดาวน์ปีใหม่
รวมคดีดังคริปโตในสหรัฐฯ
บิตไฟเนกซ์ (Bitfinex)
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สามีภรรยาคู่หนึ่งถูกตั้งข้อหาโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฐานสมรู้ร่วมคิดฟอกบิตคอยน์ที่ถูกขโมยมาจำนวน 119,754 เหรียญ หลังแฮคเกอร์เจาะแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิตอล บิตไฟเนกซ์ (Bitfinex) เมื่อปี 2016 พร้อมทั้งทำการโอนเงินโดยไม่ได้รับอนุญาตกว่า 2,000 ครั้ง บันทึกศาลพบว่า สามีภรรยาคู่นี้กำลังหารือกับอัยการเพื่อขอตอบกลับข้อหาดังกล่าว
บิตเม็กซ์ (BitMEX)
ผู้ก่อตั้งพร้อมทั้งลูกจ้างของแพลตฟอร์มซื้อขายเงินคริปโต บิตเมกซ์ (BitMEX) ยอมรับผิดข้อหาบกพร่องต่อการสร้าง ใช้งาน พร้อมทั้งรักษาโปรแกรมเพื่อป้องกันการฟอกเงินในแพลตฟอร์มได้
ผู้ร่วมก่อตั้งบิตเมกซ์ยอมรับผิดในศาลรัฐบาลกลางรัฐนิวยอร์ก พร้อมทั้งตกลงจ่ายค่าปรับคนละ 10 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ลูกจ้างอีกคนของบิตเมกซ์ยอมรับผิดเช่นกัน พร้อมทั้งตกลงจ่ายค่าปรับ 150,000 ดอลลาร์
อัยการรัฐบาลกลางตั้งข้อหาอาญาต่อคดีดังกล่าวเมื่อปี 2020 ก่อนที่ในปีถัดมา บิตเมกซ์จะตกลงจ่ายค่าปรับทางแพ่งเพื่อยุติอีกคดีต่างหาก โดยเป็นคดีกับคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์พร้อมทั้งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ หรือ CTFC พร้อมทั้งเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ FinCEN ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ
ทั้งนี้ โฆษกของบิตเมกซ์ปฏิเสธไม่ให้ความเห็นต่อคดีของอดีตลูกจ้างของตน
บล็อคไฟ (BlockFi)
บริษัทกู้ยืมเงินดิจิทัล บล็อคไฟ (BlockFi) ตกลงจ่ายค่าปรับ 100 ล้านดอลลาร์ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์พร้อมทั้งตลาดซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ หรือ SEC พร้อมทั้งหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ เพื่อยุติคดีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กู้ยืมเงินที่บริษัทเสนอให้นักลงทุนเกือบ 600,000 คน
บันทึกศาลพบว่า บล็อคไฟยื่นล้มละลายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พร้อมทั้งยังคงค้างค่าปรับ 30 ล้านดอลลาร์กับ SEC
โฆษกของบล็อคไฟไม่ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ ถ้าหากว่า บล็อคไฟระบุในแถลงการณ์ว่า การยุติคดีนี้เป็นตัวอย่างของ “ความพยายาม (ของบริษัท) ในการรักษาความชัดเจนทางกฎระเบียบเพื่ออุตสาหกรรมในวงกว้างพร้อมทั้งเพื่อลูกค้าของเรา”
คอยน์เบส (Coinbase)
อดีตผู้จัดการด้านผลิตภัณฑ์ของบริษัทซื้อขายเงินคริปโต คอยน์เบส (Coinbase) น้องชายพร้อมทั้งเพื่อนของเขา เผชิญข้อหาใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขาย โดยสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ในเขตแมนฮัตตัน พร้อมทั้ง SEC ซึ่งถือเป็นข้อหาลักษณะดังกล่าวต่อการทำธุรกรรมเงินคริปโตเป็นครั้งแรก
อดีตลูกจ้างของคอยน์เบสไม่ยอมรับผิดต่อข้อหาดังกล่าว ขณะที่น้องชายของเขาขอยอมรับผิดผ่านข้อตกลงกับอัยการ ขณะที่จำเลยคนที่สามหลบหนีคดี
ในเวลาเดียวกัน คอยน์เบสพบว่า ทางบริษัทจะหาช่องทาง “บังคับใช้กฎระเบียบ” เพื่อตอบโต้ข้อหาดังกล่าว
วันคอยน์ (OneCoin)
เมื่อปี 2019 ทางการสหรัฐฯ ตั้งข้อหากลุ่มผู้นำเครือข่ายธุรกิจแบบพีระมิดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีการใช้สกุลเงินคริปโตเท็จ OneCoin โดยหนึ่งในแกนนำยังคงหลบหนี ขณะที่แกนนำคนอื่น ๆ ไม่ยอมรับผิด
โอเพนซี (OpenSea)
เมื่อเดือนมิถุนายน อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของโอเพนซี (OpenSea) แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ของสินทรัพย์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว (non-fungible token หรือ NFT) ถูกเอาผิดเรื่องใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขาย โดยอัยการรัฐบาลกลางในแมนฮัตตัน
คดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีข้อหาลักษณะนี้ต่อสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นครั้งแรก โดยอัยการพบว่า อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ผู้นี้ซื้อ NFT โดยอาศัยข้อมูลลับที่ว่า สินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าวจะปรากฏในเว็บไซต์หน้าแรกของโอเพนซีในอีกไม่ช้า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โอเพนซีอ้างอิงแถลงการณ์ฉบับก่อนว่า ได้เริ่มสืบสวนข้อหาดังกล่าวพร้อมทั้งขอให้อดีตพนักงานคนดังกล่าวออกจากบริษัทไป
ริพเพิล แลบส์ (Ripple Labs)
เมื่อเดือนธันวาคม 2020 หน่วยงาน SEC ได้ฟ้องร้องบริษัทพัฒนาเครือข่ายชำระพร้อมทั้งซื้อขายสินทรัพย์ ริพเพิล แลบส์ (Ripple Labs) พร้อมทั้งผู้บริหารสองคน โดยกล่าวหาว่า บริษัทพร้อมทั้งผู้บริหารได้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน คิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์
ริพเพิล แลบส์ สร้างเงินคริปโตสกุลเงิน XRP ขึ้นมาในปี 2012 โดยทางบริษัทต่อสู้คดีกับหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐมานานหลายปี
ริพเพิลขอให้ผู้พิพากษาตัดสินว่า เงินคริปโต XRP ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ พร้อมทั้งไม่ควรถูกตรวจสอบโดย SEC ซึ่งคดีดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบทางกฎหมายตามมาต่ออุตสาหกรรมเงินคริปโต ที่ยังคงอยู่ในพื้นที่คลุมเครือทางกฎระเบียบในสหรัฐฯ
ทางด้านโฆษกของริพเพิลยังไม่ให้ความเห็นเพิ่มเติม
เทเลแกรม (Telegram)
เมื่อเดือนตุลาคม 2019 หน่วยงาน SEC ระงับเหรียญดิจิทัลที่ไม่ได้ลงทะเบียนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ ที่เสนอโดยบริษัทให้บริการส่งข้อความ เทเลแกรม (Telegram) พร้อมทั้ง TON Issuer ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ โดยหลังต่อสู้ในศาลหกเดือน เทเลแกรมตกลงจ่ายค่าปรับ 18.5 ล้านดออลาร์ พร้อมทั้งคืนเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์ให้นักลงทุน
ทางฝั่งเทเลแกรมไม่ยอมรับหรือปฏิเสธผลการสืบสวนของ SEC พร้อมทั้งไม่ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว
ที่มา: รอยเตอร์
ปธน.เซเลนสกี เตรียมเยือนกรุงวอชิงตันในวันพุธ
แหล่งข่าวภายในสภาคองเกรส 2 ราย พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ อีก 1 ราย ยืนยันโดยไม่ขอเปิดเผยตัวตนกับสำนักข่าวนานาชาติเอพีว่า ปธน.ยูเครน จะเดินทางมากรุงวอชิงตันจริง แต่กล่าวด้วยว่า ยังมีความน่าจะเป็นที่ผู้นำยูเครนอาจตัดสินใจยกเลิกการเดินทางกะทันหันได้ หากมีเหตุน่ากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย
อย่างไรก็ดี หากปธน.เซเลนสกีเดินทางมาสหรัฐฯ จริง กำหนดการที่จะเกิดขึ้นมีทั้งการขึ้นกล่าวปราศรัยต่อหน้าสมาชิกสภาคองเกรสที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ พร้อมทั้งการร่วมประชุมกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน
กำหนดการเยือนสหรัฐฯ ของเซเลนสกีครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยออกมา ขณะที่ สมาชิกสภาคองเกรสกำลังจะลงมติร่างกฎหมายงบประมาณค่าใช้จ่ายสิ้นปีของรัฐบาล ซึ่งมีงบประมาณการช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ยูเครนมูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์รวมอยู่ด้วย
นอกจากนั้น การเยือนกรุงวอชิงตันในครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงที่ถือว่ามีความสำคัญทั้งสำหรับปธน.ไบเดนพร้อมทั้งปธน.เซเลนสกีด้วย เพราะทำเนียบขาวกำลังเตรียมตัวเผชิญแรงต้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาล่างของสหรัฐฯ ที่จะขึ้นมาเป็นฝ่ายคุมเสียงข้างมากในต้นปีหน้าพร้อมทั้งประกาศว่า จะดำเนินการตรวจสอบอย่างหนักต่องบประมาณความช่วยเหลือที่รัฐบาลส่งมอบให้ยูเครน
ที่ผ่านมา ผู้นำยูเครนกล่าวปราศรัยต่อรัฐสภาพร้อมทั้งองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ แทบทุกวันผ่านระบบออนไลน์ พร้อมทั้งยังมอบหมายให้ โอเลนา เซเลนสกา ผู้เป็นภรรยาพร้อมทั้งสตรีหมายเลขหนึ่งของยูเครนเดินทางไปเยือนเมืองหลวงของประเทศต่าง ๆ เพื่อหารือเรื่องการให้ความช่วยเหลือต่อกรุงเคียฟเพิ่มเติมด้วย
ที่มา: เอพี
‘เซเลนสกี-ปูติน’ เรียกขวัญเหล่าทหาร หลังผ่านพ้น 300 วันแห่งสมรภูมิ
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เดินทางเยือนบาคห์มุต ที่กองทัพของยูเครนพร้อมทั้งรัสเซียปะทะกันอย่างดุเดือด ผู้นำยูเครนได้พบกับเหล่าทหารในอาคารที่แสงไฟริบหรี่ เมื่อวันอังคาร พร้อมทั้งให้ยกย่องเหล่าทหารยูเครนผู้กล้าหาญพร้อมทั้งแข็งแกร่ง โดยมีเสียงปืนใหญ่ดังอยู่เบื้องหลัง
ผู้นำยูเครนกล่าวด้วยว่า บาคห์มุต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเคียฟเมืองหลวงราว 600 กิโลเมตร คือพื้นที่แนวหน้าที่ดุเดือดที่สุด แต่ยังอยู่ในการควบคุมของยูเครน โดยระบุผ่านทางเทเลแกรมว่า “ป้อมปราการบาคห์มุต ผู้คนของเรา ผู้ไม่พ่ายแพ้ให้กับศัตรู ผู้ที่มีความกล้าหาญในการพิสูจน์ว่าเราจะยังอยู่ พร้อมทั้งจะไม่ยอมยกสิ่งที่เป็นของเราให้กับผู้ใด” ขณะที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้นำยูเครนเดินทางไปเยือนบาคห์มุตได้อย่างไร
ฝั่งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวในวันเดียวกันที่กรุงมอสโก ในพิธีมอบรางวัลผู้ที่ทางการรัสเซียแต่งตั้งให้ดูแล 4 เขตปกครองในยูเครนที่รัสเซียผนวกเป็นส่วนหนึ่งโดยผิดกฎหมาย ยกย่องกองทัพรัสเซียผู้กล้าหาญที่กำลังสู้รบอยู่ในยูเครน
ผู้นำรัสเซียบอกว่า “ประเทศของเราเผชิญกับความท้าทายพร้อมทั้งต้องปกป้องอธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง” พร้อมทั้งว่า “ตอนนี้ รัสเซียกำลังเผชิญกับความท้าทายเช่นนี้อีกครั้ง เหล่าทหาร เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งอาสาสมัครทั้งหลาย กำลังเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของความกล้าหาญในการต้านทานการสู้รบที่แนวหน้า”
อีกด้านหนึ่ง ทางการอังกฤษได้ประเมินสถานการณ์การสู้รบว่าจะดำเนินไปอย่างไรสำหรับรัสเซีย โดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอังกฤษ เบน วอลเลซ บอกว่า ทหารรัสเซียราว 100,000 คน “จบชีวิต บาดเจ็บ หรือถูกละทิ้ง” นับตั้งแต่การรุกรานเกิดขึ้น แต่ไม่ระบุตัวเลขทหารที่จบชีวิตที่ชัดเจน ฝั่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหรัฐฯ พบว่ามีทหารยูเครนราว 100,000 นายจบชีวิตพร้อมทั้งบาดเจ็บจากสงครามความขัดแย้งนี้
ผ่านพ้นมากว่า 300 วันหลังสงคราม กระทรวงกลาโหมอังกฤษ ทวีตว่ายูเครนปลดปล่อยดินแดนที่รัสเซียยึดครองไปได้ 54% ขณะที่รัสเซียยึดครองพื้นที่ 18% รวมถึงแคว้นดอนบาสพร้อมทั้งไครเมียในยูเครน
เนื้อหาบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี พร้อมทั้งรอยเตอร์
ทวิตเตอร์เจอมรสุม อดีตพนง.100 คนรุมฟ้อง-ลือ ‘อิลอน มัสก์’ ย่องหาซีอีโอคนใหม่
แชนนอน ลิสส์-ริออร์แดน ทนายของอดีตพนักงานทวิตเตอร์ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ได้เดินเรื่องผ่านอนุญาโตตุลาการกับทางทวิตเตอร์โดยกล่าวหาว่าบริษัทมีการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานด้วยปัจจัยทางเพศสภาพ การทำผิดสัญญาว่าจ้าง พร้อมทั้งการไล่พนักงานที่อยู่ระหว่างที่ลาป่วยหรือลาคลอดบุตรออกจากบริษัท
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน อิลอน มัสก์ ปลดพนักงาน 3,700 ตำแหน่ง ในแผนลดต้นทุนขององค์กรหลังเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ที่มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่มีพนักงานหลายร้อยคนที่ยื่นใบลาออกตามมาหลังจากนั้น
ก่อนหน้านี้ ทวิตเตอร์เผชิญกับการฟ้องร้องที่ยื่นต่อกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่พบว่ามีพนักงานถูกไล่ออกเพราะวิจารณ์บริษัท พร้อมทั้งพยายามจัดแผนการประท้วงในองค์กร แต่ทวิตเตอร์ปฏิเสธเรื่องการละเมิดกฎหมายในประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งว่ามีการแจ้งต่อพนักงานล่วงหน้าตามกฎหมายแล้ว
มัสก์ กางแผนจำกัดการทำโพลล์ในกลุ่มผู้ใช้ ทวิตเตอร์ บลู
ในวันจันทร์ อิลอน มัสก์ พบว่า ทวิตเตอร์จะจำกับการทำโพลล์ของผู้ใช้ทวิตเตอร์ บลู หากมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับนโยบายขององค์กร หลังจากในวันเดียวกันนี้ผู้ใช้ทวิตเตอร์เกินครึ่งโหวตให้มัสก์ ก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอของสื่อสังคมออนไลน์นี้
มัสก์ ตอบโต้คำแนะนำจากหนึ่งในผู้ใช้ทวิตเตอร์ บลู ที่เสนอให้มีการจัดทำโพลล์เกี่ยวกับนโยบายของทวิตเตอร์ว่า “เป็นแนวคิดที่ดี ทวิตเตอร์จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น” แต่ไม่ได้พบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลเมื่อใด
หลังจากโพลล์เมื่อวันอาทิตย์ที่ถามผู้ใช้ทวิตเตอร์ว่าเขาควรเป็นซีอีโอต่อหรือไม่ มีผลออกมาในวันจันทร์ว่า 57.5% เห็นชอบให้เขาออกจากตำแหน่งดังกล่าว ทางอิลอน มัสก์ ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าเขาจะออกจากตำแหน่งหรือไม่ พร้อมทั้งไม่ได้กล่าวถึงผู้ที่จะมารับช่วงต่อจากเขา
แต่สื่อ CNBC รายงานในวันอังคาร อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ว่า มัสก์ กำลังหาตัวซีอีโอมารับตำแหน่งแทนเขาอยู่
ด้านทวิตเตอร์ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในช่วงเวลาที่รายงานข่าวนี้
ที่มา: รอยเตอร์