การลงนามในข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อในวันจันทร์ ในพิธีที่มีตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมทั้งรัฐบาลไทยเป็นผู้ลงนาม ก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศต้อนรับไทยในฐานะประเทศผู้ร่วมลงนามลำดับที่ 51 อย่างเป็นทางการ
Artemis Accords นั้นเป็นข้อตกลงในระดับพหุภาคีที่เริ่มจัดทำขึ้นโดยสหรัฐฯ พร้อมทั้งพันธมิตร 7 ประเทศ พร้อมทั้งมีการลงนามครั้งแรกในเดือนตุลาคม ปี 2020 โดยมีจุดประสงค์มุ่งเน้นการสำรวจพร้อมทั้งใช้งานอวกาศอย่างสันติ รวมทั้งทำหน้าที่เสริมสร้างความร่วมมือในโครงการอาร์ทิมิส (Artemis Program) เพื่อการสำรวจดวงจันทร์พร้อมทั้งอวกาศร่วมกับองค์การบริหารการบินพร้อมทั้งอวกาศแห่งชาติ (นาซ่า)
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ พบว่า ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนภาพของการเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ พร้อมทั้งไทยที่ยืนยาวมากว่า 190 ปี ขณะที่ การเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของสองประเทศก็ได้ช่วยส่งเสริมสันติภาพพร้อมทั้งความรุ่งเรืองให้แก่กันพร้อมทั้งกันเสมอมา
ในเวลาเดียวกัน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศพร้อมทั้งภูมิสารสนเทศ (GISTDA) บอกว่า การลงนามในข้อตกลงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ “ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่เวทีอวกาศระดับโลก” พร้อมทั้งว่า “ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอวกาศของประเทศ พร้อมทั้งสร้างโอกาสให้กับนักวิจัย นักศึกษา พร้อมทั้งผู้ประกอบการไทยในการเรียนรู้พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมเสริมศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน”
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมทั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศพร้อมทั้งภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
นอกจากนั้น กระทรวงฯ รายงานด้วยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บสะสมจากเหตุการณ์ความขัดแย้งนี้แล้วเกือบ 107,000 คน
ทั้งนี้ ทางการกาซ่าไม่ได้แยกแยะตัวเลขของพลเรือนออกจากกลุ่มนักรบ แต่เคยระบุก่อนหน้านี้เพียงว่า กว่าครึ่งของผู้จบชีวิตนั้นเป็นผู้หญิงพร้อมทั้งเด็ก
ในส่วนของรายงานประจำวันจันทร์นั้น กระทรวงสาธารณสุขกาซ่าพบว่า มีผู้ถูกสังหารเพิ่ม 52 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพร้อมทั้งหน่วยงานป้องกันพลเรือนในกาซ่าบอกว่า อิสราเอลทำการจู่โจมอย่างรุนแรงเมื่อวันอาทิตย์เข้าใส่กาซ่าซิตี้ ทางตอนเหนือ เมืองคานยูนิส ที่อยู่ทางใต้ พร้อมทั้งค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต ซึ่งตั้งอยู่ในภาคกลางของเขตปกครองนี้
กองทัพอิสราเอลบอกว่า ปฏิบัติการเมื่อวันอาทิตย์นั้นมุ่งจู่โจมกองบัญชาการพร้อมทั้งศูนย์ควบคุมของฮามาสในนูเซรัต
ที่ผ่านมา อิสราเอลกล่าวโทษเสมอว่า กลุ่มฮามาสดำเนินปฏิบัติการของตนในพื้นที่ของพลเรือนชาวปาเลสไตน์ ขณะที่ กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิพร้อมทั้งชาวปาเลสไตน์บอกว่า กองทัพอิสราเอลไม่ได้ทำการใด ๆ มากพอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญจบชีวิตของพลเรือน
สงครามในกาซ่าครั้งนี้ปะทุขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2023 หลังกลุ่มฮามาสจู่โจมทางใต้ของอิสราเอลพร้อมทั้งทำให้มีผู้จบชีวิตราว 1,200 คน รวมทั้งจับตัวประกันไปกว่า 250 คน ก่อนที่ อิสราเอลจะจู่โจมโต้กลับเข้าไปในเขตปกครองชาวปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้ เชื่อกันว่า ยังมีตัวประกันในมือของกลุ่มฮามาสอยู่ราว 100 คน พร้อมทั้งอย่างน้อย 1 ใน 3 นั้นน่าจะจบชีวิตไปแล้ว
ที่มา: วีโอเอ
แอนิเมชันภาคต่อ Moana 2 จากค่ายดิสนีย์ยังคงครองบัลลังก์ไว้ได้อีกสัปดาห์ พร้อมเก็บรายได้เพิ่มอีก 26.6 ล้านดอลลาร์จากการฉายในอเมริกาเหนือ พร้อมทั้งอีก 57.2 ล้านดอลลาร์จากการฉายในประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้รายได้สะสมจากทั่วโลกเพิ่มเป็น 717 ล้านดอลลาร์แล้ว
ในอันดับที่ 2 นั้น หนังจินตนิยายแนวมิวสิคัลทุนสร้างสูง “Wicked” ก็ยังยึดเก้าอี้ต่อไปได้หลังเปิดฉายมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 พร้อมทั้งเก็บเงินเข้ากระเป๋าเพิ่มได้อีก 22.5 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ รายได้รวมจากการฉายในอเมริกาเหนือนั้นอยู่ที่กว่า 359 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งกว่า 500 ล้านดอลลาร์จากการฉายทั่วโลก
ส่วนอันดับที่ 3 นั้นตกเป็นของภาพยนตร์ใหม่ที่มี แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน แสดงนำในบทนักล่าเจ้าของพลังเหนือมนุษย์ พร้อมทั้งออกตัวในแบบที่มาร์เวลผิดหวังอย่างหนัก เพราะเก็บรายได้ในสุดสัปดาห์แรกไปได้เพียง 11 ล้านดอลลาร์ซึ่งทำให้ได้ชื่อว่าเป็น ผลงานที่เปิดตัวได้เลวร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งของค่ายนี้ไปแล้ว
ผลงานที่นำเสนอตัวละครจากจักรวาลสไปเดอร์-แมนนี้ถือเป็นความผิดพลาดครั้งล่าสุดของบริษัทโซนีพิเจอร์ส ผู้ถือครองลิขสิทธิ์อยู่ ตามหลัง “มาดามเว็บ” (Madame Web) ที่ออกฉายไปเมื่อต้นปี พร้อมทั้งมอร์เบียส (Morbius) ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2022
“Gladiator II” ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ทำเงินเพิ่มได้อีก 7.8 ล้านดอลลาร์ ในอันดับที่ 4 ขณะที่ ภาพยนตร์ว่าด้วยภารกิจกอบกู้คริสต์มาส “Red One” ที่นำแสดงโดย ‘เดอะ ร็อค’ ดเวน จอห์นสัน พร้อมทั้ง ‘กัปตันอเมริกา’ คริส เอฟวานส์ ตกลงมาอยู่ที่อันดับที่ 5 พร้อมรายได้เพิ่มอีก 4.6 ล้านดอลลาร์
อันดับภาพยนตร์ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ สุดสัปดาห์ 13 – 15 ธ.ค. 2024
1. “Moana 2,” $26.6 million.
2. “Wicked,” $22.5 million.
3. “Kraven the Hunter,” $11 million.
4. “Gladiator II,” $7.8 million.
5. “Red One,” $4.6 million.
6. “Lord of the Rings: The War of the Rohirrim,” $4.5 million.
7. “Interstellar” (rerelease), $3.3 million.
8. “Pushpa: The Rule — Part 2,” $1.6 million.
9. “The Best Christmas Pageant Ever,” $1.4 million.
10. “Queer,” $790,954.
ที่มา: เอพี